เรื่องราวแม่พระประจักษ์ที่อะกิตะ เกิดใน ค.ศ.1973 แม่พระประจักษ์มาหา “ซิสเตอร์อักแนส คัตซึโกะ ซาซากาวะ” (ชาวพุทธที่รับศีลล้างบาปเป็นคาทอลิก) ใจความสำคัญของการประจักษ์ครั้งนั้น แม่พระพูดถึงความขัดแย้งในพระศาสนจักรคาทอลิกและอุทกภัยที่จะเกิดกับโลก
แม่พระกล่าวกับซิสเตอร์อักแนสว่า “ถ้ามนุษย์ไม่กลับใจและปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น พระบิดาจะลงโทษอย่างหนักต่อมนุษยชาติ มันจะเป็นการลงโทษที่รุนแรงกว่าการเกิดอุทกภัย ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน ... ลูกไฟจะหล่นจากฟากฟ้าและทำลายล้างมนุษยชาติจำนวนมาก ผลงานของปีศาจจะแทรกซึมเข้าไปในพระศาสนจักร เราจะได้เห็นปีศาจในรูปแบบของพระคาร์ดินัลขัดแย้งกันและพระสังฆราชเกลียดชังกัน โบสถ์และพระแท่นจะถูกทำลาย ปีศาจจะล่อลวงพระสงฆ์และผู้มีวิญญาณบริสุทธิ์ให้ถอยห่างจากการรับใช้พระเจ้า ดังนั้น แม่ขอให้ลูกสวดสายประคำทุกวัน จงสวดให้พระสันตะปาปา พระสังฆราช และพระสงฆ์ จงสวดสายประคำให้มากๆ เรา(แม่พระ)ผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยปกป้องพวกลูกให้พ้นจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้”
2 ปีหลังการประจักษ์ รูปปั้นแม่พระที่อยู่ในวัดน้อยซึ่งซิสเตอร์อักแนสได้พบแม่พระ ก็มีเลือดไหลออกมาทางดวงตา เหตุการณ์แม่พระร้องไห้เป็นเลือด เกิดทั้งหมด 5 ครั้ง และทุกครั้งมีสัตบุรุษเป็นประจักษ์พยานตลอดเวลา (พยานมีทั้งคริสตังและพุทธศาสนิกชน)
ค.ศ.1984 พระสังฆราช จอห์น โชจิโร่ ประมุขสังฆมณฑลนิงาตะ (สังฆมณฑลที่เมืองอะกิตะสังกัด) ท่านเป็นหนึ่งในประจักษ์พยานที่เห็นแม่พระร้องไห้เป็นเลือด ได้พิจารณาและศึกษาเรื่องที่เกิดอย่างละเอียด ก่อนจะประกาศแก่สัตบุรุษว่า แม่พระประจักษ์ที่อะกิตะ เป็นเรื่องจริงและมีคุณค่าต่อความเชื่อ
ค.ศ.1988 วาติกันได้ส่งคณะกรรมการเข้ามาตรวจสอบ ก่อนที่ “พระคาร์ดินัล โยเซฟ รัตซิงเกอร์” (พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน) ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งประธานสมณกระทรวงพระสัจธรรม ได้ประกาศรับรองอย่างเป็นทางการว่า เหตุการณ์ที่อะกิตะเป็นเรื่องควรค่าแก่การเชื่อ นอกจากนี้ ทีมแพทย์วาติกันยืนยันว่า เลือดที่ไหลออกจากดวงตาของรูปปั้นแม่พระเป็นเลือดมนุษย์จริงๆ
ซิสเตอร์อักแนส คัตซึโกะ ซาซากาวะ
ที่กล่าวมาก็คือประวัติของแม่พระแห่งอะกิตะ ผมไม่รู้ทุกท่านอ่านแล้วคิดอย่างไร แต่ตัวผมเองค่อนข้าง“อึ้ง” กับสารของแม่พระ เพราะมันอยู่หนึ่งประเด็นที่ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบันแบบ “โป๊ะเช๊ะ” ก็ว่าได้ นั่นคือ“ปีศาจในรูปแบบของพระคาร์ดินัลขัดแย้งกันและพระสังฆราชเกลียดชังกัน”
สารแม่พระตอนนี้ทำให้ผมอึ้งและตกใจมาก หากใครติดตามเว็บไซต์ popereport.com น่าจะทราบดีว่า เดือนมกราคมที่ผ่านมา พระศาสนจักรคาทอลิกในญี่ปุ่นเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง เรื่องมีอยู่ว่า สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งญี่ปุ่น สั่งให้ “กลุ่มวิถีคริสตชน” (NEOCATECHUMENAL WAY) ยุติการแพร่ธรรมในประเทศและเก็บข้าวของออกจากญี่ปุ่นภายใน 5 ปี บรรดาพระสังฆราชญี่ปุ่นบอกว่ากลุ่มวิถีคริสตชนซึ่งเป็นกลุ่มแพร่ธรรมจากสเปน ได้สร้างความแตกแยกในหมู่คริสตังญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ข่าวนี้ดังไปถึงวาติกัน พระสันตะปาปาจึงเรียกทั้งสองฝ่ายเข้าพบ ก่อนจะทรงสั่งให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกัน และอนุญาตให้กลุ่มวิถีคริสตชนทำงานแพร่ธรรมในญี่ปุ่นต่อได้
