Recent News

Powered by eSnips.com

วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

This I Promise You

ตอนนี้เรากลับมาถึง กทม. อย่างปลอดภัยแล้ว เหนื่อยนิดหน่อยกับการเดินทาง ตลอดทางที่นั่งรถทัวร์กลับมา มีฝนตก และลมแรงตลอดเลย ทำให้รถทัวร์เสียเวลาไปร่วมหนึ่งชั่วโมง (เท่ากับเรานั่งอยู่บนรถทัวร์ 6 ชั่วโมงกว่าๆ) แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะว่ามี “ทอมบ้านๆ” คนนึง นั่งข้างๆเราตลอดทาง (บังเอิญจริงๆที่มีทอมที่ไม่เคยรู้จัก มานั่งร่วมทางกลับ กทม. ด้วย) เมื่อกลับมาถึงบ้าน เห็นหน้าน้องวอดก้า และมอมแมม ความเหน็ดเหนื่อยก็พลันหายไปโดยหมดสิ้น

วันนี้ก่อนที่เราจะนั่งเรือกลับข้ามกลับมาที่ฝั่ง เรานั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่เราได้รับจากการไปเที่ยวเกาะช้างในครั้งนี้ นั่นคือ ถนนหนทางในเกาะช้าง มีเพียงเส้นทางหลักเพียงทางเดียว (ไม่มีทางลัด ทางด่วน แบบในกรุงเทพ) ถ้าเกิดอุบัติเหตุ ก็จะทำให้การจราจรโดยรอบเกาะเป็น “อัมพาต” ไปทันที ผิดกับกรุงเทพ ที่เมื่อทางนี้ติดขัด ก็จะหนีไปใช้เส้นทางอื่นได้อย่างไม่เสียเวลา

ถ้าจะเปรียบ ก็คงเหมือนโอกาสในชีวิตของเราแต่ละคน บางคนไม่มีโอกาสและทางเลือก มีเพียงเส้นทางเดียวให้เดินต่อไป แม้ว่าเส้นทางนั้นจะยากเย็นเพียงไหน แต่เขาก็ต้องเดินต่อไป บางคนอาจมีหนทาง และเส้นทางหลากหลายให้เลือกเดิน แต่เส้นทางที่มากมายเหล่านั้น อาจเป็นเพียงแค่ “ตัวเลือก ที่ไม่มีใครต้องการเลือกเดิน” ก็เป็นได้ เพราะเขาอาจกำลังสับสนกับเส้นทางเหล่านั้นอยู่

ถึง ตัว T ของหนู

หนูเหนื่อยนิดหน่อยคะ กับการเดินทาง แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วคะ พักสักนิดก็ดีขึ้นเยอะแล้ว อีกไม่กี่วัน เราก็จะได้เจอกันอีกแล้วนะคะ ทุกๆครั้งที่เราจะเจอกัน หนูจะนั่งนับวันเวลา ตื่นเต้น และก็ลุ้นอยู่ในใจลึกๆว่า คุณจะดีใจไหม? คุณจะรู้สึกแบบที่หนูรู้สึกบ้างไหม?

คนดีคะ ไม่รู้ว่าคุณจะเบื่อหนูหรือยังนะ? เพราะทุกๆครั้ง ที่เราคุยกัน เจอกัน หนูจะเป็น “เด็กเจ้าปัญหาตลอดเลย” คุณจะเบื่อ รำคาญที่จะตอบคำถามเด็กคนนี้ ซ้ำไป ซ้ำมา (กับคำถามเดิมๆหรือเปล่านะ?) เหตุผลที่ทำให้หนูต้องถามคำถามเดิมๆ นั้น หนูอยากให้คุณเข้าใจว่า คำตอบที่คุณตอบหนูนั้น หนูรับฟังผ่านหัวใจ ไม่ได้ผ่านสมอง ดังนั้น คงจะยากหน่อยที่หัวใจจะจดจำรายละเอียดได้ดีเท่าสมอง

แต่ถึงแม้ว่าหนูรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่หนูก็ยังชอบถาม เพราะหนูอยากได้คำตอบที่ “สดใหม่” ในทุกๆช่วงเวลา (ก็คุณอยู่ตรงหน้าหนูแล้วนี่น่า)

คุณจะสังเกตุไหมนะว่า บุคลิก นิสัย และมุมมองการใช้ชีวิตของเราสองคน แตกต่างกันมาก

คุณเป็นคนโลกส่วนตัวสูง ไม่ค่อยพูดจาเท่าไหร่ เงียบๆ ขรึมๆ
แต่หนูเป็นคนร่าเริง พูดเก่ง และขี้เล่น

คุณมีชีวิตที่อยู่กับสิ่งเดิมๆ ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย
แต่หนูเป็นคนชอบความตื่นเต้น ขี้เบื่อ และ hyper

คุณเป็นคนที่รักธรรมชาติ ชอบอยู่กับต้นไม้ รดน้ำต้นไม้
แต่หนูเป็นคนชอบนั่งดูดอกไม้ และต้นไม้เจริญเติบโต

คุณเป็นคนที่นอนได้ตลอด และชอบนอนกลางวัน
แต่หนูเป็นคนนอนน้อย ถ้าลุกขึ้นมาแล้ว นอนต่อไม่ได้

คุณเป็นที่ใช้อารมณ์ และบุคลิกส่วนตัวในการดำเนินชีวิต
แต่หนูเป็นคนที่ใช้เหตุผลในการดำเนินชีวิต

คุณเป็นคนไม่ดื้อ ไม่ซน
แต่หนูดื้อ ซน และเป็นตัวแสบให้คุณได้ปวดหัวตลอดเวลา

มองในแง่ดี การที่เราสองคนแตกต่างกัน ก็ทำให้เราสองคน “เติมเต็ม” ซึ่งกันและกัน ได้อย่าง “สมบูรณ์” (ใช่ไหมคะ?)

เพลงนี้ให้คุณนะคะที่รัก หนูรักคุณนะคะ



This I Promise You

When the visions around you,
Bring tears to your eyes
And all that surround you,
Are secrets and lies
I'll be your strength,
I'll give you hope,
Keeping your faith when it's gone
The one you should call,
Was standing here all along..
And I will take
You in my arms
And hold you right where you
Belong
Till the day my life is through
This I promise you
This I promise you
I've loved you forever,
In lifetimes before
And I promise you never...
Will you hurt anymore
I give you my word
I give you my heart (give you my
heart)
This is a battle we've won
And with this vow,
Forever has now begun...
Just close your eyes (close your
eyes)
Each loving day (each loving day)
I know this feeling won't go away
(no..)
Till the day my life is through
This I promise you..
This I promise you..
Over and over I fall (over and over I
fall)
When I hear you call
Without you in my life baby
I just wouldn't be living at all...
And I will take (I will take you in my
arms)
You in my arms
And hold you right where you
belong (right where you belong)

Till the day my life is through
This I promise you baby
Just close your eyes
Each loving day (each loving day)
I know this feeling won't go away
(no..)
Every word I say is true
This I promise you
Every word I say is true
This I promise you
Ooh, I promise you...

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2552

Still at Koh Chang

เจ็ดวันเต็มแล้วสินะ สำหรับชีวิตที่ "เฉื่อยลง" ณ เกาะช้าง ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ชีวิตของเราได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับคนหลายๆคน ซึ่งบางคนที่นี่ก็ดูเข้มแข็ง เป็นคนสู้ชีวิต และมีประสบการณ์ในชีวิตมากมาย แต่บางคนที่นี่ก็เป็นคนธรรมดา ใช้ชีวิตให้หมดไปวันๆ โดยไม่เข้าใจความหมายของมันเลย ซึ่งเมื่อเราได้พบ และพูดคุยกับคนทั้งสองประเภทนี้ ทำให้เราพอเข้าใจได้เลยว่า ทำไม? คนบางคนถึงเลือกจะใช้ชีวิตแบบนี้ และแบบนั้น บางคนไม่ได้เป็นคนเลือกหนทางการใช้ชีวิต แต่เขาปล่อยตัวเองให้เป็นไปตามกฏของสังคม (โดยที่พวกเขาอาจไม่เข้าใจในตัวเองเลยด้วยซ้ำไป)
พรุ่งนี้เราก็จะเดินทางกลับ กทม. แล้ว ช่วงเวลาแห่งการรู้จักตัวเอง และตั้งคำถามให้กับตัวเองมากมาย ก็คงเป็นอันต้อง "จบลง" แต่เพียงเท่านี้ เมื่อไปสู่เมืองใหญ่ เมืองที่เราแทบไม่มีโอกาสได้ตั้งคำถามให้กับทุกสิ่งรอบตัว (เพราะไม่มีเวลา หรือไม่ก็มีคำตอบเบ็ดเสร็จเตรียมไว้รอแล้ว) ถึงตอนนั้น เราก็คงต้องยุ่งอยู่กับการตอบคำถามของคนอื่นจนวุ่นวายไปหมด แต่ไม่ว่ายังไง ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
เรามาที่นี่ก็หลายครั้งอยู่ และอยู่แต่ละครั้งก็สั้นบ้าง ยาวบ้าง ทำให้เราเริ่มคิด และกำลังตัดสินใจ ที่จะมาอยู่ที่นี่ "แบบถาวร" เสียแล้ว เรามีโปรแกรมไว้ในใจว่า จะเช่าบ้านสักหลัง และเอาน้องแมวของเราสองตัวมาอยู่ที่นี่ด้วย ที่ๆมองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวของภูเขา และสีฟ้าของน้ำทะเล ช่างเป็น "สถานที่" ที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างครอบครัว เริ่มต้นอะไรใหม่ๆเสียจริงๆ
ถึง ตัว T ของหนู
หลังจากที่หนูนอนคิดไปคิดมาอยู่หลายวัน หนูตั้งคำถามให้กับทุกๆช่วงเวลาของเรา คำถามซึ่งบางทีอาจต้องการคำตอบจากคุณ และอีกหลายๆคำถามที่อาจไม่ต้องการคำตอบ หรือคำอธิบายใดๆ การที่หนูได้อยู่ตรงนี้ ทำให้หนูได้คิด ทบทวน และมองอนาคตของเรามากขึ้น
เมื่อคืนก่อน หนูคิดถึงวันแรกที่เราได้สบตากัน วันแรกที่คุณเอื้อมมือมาจับมือหนูไว้ วันแรกที่คุณบอกรักหนูต่อหน้า และ ณ วันนั้น หัวใจสองดวงของเราก็เริ่มเต้นพร้อมกันอีกครั้งนึง หนูเคยสงสัยว่า "ชีวิตคู่" คืออะไร? เราจำเป็นมากไหม? ที่ต้องมี ชีวิตคู่ คำตอบทั้งหมดที่หนูเฝ้าค้นหา และสงสัยมาตลอด มีคำตอบทันใด ณ วินาทีนั้น วินาทีที่คุณ "เปิดใจ" รับหนูเข้าไปในหัวใจ
"ความรัก ที่ไม่ต้องการความคาดหวัง" คือความรักที่คุณมอบให้กับหนู
หนูเคยถามคุณว่า ความรักและความผุกพันที่เรามีต่อกันนั้นมากขึ้น หรือน้อยลงไหม ตั้งแต่วันแรกที่มันได้ "ก่อเกิดขึ้น" คำตอบของคุณก็คือ "คุณยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง"
ขอบคุณนะคะสำหรับทุกสิ่ง หนูจะทำให้คุณ เป็น ตัว T ที่โชคดีที่สุดในโลกให้ได้ สัญญาจากหัวใจของเด็กซนของนี้
In you,

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

Nobody's Perfect

Nobody’s Perfect เป็นประโยคที่คุ้นๆสำหรับหลายๆคน และเราก็ค่อนข้างเชื่อมั่นเช่นนั้นด้วยเช่นกัน

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์มาแบบ “ไม่สมบูรณ์” เพราะพระองค์อาจต้องการ ให้มนุษย์ “ค้นหา” ชิ้นส่วนที่เหลือของชีวิต เพื่อมา “เติมเต็ม” ให้กับตัวเราเอง

ปัจจัยหลักที่ทำให้มนุษย์มีชีวิตที่สมบูรณ์ (ตามความคิดของมนุษย์)

1. หน้าที่การงาน (มนุษย์ต้องการมีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี ต้องการเป็นเจ้านายคนอื่น หลายครั้งถึงแม้ว่าเราต้องเหยียบชีวิตใครขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่เราต้องการ เราก็จะทำไป)

2. ฐานะทางสังคม (มนุษย์ต้องการเป็นที่ยอมรับ และรู้จัก ต้องการมีชื่อเสียง ถึงแม้ว่าชื่อเสียงที่เราได้มานั้น จะในทางดีหรือไม่)


3. ฐานะทางการเงิน (เงินคือสิ่งที่บันดาลให้เราได้ทุกสิ่ง และเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อ “เติมเต็ม” หลายๆสิ่งที่เราอาจขาดไปในชีวิต)

4. รูปสมบัติ (รูปกายภายนอกที่สวยสดงดงาม หลายๆคนยอมเจ็บตัว ยอมทำทุกอย่างเพื่อแลกมาซึ่งความสวยงาม)


5. สติปัญญา (ความฉลาดเพื่ออยู่รอดในสังคม หาใช่ความฉลาดที่จะรู้จักตัวเองไม่)

6. ครอบครัวที่ดี (มีพ่อ แม่ และลูก อย่างสมบูรณ์ มีความรัก และความอบอุ่นในครอบครัว)


7. มีชีวิตรักที่ดี (ประสบความสำเร็จในชีวิตรัก มีแต่คนรัก)

ถ้าจะลองคิดกันเล่นๆ ในชีวิตนึงของมนุษย์นั้น ไม่มีใครมีปัจจัยครบทั้ง 7 ข้อที่กล่าวไว้ด้านบน (ไม่เชื่อ เพื่อนๆก็ลองถามตัวเองเล่นๆดูนะคะ)

บางคนมีหน้าที่การงานที่ดี ก็ไม่มีความสุข เพราะต้องทำงานแบบกลัวว่า จะมีคนที่อยู่ข้างล่าง คอยเลื่อยตำแหน่ง หรืออาจถูกอิจฉาจนต้องถูกกลั่นแกล้ง

บางคนมีชื่อเสียง มีฐานะทางสังคมดีก็ไม่มีความสุข เพราะถูกจับตามองโดยคนรอบตัว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ชีวิตขาดอิสระ

บางคนร่ำรวย ก็ไม่มีความสุข เพราะในความร่ำรวยที่เขามีนั้น เขาอาจหาคนที่เข้ามาหาเขาด้วยความจริงใจไม่ได้ และหลายๆคน ก็อาจถูกหลอกลวง หรืออาจถูกทำร้ายทางร่างกาย และจิตใจ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาครอบครอง

บางคนมีเรือนร่างที่สวยสดงดงาม ก็ไม่มีความสุข เพราะหลายๆครั้งที่คุณค่าของเขา ก็ถูกให้ความสนใจแต่เพียงภายนอก แต่อาจไม่เคยมีใครเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการลึกๆในใจเลยก็เป็นได้

บางคนมีสติปัญญาดีก็ไม่มีความสุข เพราะบางทีการที่เรารู้ทุกเรื่องนั้น ก็ไม่มีประโยชน์อะไรในการดำรงชีวิต หากเราปราศจากการรู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้

บางคนมีครอบครัวที่ดี ก็ไม่มีความสุข เพราะเขาจะมองโลกในแง่ดี และไม่สามารถเข้าใจ และรับได้ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้

บางคนมีคนรักที่ดี ก็ไม่มีความสุข เพราะอะไรก็ตามที่สมบูรณ์เกินไป อาจทำให้มนุษย์ที่ชอบผจญภัยเบื่อหน่าย

ใน “ความสมบูรณ์” ก็มี “จุดบกพร่อง” ต่างๆที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้น ใครที่คิด และต้องการให้ชีวิตของตัวเองถูกเติมเต็มเพื่อสมบูรณ์ ก็อาจต้องคิดให้หนักหน่อย เพราะบางทีการดิ้นรนของคุณ อาจจะนำมาซึ่งหายนะของชีวิตก็ได้

Good Night นะคะ

บรรยากาศที่เกาะช้างคืนนี้เงียบสงบ เสียงคลื่นลมทะเลอบอวลไปด้วยความอบอุ่น ขอบคุณพระเจ้า สำหรับคืนที่เงียบสงบคืนนี้

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

ณ เกาะช้าง

ตอนนี้เราอยู่ "เกาะช้าง" กำลังเขียน "ไดอารี่" ผ่านร้าน Internet ร้านนึง จริงๆแล้ว เราตั้งใจจะเข้ามาเขียนไดอารี่นี้ ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว (แต่เพราะดึกมากแล้ว และคงไม่ปลอดภัยแน่ๆ) เมื่อคืนท้องฟ้าที่เกาะช้างมืดสนิท มีเพียงแสงเล็กๆจากดวงดาวเท่านั้น ที่ส่องระยิบระยับลอดผ่านม่านฟ้า ออกมา "ส่องทาง" ให้กับเราได้พอเห็นทางได้บ้าง อากาศยามดึก (ตี 1 กว่าๆได้) เราขี่มอเตอร์ไซค์ไปในทางที่มืดสนิท มีนักท่องเที่ยวบางคนยังสนุกอยู่กับ Hamburger มื้อดึก และก็มีวัยรุ่นไทยบางคน เพิ่งออกมาจากสถานที่เที่ยว (ซึ่งมีเพียงสถานที่เดียวบนเกาะแห่งนี้) บรรยากาศโดยรอบ เงียบสงบ เหมือนๆกับ ความรู้สึก หรือสิ่งเร้าที่เต้นอยู่ให้หัวใจเราด้วย ที่ต่าง "หยุดนิ่ง" เมื่อมาถึงเกาะแห่งนี้ บางทีอาจเพราะ ในบรรยากาศแบบนี้ เสียงคลื่น และลมทะเล ได้พัดพา "ความสับสน ความกังวล และความกลัว" ออกไปจากหัวใจของเราได้อย่างหมดสิ้น (ก็อย่างที่เราเขียนในไดอารี่วันอาทิตย์ ว่า บางทีการมีชีวิต และใช้ชีวิต อย่าง "เฉื่อยๆ" ณ ที่นี้ ก็อาจมีทั้งข้อดี และข้อเสียก็ได้)