แต่หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งญี่ปุ่น ก็ออกแถลงการณ์ออกมาอีกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กลุ่มวิถีคริสตชนต้องหยุดการแพร่ธรรมและต้องเก็บของออกไปจากญี่ปุ่นภายใน 5 ปี ... สิ่งนี้เท่ากับว่า สภาพระสังฆราชคาทอลิกญี่ปุ่นขัดขืนคำสั่งของพระสันตะปาปา และยังสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างบรรดาพระคาร์ดินัลและพระสังฆราช (วาติกันกับญี่ปุ่น)
ถึงตอนนี้ ข่าวความขัดแย้งดังกล่าว เงียบหายไปแล้ว แต่ผมไม่รู้ว่า หากนำสารแม่พระมาพิจารณา ประโยคที่ว่า “ปีศาจในรูปแบบของพระคาร์ดินัลขัดแย้งกันและพระสังฆราชเกลียดชังกัน” มันจะหมายถึงความขัดแย้งระหว่าง สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งญี่ปุ่น กับ กลุ่มวิถีคริสตชน หรือเปล่า
อีกหนึ่งความอึ้งกับสารแม่พระอะกิตะก็คือ “ถ้ามนุษย์ไม่กลับใจและปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น พระบิดาจะลงโทษอย่างหนักต่อมนุษยชาติ มันจะเป็นการลงโทษที่รุนแรงกว่าการเกิดอุทกภัย ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
“อุทกภัย” ที่ว่า ผมไม่รู้ว่าจะใช่ “สึนามิ” แบบที่เกิดหรือไม่ ส่วนการกลับใจและปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่า แม่พระต้องการให้ชาวญี่ปุ่นบางคนเลิกยุ่งกับอุตสาหกรรมทางเพศ (หนังโป๊) ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก หรือเปล่า ... ผมไม่กล้าฟันธง เพราะบางสิ่งมันอยู่เหนือจากความเข้าใจและการตีความของมนุษย์
กระนั้นก็ตาม บทความในสัปดาห์นี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้ทุกคนกลัวและคิดฟุ้งซ่านว่า โลกกำลังจะแตก บางคนเริ่มเพ้อบอกว่า ค.ศ.2012 โลกแตกแน่ๆ
ในมุมมองของผม ถ้าเราเป็นคริสตังที่มีความเชื่อแรงกล้า เราจะรู้ดีว่า ผู้เดียวที่จะรู้วันสุดท้ายของโลกคือพระบิดา แม้แต่พระเยซู พระองค์ยังตรัสเลยว่า “ไม่มีใครล่วงรู้วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ นอกจากพระบิดา” เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าคิดฟุ้งซ่าน แต่จงกลับตัวกลับใจทำตัวให้เป็นคนดี และสวดให้มากๆเหมือนที่แม่พระบอกไว้จะดีกว่า ทั้งนี้ เพื่อคนบาปจะได้กลับใจ
ที่สำคัญอย่าลืมว่า ในสารแม่พระประจักษ์ที่อะกิตะ แม่พระบอกชัดเจนว่า “เรา(แม่พระ)ผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยปกป้องพวกลูกให้พ้นจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้” ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือสวดเพื่อให้คนบาปกลับใจ นั่นเอง
หมายเหตุ – บทความวันนี้ เป็นบทวิเคราะห์ตามมุมมองของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะผมมั่นใจว่า ต้องมีบางท่านบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดกับญี่ปุ่นเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ มันถึงเวลาที่ธรรมชาติต้องปรับสมดุลกันบ้าง (เปลือกโลกเคลื่อนตัว) อันนี้ ก็แล้วแต่มุมมอง ... ส่วนคนที่อยากรู้เรื่องแม่พระอะกิตะให้มากกว่านี้ ลองพิมพ์คำว่า “OUR LADY OF AKITA” ลงในกูเกิล จากนั้น เรื่องราวและสารแม่พระที่วาติกันรับรอง จะมีให้อ่านกันแบบจุใจครับ
สารแม่พระตอนนี้ทำให้ผมอึ้งและตกใจมาก หากใครติดตามเว็บไซต์ popereport.com น่าจะทราบดีว่า เดือนมกราคมที่ผ่านมา พระศาสนจักรคาทอลิกในญี่ปุ่นเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง เรื่องมีอยู่ว่า สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งญี่ปุ่น สั่งให้ “กลุ่มวิถีคริสตชน” (NEOCATECHUMENAL WAY) ยุติการแพร่ธรรมในประเทศและเก็บข้าวของออกจากญี่ปุ่นภายใน 5 ปี บรรดาพระสังฆราชญี่ปุ่นบอกว่ากลุ่มวิถีคริสตชนซึ่งเป็นกลุ่มแพร่ธรรมจากสเปน ได้สร้างความแตกแยกในหมู่คริสตังญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ข่าวนี้ดังไปถึงวาติกัน พระสันตะปาปาจึงเรียกทั้งสองฝ่ายเข้าพบ ก่อนจะทรงสั่งให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกัน และอนุญาตให้กลุ่มวิถีคริสตชนทำงานแพร่ธรรมในญี่ปุ่นต่อได้