ถึง ตัว T ของหนู

ขอบคุณนะคะ ที่ทำให้หนูเป็น ผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก

ขอบคุณนะคะ ที่ยอม "เปิดใจ" ให้หนูเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวของคุณ (โดยที่คุณไม่ได้สนใจว่า "มือซ้ายหนูอาจจะถือไม้ขีดไฟ มือขวาหนูอาจจะถือน้ำมัน และถ้าหนูไม่ระวัง หนูอาจจะ "เผลอ" จุดไฟ ทำร้ายหัวใจของคุณได้)

ขอบคุณนะคะ สำหรับความเอาใจใส่เล็กๆ ในทุกๆสิ่ง (หนูใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิต สังเกตุคนอื่นมามากเหลือเกิน ตอนนี้เมื่อหนูมีคุณ หนูเหมือนเป็นผู้ถูกสนใจมากขึ้น รู้สึกดีจริงๆคะ)

ขอบคุณนะคะ สำหรับ "ความรัก" ที่ "มอบให้" หนูโดย "ไม่มีข้อแม้ หรือ ความสับสนใดๆ"

ขอบคุณนะคะ สำหรับ "การยอมรับ" ของคุณ

หนูสัญญานะคะว่า "คนธรรมดาเช่นหนู จะมอบความรักทั้งหัวใจกลับไปให้กับคุณโดยไม่มีข้อแม้เช่นกัน"

หนูสัญญานะคะว่า "หนูจะไม่ดื้อ ไม่ซน ไม่งอแง และไม่ทำให้คุณปวดหัวอีก"

หนูสัญญานะคะว่า "หนูจะรักและซื่อสัตย์กับคุณเพียงคนเดียว"

หนูสัญญานะคะว่า "หนูจะจับมือคุณเอาไว้อย่างนั้นตลอดไป จะไม่มีสิ่งไหนมาพรากเราสองคนจากกันได้"

หนูสัญญานะคะว่า "จะไม่มี "สิ่งเร้า หรือข้อสงสัย และความกังวลใดๆ" มาทำให้หนูอ่อนแอได้

หนูสัญญานะคะว่า "ถึงแม้โลกนี้อาจไม่มีใครเข้าใจคุณ รับฟังคุณ แต่หนูจะยังคงยืนอยู่ตรงนี้กับคุณเสมอ และตลอดไป"

หนูสัญญานะคะว่า "หนูจะทำอะไรให้ช้าลง ไม่ให้คุณต้องกังวลกับกิจกรรมที่มากเกินไปในแต่ละวันของหนู"

คำเตือน: ห้ามบอกรักหนูเกินวันละ 10 ครั้ง เพราะอาจทำให้หนูเคยตัวได้

คำเตือน: กรุณา "ตามใจหนู" เสียบ้าง เพื่อป้องกัน "หนูออก Step ดื้อกับคุณ"

ผลข้างเคียงในด้านความรักของเรา

คุณรู้ไหมคะว่า คุณทำให้หนูยิ้มตลอดเวลา จนหลายๆคนอาจหากว่า "หนูบ้าไปแล้ว?

เป็นไปได้ไหม? เมื่อเรารักใครสักคน เราจะห่วงเขา อยากจะ "แบกรับ" ความเจ็บปวดแทนเขา เมื่อเห็นเขาเจ็บป่วย เราก็อยากจะร่วม Share ความเจ็บป่วยเหล่านั้นด้วย และถ้าอาการเจ็บป่วยของเขา เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ล่ะ "เราจะทุกข์ทรมานใจแค่ไหนกันนะ?"

คนดีคะ คุณรู้ไหมคะ ว่าทุกครั้งที่หนูเห็นคุณไม่สบาย หัวใจหนูแทบแหลกสลาย หนูรู้สึกจุกที่หน้าอก หนูอยากจะทำอะไรให้ได้มากกว่าการที่ต้องมองดูคุณเจ็บปวด หนูพอเข้าใจเลยว่า "ความรักนั้นมีอาณุภาพมากแค่ไหน?" และ "อาณุภาพของความรักนั้น ก็ยิ่งใหญ่ เพียงพอที่จะสร้างโลกใบเล็กๆให้คนสองคน ที่มีหัวใจเต้นเพื่อสิ่งเดียวกัน อยู่ได้อย่างอบอุ่น"
หนูมั่นใจในตัวคุณ ในความรักของคุณ
When I am Weak, You make me strong.
หนูรักคุณนะคะ (คุณอาจได้ยินคำๆนี้บ่อยๆแล้ว แต่ครั้งนี้เป็น "การบอกรัก" ผ่านตัวอักษรนะคะ ไม่ใช่ต่อหน้า)
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน


วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552

ไปเกาะช้าง

เย้ เย้ พรุ่งนี้ เราก็จะเดินทางไป “เกาะช้าง” อีกแล้ว จะได้เห็นทะเลอีกแล้ว จะได้ ไปทาน Pizza ที่แสนอร่อย, ข้าวผัดที่รสชาติเบสิก, โรตีใส่กล้วยหอมที่อร่อยที่สุด, หมูย่าง ข้าวเหนียว และน้ำจิ้มแจ่ว (รสชาติกลมกล่อมที่สุด), หมูแดดเดียว กับใบมะกรูดทอด ทานกับซอสพริกแสนอร่อย, ไก่มาเฟีย (เมนูเด็ด) และมาม่า cup noodle (อาหารจำเป็น ยามสาย) แต่ที่อยากทานมากที่สุด ก็คือ มาม่าผัด (คราวก่อนไปแล้ว เห็นฝรั่งนั่งทานกันอย่างอร่อย ครั้งนี้ต้องไปขอลองเสียหน่อย) พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 เดินทางแต่เช้ามืด (โอมเพี้ยง ขอให้พรุ่งนี้ฝนอย่าตกเลย) ส่วนเรื่อง “วันกลับ” (ไม่มีกำหนดกลับอย่างเป็นทางการคะ คาดว่าคงจะนานกว่าทุกๆครั้งที่ไป)

ถ้าจะเปรียบเทียบ “ชีวิต และความสะดวกสบาย” ระหว่าง “กรุงเทพ” และ “เกาะช้าง” นั้น แตกต่างกันอย่างมาก

ที่กรุงเทพ เราสามารถไปไหนได้อย่างอิสระ อยากไป shopping ที่ไหน ทานข้าวที่ไหน ก็แค่คว้า “กุญแจรถ” ขับออกไป, หากรู้สึกเหงาๆ ก็เปิดดู true visions, ไม่ว่าอากาศภายนอกจะร้อนแค่ไหน เราไม่เคยได้รับรู้ นอนห้องแอร์ อุณหภูมิคงที่ตลอด, อยากรู้ อยากอ่านข่าวอะไร ก็แค่เปิด notebook เข้า Internet

ที่เกาะช้าง ไม่ค่อยสะดวกนักที่จะออกไปไหน, ไม่ค่อยได้ดูทีวี, ไม่ได้เล่น Internet, อากาศตอนกลางวันร้อนมาก กลางคืนก็หนาวมากเช่นกัน บางทีอยู่ๆฝนก็ตกมาแบบไม่ให้รู้เนื้อ รู้ตัว

ที่กรุงเทพ ชีวิตเราตื่นตั้งแต่เช้า มีกิจกรรมทำตลอดจนจรดค่ำ (จนหลายครั้งเราแทบไม่มีโอกาสได้คุยกับตัวเราเอง)

ที่เกาะช้าง ชีวิตเริ่มมี “ความเฉื่อยลง” ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้พักสมอง และปล่อยจินตนาการให้หลุดเข้าไปใน “ห้วงเสรี”

เมื่อเปรียบเทียบ ชั่งน้ำหนักด้วยเหตุผลแล้ว ทั้งกรุงเทพ และเกาะช้าง ก็มี “มนต์เสน่ห์” ในการใช้ชีวิตของเราต่างกัน

ถึง คุณ (เจ้าของหัวใจของหนู)

หนูคง “ห่างหาย” จากการถ่ายทอดความในใจหนูผ่าน “ตัวอักษร” ไปสักพักนะคะ แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย แม้เราไม่สามารถ “สื่อสารกัน” ผ่านตัวอักษร แต่เราก็สามารถสื่อสารกันในช่องทางอื่นๆได้อย่างแน่นอน (ไม่ต้องมายิ้มเลย หนูอ่านความคิดคุณออกนะ)

พรุ่งนี้หนูจะเดินทางแล้ว คุณบอกว่า “คุณห่วงหนู จะหายห่วงได้ก็เมื่อหนูถึงจุดหมายปลายทางแล้ว” หนูอยากจะบอกคุณว่า “ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูไม่เป็นไรคะ ต้องปลอดภัย เพราะตราบใดที่หนูมีความรักของคุณอยู่กับหนู ไม่มีอันตราย หรือความกลัวใดๆ ที่จะ “ก้าวข้ามผ่านมา” ทำร้ายหนูได้อย่างแน่นอน”

เราได้มีโอกาสคุยกันเรื่อง “วันสงกรานต์” หนูก็บอกเล่าคุณ และขออนุญาติไปในตัวว่า “หนูขอไปเล่นสงกรานต์ได้ไหมคะ” คุณนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบว่า “แล้วแต่” หนูฟังแล้วก็ยิ้มๆ หนูจึงพูดกับคุณว่า “ที่รักคะ ณ ตอนนี้คุณมีสิทธิ์ที่จะห้าม หรือแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของคุณ (ว่าหนูควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร) ได้อย่างเสรี แต่ต้องมีเหตุผล (ที่เพียงพอ) เพราะคุณคือเจ้าของหัวใจหนูแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะกังวล สั่งห้าม หรือ สั่งงด กิจกรรมที่คุณรู้สึกว่า หนูไม่ควรทำ” หนูให้อิสระคุณเต็มที่ (ก็หัวใจหนูเป็นของคุณแล้วนี่คะ หนูเชื่อว่า ด้วยความรักของคุณ คุณหวังดีต่อหนูแน่นอน) เพราะมันเป็น “สิทธิ์โดยชอบธรรม” ของคุณ

หนูเพิ่ง “ค้นพบสัจธรรม” ที่ว่า “ทำไมคู่รักบางคู่ เวลาทะเลาะกันแล้ว จากเรื่องเล็กๆ ได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ๆ หรือบางทีก็อาจลามปามไปถึงการทำร้ายร่างกาย ท้าเลิก ประชดรักกันไปต่างๆนาๆ นั่นเพราะพวกเขาทั้งสองปล่อยให้ ทิฐิ อารมณ์ อยู่เหนือความรัก และทำไมคู่รักบางคู่ พอเริ่มที่จะทะเลาะกันแล้ว พวกเขาก็จะพยายามขอโทษซึ่งกันและกัน ค่อยๆหาเหตุผลในเชิงบวกมาเพื่อป้องกัน “มรสุม” ที่กำลังจะเกิดขึ้น นั่นเพราะทุกๆวินาทีในชีวิตของพวกเขา ไม่ยอมปล่อยให้อารมณ์ใดๆ มาอยู่เหนือความรัก (ไม่ว่าความผิดจะร้ายแรงแค่ไหน อารมณ์ของพวกเขาจะกระเจิงออกไปแค่ไหน แต่ “ความรัก” ก็มีพลังผสานให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ)

หนูถึงได้เข้าใจในวันนี้ว่า เพราะอะไร? เราสองคนถึงแทบจะไม่มีการทะเลาะกันเลย หรือถ้าจะไม่เข้าใจกัน ก็อาจมีสาเหตุมาจากเรื่องเดียวก็คือ “เราทั้งสองต่างคน ต่างรักกันและกันมากเกินไป ต้องการกันและกันมากเกินไป” (ซึ่งเมื่อเหตุผลใดๆ ที่เกิดมาจาก “พื้นฐานความรัก” เหตุผลเหล่านั้นก็เป็นอัน “ตกไป”)


หากมองในอีกมุม การที่เราสื่อสารกันไม่เข้าใจบ้าง ก็เป็น “สิ่งที่ดีเหมือนกัน” เพราะ เวลาที่เรา “ไม่เข้าใจ” กันทีไร “ความรัก ก็จะมาสั่นกระดิ่งเตือนให้เรารับรู้โดยทันทีว่า ความรักที่เรามีต่อกันและกันนั้น ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่อารมณ์ใดๆจะมาชนะได้”

“ความรักแท้” ไม่เคย “ทำร้าย” ใคร หนูมั่นใจในความรักของเรา และหนูเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า “พื้นฐาน และจุดเริ่มต้น” ของความรักของเรานั้น ไม่ได้เริ่มจากการใช้สมองส่วนใดทั้งสิ้น ความรักของเรา เริ่มต้นจาก “หัวใจ” ดังนั้น จึงไม่มีสิ่งไหน “ทำลาย” ได้

Thanks for being here with me!!!

In you, Nothing in this world can make me FEAR!!!!

แล้วเจอกันนะคะที่รัก

In You.

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552

Watchmen & Seven Pounds

เมื่อศุกร์ที่แล้วเราได้ไปดู Watchmen มา ต้องยอมรับว่า ค่อนข้างตั้งความหวังกับหนังเรื่องนี้ไว้สูงเหมือนกัน แต่เมื่อได้เข้าไปดูแล้ว ไม่ได้แค่รู้สึกเสียดายเงิน แต่รู้สึกเสียดายเวลาไปด้วย ตอนต้นเรื่อง และกลางเรื่อง รู้สึกได้ถึง “ความสับสน” ของทั้งผู้กำกับ และผู้เขียนเรื่อง แต่ก็ยังดี ที่ตอนจบ ยังไม่ “แง่คิด เตือนสติ” ให้รู้สึกได้คุ้มกับค่าน้ำเปล่าที่ซื้อเข้ามาดื่มระหว่างดูหนังหน่อย

และวันนี้ เราก็ไปดูหนังเรื่อง “Seven Pounds” ที่ Will Smith แสดง เราเคยผ่านตากับ โฆษณา หนังเรื่องนี้มาบ้าง ก็พอคิดไปเองได้ว่า ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “พลังศรัทธาในพระเจ้า” (เราคิดไปเอง) เราจึงตัดสินใจดูหนังเรื่องนี้ แบบไม่ลังเลเสียเท่าไหร่ (แต่เมื่อเข้าไปดูแล้ว ต้องยอมรับว่า เสียความรู้สึกนิดหน่อย เพราะเป็นคนละแนวกับที่ต้องการดูเลย)

แต่ด้วยการดำเนินเรื่องของหนังเรื่องนี้ ที่เป็นไปได้ดีมากๆ (ตอนแรก อาจจะ “งง” นิดหน่อย) ใจความสำคัญของหนังเรื่องนี้ก็คือ พระเอก ต้องการที่จะคัดเลือก 7 คนที่กำลังจะตาย หรือมีความบกพร่องทางร่างกาย เพื่อ “หยิบยื่นโอกาส” และเขาก็ยอมที่จะสละชีวิต และอวัยวะในร่างกาย เพื่อ “ต่อชีวิต” ให้กับอีก 7 คนที่เหลือได้มี “ลมหายใจ และอยู่ต่อไป” บนโลกใบนี้ เขาจึงวางแผนทั้งหมด รวมถึงเลือกรูปแบบ “การตาย” ของเขาไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุด (ดูเรื่องนี้ ก็ถือว่าคุ้ม ไม่ได้กำไร แต่ก็ไม่ขาดทุน)

วันนี้กิจกรรมค่อนข้างเยอะ เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านเอง เหนื่อยมาก เราไปนอนพักก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องลุยต่ออีกเยอะ

คุณคะ วันนี้หนูไม่ได้ “เรียบเรียงตัวอักษร” และ “ถ่ายทอด” ความรู้สึก ออกมาให้กับคุณอ่าน เอาเป็นว่า หนูจะ “ชดเชย” ให้ด้วย “การสื่อสาร” ทางวาจาแทนนะคะ


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

Will U marry me?

เมื่อวาน “งานเขียน” ของหนู จบแบบ “ห้วนๆ” เมื่อคุณอ่านแล้ว ก็คงรู้สึกแปลกๆ เพราะคุณกำลัง “เข้าถึงอารมณ์ลึกๆ” แต่อยู่ๆ หนูก็ “จบ” เสียอย่างงั้น ต้อง “ขอโทษ” ด้วยนะคะ พอดีว่า เมื่อวานขณะเขียนนั้น หนูก็นั่งดู “ปอบผีฟ้า” อยู่ด้วย (พอผีปอบออกมา อารมณ์ inner หนูก็ “ดับวูบ” แบบฉับพลัน ส่งผลทำให้งานเมื่อวานไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าที่ควร)

ถ้าพูดถึง “การแสดงออกในอารมณ์ของความรัก” หนูต้องยอมรับเลยว่า หนูเป็นคนที่ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านนั้นเอาเสียเลย อาจเพราะหนูเป็นคนนิ่งๆ โลกส่วนตัวสูง และชินกับการใช้ชีวิตเพียงลำพัง เวลาที่หนูรักใครสักคน หนูก็จะแสดงออกผ่านความเคยชินประจำวัน เช่น การสังเกตุสิ่งที่คุณชอบ หรือไม่ชอบ, การซักถามผ่านคำถามหลายๆแง่มุม เพื่อช่วยให้หนูเข้าถึงความเป็นตัวคุณมากที่สุด, ความห่วงใยแบบคอยดูอยู่ห่างๆ (จนบางทีคุณอาจคิดว่า หนูไม่ได้สนใจมองดู แต่จริงๆแล้ว ทุกๆสิ่งในชีวิตคุณ หนู “คอยสังเกตุ เฝ้าระวังภัย” ให้คุณตลอดแหละ) และการใส่ใจกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ ที่ช่วยในการเจริญชีวิตประจำวันของคุณ (จนบางทีคุณอาจจะไม่ชิน เพราะหนูเป็น “ดี้” นี่นะ แต่การแสดงออกบางอย่างหนูออกจะ “แมนๆ” เหมือนทอมไปหน่อย)