แต่หลังจากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งญี่ปุ่น ก็ออกแถลงการณ์ออกมาอีกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กลุ่มวิถีคริสตชนต้องหยุดการแพร่ธรรมและต้องเก็บของออกไปจากญี่ปุ่นภายใน 5 ปี ... สิ่งนี้เท่ากับว่า สภาพระสังฆราชคาทอลิกญี่ปุ่นขัดขืนคำสั่งของพระสันตะปาปา และยังสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างบรรดาพระคาร์ดินัลและพระสังฆราช (วาติกันกับญี่ปุ่น)
ถึงตอนนี้ ข่าวความขัดแย้งดังกล่าว เงียบหายไปแล้ว แต่ผมไม่รู้ว่า หากนำสารแม่พระมาพิจารณา ประโยคที่ว่า “ปีศาจในรูปแบบของพระคาร์ดินัลขัดแย้งกันและพระสังฆราชเกลียดชังกัน” มันจะหมายถึงความขัดแย้งระหว่าง สภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งญี่ปุ่น กับ กลุ่มวิถีคริสตชน หรือเปล่า
อีกหนึ่งความอึ้งกับสารแม่พระอะกิตะก็คือ “ถ้ามนุษย์ไม่กลับใจและปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น พระบิดาจะลงโทษอย่างหนักต่อมนุษยชาติ มันจะเป็นการลงโทษที่รุนแรงกว่าการเกิดอุทกภัย ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
“อุทกภัย” ที่ว่า ผมไม่รู้ว่าจะใช่ “สึนามิ” แบบที่เกิดหรือไม่ ส่วนการกลับใจและปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่า แม่พระต้องการให้ชาวญี่ปุ่นบางคนเลิกยุ่งกับอุตสาหกรรมทางเพศ (หนังโป๊) ซึ่งญี่ปุ่นเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก หรือเปล่า ... ผมไม่กล้าฟันธง เพราะบางสิ่งมันอยู่เหนือจากความเข้าใจและการตีความของมนุษย์
กระนั้นก็ตาม บทความในสัปดาห์นี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้ทุกคนกลัวและคิดฟุ้งซ่านว่า โลกกำลังจะแตก บางคนเริ่มเพ้อบอกว่า ค.ศ.2012 โลกแตกแน่ๆ
ในมุมมองของผม ถ้าเราเป็นคริสตังที่มีความเชื่อแรงกล้า เราจะรู้ดีว่า ผู้เดียวที่จะรู้วันสุดท้ายของโลกคือพระบิดา แม้แต่พระเยซู พระองค์ยังตรัสเลยว่า “ไม่มีใครล่วงรู้วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ นอกจากพระบิดา” เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่าคิดฟุ้งซ่าน แต่จงกลับตัวกลับใจทำตัวให้เป็นคนดี และสวดให้มากๆเหมือนที่แม่พระบอกไว้จะดีกว่า ทั้งนี้ เพื่อคนบาปจะได้กลับใจ
ที่สำคัญอย่าลืมว่า ในสารแม่พระประจักษ์ที่อะกิตะ แม่พระบอกชัดเจนว่า “เรา(แม่พระ)ผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยปกป้องพวกลูกให้พ้นจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้” ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือสวดเพื่อให้คนบาปกลับใจ นั่นเอง
AVE MARIA
หมายเหตุ – บทความวันนี้ เป็นบทวิเคราะห์ตามมุมมองของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะผมมั่นใจว่า ต้องมีบางท่านบอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดกับญี่ปุ่นเป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ มันถึงเวลาที่ธรรมชาติต้องปรับสมดุลกันบ้าง (เปลือกโลกเคลื่อนตัว) อันนี้ ก็แล้วแต่มุมมอง ... ส่วนคนที่อยากรู้เรื่องแม่พระอะกิตะให้มากกว่านี้ ลองพิมพ์คำว่า “OUR LADY OF AKITA” ลงในกูเกิล จากนั้น เรื่องราวและสารแม่พระที่วาติกันรับรอง จะมีให้อ่านกันแบบจุใจครับ
สื่อมวลชนรายงานว่า เมืองอะกิตะ ที่แม่พระประจักษ์ ห่างจากเมืองเซ็นได ที่เกิดแผ่นดินไหวและสึนามิ ไม่มาก ... แต่ความเสียหายที่เมืองอะกิตะได ้รับนั้น แค่นิดเดียว (จุด A: เซ็นได, จุด B: อะกิตะ)
ขอบคุณบทความ และรูปภาพจาก "ฟาติมา สาร"
ขอบคุณะทุกท่านที่ติดตามอ่าน