คนดีคะ จำได้ไหมคะ ที่ครั้งแล้ว ครั้งเล่า หนูเคยถามคุณด้วยประโยคเดิมๆว่า Will U marry me? หนูไม่รู้ว่า คุณเข้าใจในความหมายในคำถามของหนูไหม คำถามนี้ ไม่ได้หมายความถึงว่า หนูขอให้คุณใส่ชุดขาว เข้าโบสถ์แต่งงานกับหนู หรือมีการลงลายมือชื่อในกระดาษเพื่อเป็นหลักฐาน

คำว่า “Marry” ของหนูนั้น หมายถึง “การเริ่มต้น” สร้างครอบครัวเล็กๆ ที่มี “หัวใจสองดวง” เป็น “เสาเอก” มี “ความเอาใจใส่” เป็น “คาน” มี “ความเสียสละ” เป็น “โครงสร้าง” มี “การให้อภัย” เป็น “หน้าต่าง” มี “ความผูกพัน” เป็น “ประตู” มี "ความซื่อสัตย์" เป็น "หลังคา" มี “การประนีประนอม” เป็น “ผนัง” และมี “การยอมรับ” เป็น “กำแพง” ซึ่งในทุกๆความรู้สึก และอารมณ์เล็กๆเหล่านี้ จะ “ถูกก่อ และหล่อหลอมรวมกัน” เพื่อสร้างคำว่า “เรา” ให้เกิดขึ้น

เมื่อหนู “เริ่มต้นถามประโยคนี้กับคุณ” นั่นหมายความว่า “หนูพร้อมแล้ว ที่จะเริ่มต้น สร้างบ้าน และครอบครัวเล็กๆ เพื่อใช้ชีวิตอยู่กับคุณ และหนูพร้อมเต็มที่แล้ว ที่จะ Share ชีวิตที่เหลืออยู่นั้นกับคุณ” คุณอาจรู้สึกแปลกๆ เมื่อได้ยินหนูถามประโยคนี้ “แต่หนูจริงจังมากกับคำถามนี้นะคะ” เพราะ “คำตอบ” ที่คุณจะตอบ อาจทำให้ชีวิตและอนาคตของเราสองคนเปลี่ยนไปได้อย่างแน่นอน

คุณยังไม่ต้องตอบคำถามข้อนี้กับหนูก็ได้ “หนูอยากให้คุณได้ไตร่ตรองดูให้ดีๆว่า หนูมีคุณสมบัติ มีคุณค่าพอ และเหมาะสมพอ สำหรับคุณหรือเปล่า” (หนูจะรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ และหนูก็มั่นใจว่า “คุณคงไม่ปฏิเสธหนูหรอกใช่ไหมคะ?” )

คนบางคน เฝ้าเดินทางมาทั้งชีวิต เพียงเพื่อต้องการที่จะพบ “รักแท้” สักครั้งในชีวิตหนึ่งที่เขาเกิดมา

คนบางคน เฝ้าเดินทางมาทั้งชีวิต เพียงเพื่อต้องการที่จะพบ “คนๆนึง” ที่พร้อมจะหยุดการเดินทาง เพื่อเริ่มต้นใช้ชีวิตร่วมกับเขา

คนบางคน เฝ้าเดินทางมาทั้งชีวิต เพียงเพื่อต้องการหา “หัวใจสักดวง” ที่ยินยอม และพร้อมที่จะเต้นไปพร้อมกับหัวใจของเขา

คนบางคน เฝ้าเดินทางมาทั้งชีวิต เพียงเพื่อต้องการ “ขอโอกาส” ที่จะดูแลคนอีกคนไปตลอดทั้งชีวิต

แต่ไม่ว่าคุณจะเดินทางมา เพื่อค้นหา หรือต้องการที่จะค้นพบอะไร คุณจะพบคำตอบที่หัวใจคุณต้องการในทุกสิ่ง เพียงแค่คุณ “เปิดโอกาส” ให้หนูได้เข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของคุณ

หนูเชื่อเหลือเกินว่า “ผู้หญิงธรรมดาคนนึงเช่นหนูนี้” จะ “กระตุ้น” ให้ “ชีวิต และหัวใจของคุณ” ได้ “สดชื่น และกลับมามีชีวิตชีวา” อีกครั้งอย่างแน่นอน (แม้ว่า "อดีต" ที่ผ่านมาของคุณนั้น จะผ่านอะไรมาบ้าง แต่ถึง ณ ตอนนี้ คุณปลอดภัยแล้วนะคะ)


หนูเฝ้ารอคำตอบของคุณอยู่เสมอ (หลับตาลงนะคะคนดี แล้วใช้หัวใจสัมผัสความรักของหนู และคุณจะพบว่า มีความอบอุ่นเล็กๆ กำลังค่อยๆแผ่ซ่าน และซึมซาบ เข้าไปในหัวใจของคุณ อย่างช้าๆ แต่มั่งคง)

I’m Yours.

(นี่คือเพลง สัญญา หนูมอบให้คุณคะ)

แม้ว่าไม่ได้พบกัน
แต่ฉันก็มีเธอใกล้ๆ
แม้เธอนั้นอยู่แสนไกล
แต่ฉันก็มั่นใจว่าทั้งสองเรา
จะต้องผ่านพ้น
วันคืนที่เหงา
เพราะหัวใจ สองเราไม่ห่างกัน

อย่ากลัวว่าวันเวลาจะทำให้เธอต้องเสียใจ
หรือความห่างไกลจะทำให้ใจฉันไหวหวั่น
ข้อความเหล่านี้ ทุกๆคำ จะคอยแทนคำสัญญา
ให้เธอได้รู้ว่า ไม่ว่ามันจะนานสักเท่าไหร่
จะไม่มีใครมีความสำคัญและสูงค่า
ให้คำพูดฉัน แทนคำสัญญาให้รู้ว่า “หนูรักคุณ”

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

ความรักคือ?

ก่อนอื่นต้อง “ขอโทษ” คุณด้วย ที่หนูต้องขอเลื่อนวันที่เราควรจะได้มีเวลาร่วมกัน (เลื่อนแล้ว เลื่อนอีก) อาจทำให้คุณ “เหนื่อยใจ” หรือ “รู้สึกแย่” โถ่!!! ที่รักขา ก็ชีวิตของหนูยังวุ่นๆอยู่เลยนี่คะ เดี๋ยวเราก็ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแล้วนะคะ (นั่งนับวินาทีรอเลยดีกว่าเนอะ)

ก่อนนี้หนูเคย “วิ่งวุ่น” เพื่อที่จะตามหา “ความรัก” โดยที่หนูก็ไม่เคยรับรู้เลยว่า “ความรักหน้าตาเป็นอย่างไร?” จนบางที ก็เฝ้าถามตัวเองว่า “ที่คนส่วนใหญ่ ตามหาคนรักหน้าตาดีๆ หุ่นดีๆ บุคลิกดีๆนั้น หรือ อาจเพราะ ความรักมีหน้าตา เหมือนลักษณะภายนอกของคนกันแน่” แต่ยิ่งค้น ยิ่งหา สิ่งที่เจอกลับตรงกันข้าม เพราะ “ความรักก็เหมือนอากาศ ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา แต่มีอยู่รอบตัวเราไปหมด”

หลายๆครั้ง ที่เราก็ “มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้” ถึงความรัก ความหวังดี ของคนรอบตัวเรา อาจเพราะช่วงเวลานั้น เราไม่ได้ “ค้นหา” หรือ “คาดหวัง” กับความรักก็ได้

ถ้าจะถามว่า “รักแล้วรู้สึกอย่างไร?” คำถามนี้ ก็คงมีเพียงคนที่กำลังมีความรัก อยู่ในห้วงรัก ตกหลุมรัก เท่านั้นที่จะตอบคำถามนี้ได้อย่างชัดเจนที่สุด

แต่หากจะให้หนูบรรยายความรู้สึกรักที่มีต่อคุณนั้น คง “สื่อ” ออกมา (ทางคำพูด และตัวอักษร) ได้แค่เสี้ยวน้อยนิด ของสิ่งที่อยู่ลึกๆภายใน เพราะ “ความรัก” ของหนูนั้น หลุดพ้น “ภาษา” ไปอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้หนูจะพูดบอกคำว่า “รัก” ออกไป แต่ก็ยังต้องยอมรับว่า คำพูด หรือตัวอักษรที่เขียนออกมานั้น ไม่สามารถอธิบายได้หมดอยู่ดี ถ้าอยากจะรู้ว่า “ความรัก” ของหนูนั้น “ลึกซึ้ง” และ “สุดใจ” แค่ไหน ไว้เราเจอกันแล้ว คุณก็ลองมองลึกๆเข้าไปในแววตาหนูนะคะ หรือไม่ก็สัมผัสมือหนูดู และคุณจะค้นพบว่า “ความรักมันลึกซึ้งเพียงใด”

“ความรักของหนูที่มีให้กับคุณ เปรียบเสมือนแสงสว่าง ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างแจ่มแจ้งเจิดจ้าขึ้นมา แม้จะจับต้องแสงนี้ไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ทำให้คุณรู้สึกอบอุ่นในทุกๆเวลาที่คุณคิดถึงแน่นอน”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

ความรักแบบเด็กๆ

ไดอารี่หน้านี้ ตั้งใจถ่ายทอดออกมา เพื่อให้ “คุณ” ได้อ่าน และทำความเข้าใจนะคะ

มุมมองความรักของคนแต่ละคนย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มุมมองความรักของคุณที่มีต่อหนูนั้น ถ้าจะให้หนูอธิบายตามความเข้าใจ (อย่างคร่าวๆ) คงจะประมาณว่า

“ความรักของคุณที่มีต่อหนู ถูกเริ่มต้นโดยไม่มีความคาดหวัง ที่ต้องการความรักจากหนูคืนกลับไป คุณรักหนู ห่วงหนู ต้องการให้หนูมีความสุข พฤติกรรม และความเอาใจใส่รายละเอียดเล็กๆของคุณนั้น มีพื้นฐานมาจากความรู้สึกเดียว ก็คือ “ความรัก” เพียงแค่คุณเห็นว่า หนูสบายดี กินได้ ซนได้ นอนหลับ คุณก็คงจะพอใจแล้ว” (ก็คงจะหาคนแบบคุณยากนะคะ ในสังคมแบบนี้ ใครสักคนที่จะรักอีกคนนึงโดยไม่คาดหวัง รักโดยไม่หวังให้อีกคนรัก รักโดยใช้อารมณ์ที่ปราศจากเหตุผล มากำกับ)

แต่สำหรับมุมมองความรักของหนูนั้น หนูยัง “อ่อนหัด และเด็กมากๆ” สำหรับเรื่องหัวใจ ถึงแม้ว่าหนูจะมีความรักอันยิ่งใหญ่ให้กับน้องแมวทั้ง 3 ตัวของหนู แต่ความรักในแง่นั้น ก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อต้องถูกนำมาใช้ในการรักมนุษย์

ความรักที่หนูมีให้คุณนั้น ถ้าจะเปรียบ ก็เหมือนหนูมีความรักให้กับคุณ แบบเด็กอายุน้อยๆ พึงจะมีความรักให้กับคนที่รักเขาได้

ข้อดีของความรักแบบเด็กของหนูก็คือ

หนูไม่ต้องกังวล ลืมง่าย ไม่เก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจ พักผ่อนอย่างสบาย ในอ้อมกอดของคุณ (โกรธง่าย หายไว เพียงแค่คุณเดินเข้ามากอดหนูก็ใจอ่อนแล้ว)


หนูก็เหมือนเป็นเด็กซื่อๆ ไม่มีพิษไม่มีภัย ไม่มีเล่ห์กล อยากได้อะไร ก็อ้าปากขอตรงๆ เช่นอยากฟังคำว่ารักจากปากคุณ หนูก็เอ่ยขอตรงๆ อยากได้อะไรจากคุณ หนูก็ทำหน้าซื่อขอตรงๆซะงั้น (หน้ามึน จนหลายครั้งคุณก็ต้องยอมตามใจ ถึงแม้ว่าในใจส่วนลึกๆ คุณจะรู้สึกขัดใจตงึดๆอยู่บ้างก็ตาม)

คุณไม่ต้องกลัวว่าความรักของหนูที่มีต่อคุณจะ “อิ่มตัว” เพราะหนูยังเด็ก ดังนั้นยังเหลือ space ในหัวใจอีกเยอะ ที่จะพัฒนาความรักที่มีให้กับคุณ

หากชีวิตรักต้องเจอกับอุปสรรค ความลำบาก แต่ด้วยความรักแบบเด็กๆ หนูก็จะมองทุกอย่างใน “เชิงบวก” อดทนอย่างยอดเยี่ยม ด้วยเหตุผลแค่คำว่า “รัก”

เวลาซน หนูก็จะซน วิ่งเล่นให้เต็มที่ บางครั้งอาจดูไม่สนใจคุณ หรือไม่นึกถึงคุณบ้าง (ก็หนูกำลังใช้ “สมาธิ” ในชีวิตนี่น่า) แต่สุดท้ายเมื่อหนูเหนื่อย หนูก็ต้องวิ่งกลับมา “ม่อยกระรอก” หลับในอ้อมแขนคุณทุกคืนไป

หนูก็มีความพากเพียรเป็นอย่างมาก เวลาหนูโทรไปหาคุณ คุณไม่รับโทรศัพท์ หนูก็จะหมั่นโทรไปเรื่อย (ด้วยความเป็นห่วง) เมื่อคุณรับ หนูก็จะถามแบบซื่อๆว่า “คุณโอเคไหม?” (โดยไม่มีอารมณ์โกรธ หรือโมโหใส่คุณ) เพราะเด็กมักจะมองคนที่รักในแง่ดีเสมอ

เด็กแบบหนูอาจจะซุ่มซ่าม เผลอทำหัวใจคุณตกวูบบ้างในบางครั้ง คุณอาจจะตกใจ หรือเคืองในใจลึกๆบ้าง แต่คุณคงไม่กล้าโกรธเด็กซุ่มซ่ามแบบหนูหรอก เพราะเด็กคนนี้มีแต่ความรักที่บริสุทธิ์มอบให้กับคุณนะคะ

เวลาที่หนูทำผิด หรือทำพลาด หนูก็จะเหมือนเด็ก เดินหน้าเศร้า พร้อมรอยน้ำตาจางๆ เข้าไปสารภาพผิด และบอกกับคุณตรงๆ ถึงเหตุผล และก็คุณ ก็ให้อภัย เด็กคนนี้ทุกทีแหละ (เพราะคุณคงไม่กล้าลงโทษหนู ซึ่งเป็นหัวใจของคุณใช่ไหมคะ)

“เด็ก ก็คือ เด็ก” ความจำบางเรื่องมักจะสั้นเกินไปบ้าง ในบางโอกาส เด็กก็มักต้องการ “ความแน่ใจ” เพิ่ม (ถึงแม้ในใจลึกจะแน่ใจแล้วก็ตาม) เด็กก็ยังช่าง “ซักถาม” บ่อยๆ แต่ที่ถามก็เพราะต้องการให้ คนที่รักสนใจ (หากหนูถามอะไร ซ้ำแล้ว ซ้ำอีกนั้น คุณก็ต้องอดทนนะคะ เพราะหนูเป็นเด็กอยู่) ดังนั้นคุณ “ห้ามรำคาญ และรังแกเด็กนะคะ”

เด็กมักจะซื่อในการแสดงความคิดเห็น หรือตั้งประโยคคำถาม (อย่าคิดเยอะนะคะ การเรียบเรียงคำถามของเด็กนั้น อาจจะตรงเกินไปบางที) ซึ่งถ้าคิดดูให้ดีๆ คุณคงไม่ต้องการตอบคำถามที่ “วกวน” หรอกใช่ไหมคะ

เห็นไหมคะ “ความรักแบบเด็กๆ ของหนูที่มีต่อคุณนั้น” ไม่มี “ข้อเสีย” เลยแม้แต่ข้อเดียว มีแต่ “ข้อดี” แล้วอย่างนี้ คุณจะ “ใจแข็ง” ไม่รัก “เด็กน่ารัก” คนนี้ได้ไง ใช่หรือเปล่าคะ????

เมื่อบวก ลบ คูณ หาร นับข้อดี ต่างๆอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็ต้องถึงเวลา “ให้รางวัล” เด็กดีคนนี้เสียหน่อย “วันนี้คุณบอกรักหนูหรือยังคะ???”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป

วันนี้ ขณะที่เรากำลังเครียดๆอยู่ เราได้หยิบหนังสือเล่มนึงขึ้นมาอ่าน มี “นิทาน” เรื่องนึง ที่เราอ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ จึงอยากจะนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้อ่านกันบ้าง

ในอดีตมีพระราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรฮีบรู พระนามว่า “โซโลมอน” พระราชาได้สั่งให้เจ้าเมืองทุกเมือง ทำของ “วิเศษ” ให้อย่างหนึ่ง โดยของสิ่งนั้น ต้องมีคุณสมบัติพิเศษคือ... ของสิ่งนี้ จะสามารถเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของพระราชาได้ “หากมีความทุกข์อยู่ ก็จะหายจากทุกข์ หากมีความสุขอยู่ ก็จะคลายความสุขลง ไม่ว่ากำลังร้องไห้อยู่ หรือหัวเราะอยู่ ก็จะสามารถหยุดอารมณ์ทั้งสองอย่างนั้นได้”

เมื่อครบกำหนด เจ้าเมืองใหญ่เมืองใดๆ ก็ไม่สามารถหาของตามที่พระราชาต้องการได้ แต่มีเจ้าเมืองเล็กๆ อยู่เมืองหนึ่ง ได้บอกว่า มีแหวนวิเศษ มีคุณสมบัติอย่างที่พระราชาต้องการมาถวาย พระราชาจึงรีบให้มาเข้าเฝ้า เมื่อพระราชาได้เห็นแหวนวงนั้นแล้ว ปรากฏว่า เป็นเพียงแหวนทองธรรมดาเรียบๆ วงหนึ่ง

พระราชาก็สงสัยว่า แหวนนี้จะมีความวิเศษได้อย่างไรกัน? เมื่อพระราชานำไปใช้ ก็ปรากฏว่า แหวนวงนี้สามารถเปลี่ยนอารมณ์ของพระองค์ได้จริงๆ ไม่ว่า พระองค์จะกำลังมีความทุกข์ หรือความสุขอยู่ก็ตาม เพียงเพราะ แหวนวงนั้นมีข้อความสั้นๆ สลักไว้ว่า “แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป”

ยามใดที่พระราชามีความสุข ความยินดี หรือมีความทุกข์ ความโกรธ ความกังวลไม่สบายใจใดๆ ก็ตาม เมื่อมองไปที่แหวนนี้ ซึ่งเตือนสติพระองค์ว่า “แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป” ทำให้พระองค์เข้าใจว่า สิ่งที่พระองค์กำลังประสบอยู่ ไม่ว่าสุข ไม่ว่าทุกข์ มันไม่จีรังยั่งยืน เกิดขึ้นมาแล้วก็จากไป

นับตั้งแต่นั้นมา พระราชาก็ไม่คิดที่จะนำความทุกข์ มาเป็นกังวล มีความสุขก็ไม่ได้ยึดติดกับความสุขนั้น ทำให้พระราชา สามารถตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง และตั้งหน้าตั้งตา ทำเพื่อประชาชนของพระองค์ จนได้ชื่อว่า “เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นที่รักใคร่ของประชาชน”

ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องประสบกับ “โลกธรรม 8 คือ ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ต้องมีเสื่อมสภาพ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นธรรมดา” หากเราสามารถเตือนสติตนเองได้ว่า “แล้วสิ่งนั้นจะผ่านพ้นไป” ก็จะช่วยให้เราทำใจเป็นกลาง ทำใจเป็นปกติได้ เมื่อความรู้สึกต่างๆเกิดขึ้น เช่น หงุดหงิด โกรธ น้อยใจ เสียใจ ขี้เกียจ วิตกกังวล หรือมีความรู้สึกตื่นเต้น ยินดีพอใจก็ตาม

จากการได้อ่านเรื่องข้างบนนี้ ทำให้เรา “ปล่อยวาง” และ “วางใจ” กับสิ่งต่างๆรอบตัวได้เยอะเลย “เห็นไหม ในช่วงเวลาที่สับสน มืดมน ก็มักจะมีแสงสว่างเล็กๆ ลอดออกมา ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับคนแต่ละคนแล้วล่ะว่า จะสังเกตุเห็นหรือเปล่าว่า แสงสว่างนั้นออกมาในรูปแบบไหน”

ถึง ตัว T ของหนู

วันนี้คุณอาจจะแปลกใจ ที่ช่วงเวลาที่หนูกำลังสับสน คิด มีปัญหา หรือเรียบเรียงชิ้นส่วนของเรื่องราว หนูจะอยู่นิ่งๆ เงียบๆเพียงคนเดียว คุณอาจจะน้อยใจ หรือไม่เข้าใจว่า ทำไมหนูไม่แบ่งปันเรื่องราว และปัญหาให้คุณได้ช่วยแบ่งปัน บ้าง

เหตุผลหลักๆก็คือ หนูไม่อยากให้คุณไม่สบายใจไปด้วย หนูอยากจะหาข้อสรุปกับเรื่องราวต่างๆให้ได้ก่อน แล้วค่อยเล่าให้คุณฟัง (ซึ่งโดยปกติ หนูก็กระทำเช่นนั้นอยู่แล้ว) ไม่ใช่หนูไม่อยากให้คุณมาเป็นส่วนนึงของชีวิตนะคะ เพียงแต่ว่า หนูไม่อยากให้เราทั้งสองเครียดไปพร้อมๆกันทั้งคู่ เพราะหากคนนึงล้ม หนูก็อยากให้อีกคนยังมีสติ และมีแรงสู้ต่อไปต่างหาก

เข้าใจหนูนะคะ ทุกๆอย่างที่หนูทำ หนูมีเหตุผล และหนูอาจจะใช้เหตุผลเยอะไป ในทุกๆองค์ประกอบหลักของชีวิต แต่เรื่องเดียวตอนนี้ในชีวิต ที่ดูไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไหร่ ก็คือ ความรักที่หนูมอบให้คุณ

I’m not here to say I’m sorry
I’m not here to lie to you
I’m not here to say I’m ready
That I’ve finally thought it through
I’m not here to let your love go
I’m not giving up Oh no
I’m here to win your heart and soul
That’s my GOAL

จะบอกรักคุณก็กลัวคุณเบื่อ (คุณอาจไม่เบื่อกับ “คำว่ารัก” ของหนู แต่หนูเริ่มเบื่อแล้ว) วันนี้เปลี่ยนคำใหม่ เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบโดยด่วนว่า Will u marry me?

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2552

เมื่อรักถูกสั่งการด้วยสมอง

คุณเคยสงสัยตัวเองไหมว่า? “ความรู้สึกรัก หรือความพึงพอใจในบุคคลที่เรารักนั้น มีต้นกำเนิด หรือเหตุผลมาจากตรงไหนกันนะ??? “คำสั่งนั้น” ถูกสั่งตรงมาจาก “สมอง หรือหัวใจ” กันนะ???

ใน “งานเขียน” ของเราในวันนี้ เราจะขอยกเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งอ้างอิงว่า “ความรักเกิดจากการสั่งตรงจากสมอง” ซึ่งเหตุผลนั้นมีง่ายๆก็คือ “สมองเป็นตัวสั่งการให้เราเลือกที่จะรัก หรือไม่รักใครสักคน”


ความรักเกิดขึ้นที่สมองใน 3 จุดสำคัญ คือ


1.Ventral Tegmental Area



เซลล์ประสาทในสมองส่วนกลางกลุ่มนี้มีหน้าที่สำคัญคือ ผลิตสารที่เรียกว่า โดปามีน (Dopamine) สมองจะผลิต “โดปามีน” ออกมามากในเวลาที่เรามีความสุขเบิกบานใจ ใครที่ทำให้ “โดปามีน” ท่วมสมองของคุณได้ คุณก็รักคนนั้นล่ะค่ะ อย่างไรก็ตาม คู่รักจะตอบสนองต่อ “โดปามีน”อยู่เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น


2.Nucleus Accumbens



เมื่อสมอง เริ่มจดจำภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่าง “คุณและคนรัก” ก็จะเริ่มสร้าง “ความรู้สึกผูกพันต่อกัน” สารเคมีที่มีบทบาทมาแทน “โดปามีน” ในช่วงนี้ ก็คือ “ออกซิโตซิน (Oxytocin)” ความผูกพันเป็นสายใยที่มองไม่เห็น เช่น ความผูกพันระหว่างแม่กับลูกที่ยังอยู่ในท้อง ไม่เคยเห็นหน้ากันด้วยซ้ำ แต่ก็ผูกพันกันเพราะ “สารออกซิโตซิน” ตัวนี้นี่เอง (ซึ่งอาจจะไม่ร้อนแรงเท่า “โดปามีน”) แต่ก็ช่วยสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาว


3.Caudate Nucleus



สมองส่วนนี้ จะบันทึกความจำที่ยากจะลบเลือน เช่น ทักษะต่างๆ เป็นต้นว่า การอ่านออกเขียนได้ พิมพ์ดีด ว่ายน้ำ ขับรถ รวมไปถึง “รักมั่น” ซึ่งจัดเป็นความทรงจำที่ยากจะลบเลือนเช่นกัน
“ความรักของเรา” พัฒนาไปเนื่องมาจาก “สมองทั้ง 3 ส่วนนี้เอง” จากรักอันหอมหวานดูดดื่ม เปลี่ยนเป็นความผูกพัน และกลายเป็นรักนิรันดร์ในที่สุดทั้งหมดนี้เป็น “สมมติฐานที่นักวิทยาศาสตร์” พยายามอธิบายเหตุผลที่คนเรารักกัน


แล้วคุณล่ะ รู้สึกรักใครสักคน รักเขาเพราะอะไร???...


แต่หากจะถามหนูว่า รักคุณเพราะอะไร??? เพราะสมองทั้ง 3 ส่วน สั่งการ ด้วยเหตุผลนานาประการหรือเปล่า? หรือด้วยเพราะอารมณ์ หรือความรู้สึกจากหัวใจสั่งการ

สำหรับ “คำถามนี้” หนูคงจะไม่มี “คำตอบ” ใดๆ มาอธิบายได้ เอาเป็นว่า “ตอนนี้หนูรัก และมั่นใจในตัวคุณเต็มร้อยแล้วกัน” (น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดในตอนนี้) หนูก็ใช้ความเจ้าเล่ห์ เลี่ยงที่จะไม่ตอบไปได้อีก เย้ เย้ เย้

แต่หนูมีคำถามคะ คุณรักหนูเพราะอะไรคะ? (ไม่ต้องตอบแบบออกเสียงมาก็ได้คะ เพราะหนูมั่นใจว่า หนูรู้ถึงคำตอบนั้นดีกว่าใคร)

หนูรู้สึกเครียดนิดๆแล้วตอนนี้ เนื่องจาก ตอนแรกหนูตั้งใจว่า จะเจอกับคุณได้ในวันนี้ พรุ่งนี้ แต่ก็ต้องเลื่อนออกไปอีก ด้วยธุระส่วนตัวบางประการ ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันแล้ว “อดทนรอหนูนะคะ” (ขอให้ช่วงเวลา ณ ปัจจุบัน ผ่านไปโดยเร็ว) เราจะได้ “กอดกัน” เสียที

หนูรักคุณนะคะคนดี

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

ว่าด้วยเรื่อง "เสียง"


เมื่อจะกล่าวถึงหน้าที่ของอวัยวะหลักอย่างนึงในร่างกายมนุษย์ นั่นคือ “หู” ซึ่งเป็นอวัยวะที่ถูกใช้ใน “การรับฟัง หรือการได้ยิน”

ในชีวิตประจำวัน เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า “การได้ยิน เป็นกระบวนการสำคัญมาก ในการเรียนรู้ และพัฒนาศักยภาพในด้านอื่นๆของร่างกาย”

บางคนใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฟังเพลง ฟังวิทยุ จะเห็นได้จาก เวลาที่ต้องนั่งรถทัวร์ อยู่บนรถเมล์ ขึ้นรถไฟ รถไฟฟ้า และรถไฟฟ้าใต้ดิน คนส่วนใหญ่มักจะ “ต่อเติม อวัยวะส่วนที่ 33 ของร่างกาย” นั่นคือ “สายหูฟัง หรือ Bluetooth” ติดตัวเสมอ (หากไม่ฟังเพลง ก็จะคุยโทรศัพท์)

บางคนก็มักใช้เวลาว่างจากการทำงาน ในการรับฟังเรื่องของชาวบ้าน (เรื่องของบุคคลที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 น่าสนใจยิ่งนัก ทั้งๆที่บางทีฟังไปก็ไม่เคยพัฒนาชีวิตส่วนใดส่วนนึงของเราได้เลย ก็ตาม)

แต่ไม่ว่าเราจะใช้อวัยวะส่วนนี้เพื่อ “เปิดรับ” สิ่งใดเข้ามาในชีวิตเราก็ตาม (ก็เป็นเรื่องของเรา หาใช่เรื่องของคนอื่นไม่) หากสิ่งที่เรา “รับมา” นั้น ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเราเอง และสังคม

มาถึงประเด็นหลัก เมื่อกล่าวถึงอวัยวะส่วนนี้ นั่นคือ “เสียง”

“เสียง” คือ การถ่ายทอดพลังงานจากวัตถุที่มีการ “สั่นผ่านตัวกลาง” มายัง “หู (ผู้ฟัง)” ในลักษณะของ “คลื่น” (ออกแนววิชาการเกินไปเปล่าเนี่ย)

ซึ่ง “เสียง” ก็มีบทบาทสำคัญ และเป็นตัวกระตุ้นหลักอย่างนึกให้กับชีวิตเราได้ เพราะ “เสียง” ที่เราอยากฟัง อาจจะกระตุ้นให้เรามีแรง “ฮึดสู้กับชีวิต” แต่หาก “เสียง” ที่เราไม่อยากจะรับฟังแล้ว ก็อาจจะเป็น “สาเหตุหลัก” ให้การดำเนินชีวิตของเราต้อง “ดับวูบ” ก็เป็นไปได้เช่นกัน

เพื่อนๆลองคิดตามกันเล่นๆดูนะคะ

คำถามแรก “เสียงอะไรที่คุณอยากได้ยิน และรับฟังมากที่สุด” (บางคนอาจจะตอบว่า เสียงนก เสียงคลื่น เสียงไก่ขัน เสียงหวานๆของคนรัก ฯลฯ)

คำถามที่สอง “เสียงอะไรที่คุณไม่อยากได้ยิน และรับฟังมากที่สุด” (บางคนอาจจะตอบว่า เสียงนาฬิกาปลุกในตอนเช้า เสียงเร่งเครื่องรถมอเตอร์ไซค์ เสียงหวีดร้องของเด็กๆ ฯลฯ)

จากคำถามทั้งสอง ก็จะเห็นได้ว่า “คลื่นเสียง” มีอิทธิพลมากในชีวิตของเรา ดังนั้น คงเป็นเรื่องปกติ ที่คนเราอาจหลีกเลี่ยงเสียงที่เราไม่ชอบ แต่ในชีวิตประจำวันเราจริงๆ เราอาจจะหลีกเลี่ยงทุกๆสิ่งไม่ได้

ถึง Darling (ที่ปากแข็ง)

รู้ไหมคะ? เพราะเหตุใด? หนูถึงเลือกคุณ? เปิดใจให้กับคุณ? ทั้งๆที่หัวใจของหนูปิดตายไปแล้ว

สิ่งที่ดึงดูดทำให้หนู “หยุดหัวใจ” มาที่คุณก็คือ “ความฉลาดในการพูดของคุณ” คุณจับทางหนูได้ว่า “หนูเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูงมากๆๆๆๆ” คุณจึงมีวีธีพูดที่ทำให้ “หนูต้องหยุดดื้อ หยุดซน และหยุดเคลื่อนไหว” นั่นคือ คุณไม่เคยที่จะใช้ “คำสั่ง บังคับ หรือ ยกเหตุผลมากมายมาเพื่อหยุดการกระทำของหนู” แต่คุณจะใช้ “ความฉลาด” ในตัวคุณ “กลั่นกรองกลยุทธ์ และคำพูด”ออกมา เพื่อ ให้หนูได้คิด ได้ตัดสินใจ ในการเลือกที่จะกระทำสิ่งต่างๆ และนั่นก็ทำให้หนูยิ้ม และต้องหยุดคิด

จนสุดท้าย หนูก็ยอมคุณไปซะทุกๆเหตุผลจนได้ (ทั้งๆที่ในใจลึกๆ หนูก็ยังอยากสนุก อยากดื้อ อยากซน อยากเอาแต่ใจบ้างบางเวลาก็ตาม) แต่ทำไงได้อ่ะ? ในเมื่อคุณ “กล้า หน้ามึน เรียบเรียงคำพูดอย่างชาญฉลาดออกมาแล้วอย่างนั้น” ถ้าจะให้หนูขัดใจคุณ หนูก็คงจะขาดคุณสมบัติ การเป็นคู่ชีวิตที่ดีแน่นอน

(ที่รักคะ อย่าได้ดีใจไป การที่หนูยอมคุณในครั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่า หนูจะยอมคุณไปทั้งชีวิตเสียเมื่อไหร่? ความซนในตัวหนูยังมีอีกเยอะ ครั้งนี้คุณอาจจะสบายใจไม่ต้องปวดหัว แต่ต่อไปข้างหน้า ก็ไม่มีหลักประกันใดๆ มารับรองได้ว่า หนูจะเชื่อฟังคุณทุกครั้งไปนะคะ)

ขอบคุณความเป็นตัวตนของคุณนะคะ ที่ “แทรกซึม” เข้ามา “เติมเต็ม” ชีวิตของหนู

หนูรักคุณคะ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552

คำสารภาพของหนู

คำสารภาพของ ผู้หญิงธรรมดาคนนึง (ReVeal)

หนูเคยมั่นใจในความฉลาด เด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจของตัวเอง และคิดเสมอว่า “หนูรู้ และสามารถสัมผัสได้ในทุกๆความรู้สึกของทุกคน” ชีวิตของหนูได้ผ่านช่วงเวลาที่ดีที่สุด และเลวร้ายที่สุดมาแล้ว

เมื่อก่อน เวลามีความรัก หนูมักใช้ “อารมณ์” ในการสัมผัส (โดยไม่มีเหตุผล) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประสบการณ์สอนให้หนูเรียนรู้ที่จะ “ปกป้องตัวเอง” หนูเลือกที่จะใช้ “เหตุผล และกลไกการป้องกันตัวเอง” เพื่อหลบเลี่ยง “ความเสียใจ และความเจ็บปวด” ที่อาจจะเดินทางมาหาหนูโดยไม่ทันตั้งตัว

หนูเชื่อว่า จุดนึงที่ทำให้พี่รู้สึกสนใจ และหยุดมองผู้หญิงธรรมดาคนนี้ก็คือ “ความเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย มั่นใจในตัวเอง ฉลาดพูดของหนู” ช่วงแรกๆ ที่เราเรียนรู้กัน พี่อาจสัมผัสได้แต่ในมุมมองของ ผู้หญิงธรรมดา ที่แสนเก่ง แต่เมื่อเราลองหยุดศึกษานิสัยกันและกันแล้ว พี่ก็อาจจะพบว่า “หนูก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ที่ลึกๆก็มีความไม่มั่นใจ มีความกังวลใจ มีคำถาม รวมถึงอาจจะชอบหาเรื่อง เหมือนผู้หญิงทั่วๆไปที่ผ่านมาของพี่ก็ได้”

และวันนี้หนูอาจทำให้ให้พี่ “รู้สึกผิดหวัง” กับความอ่อนแอ และอาการจิตตกของหนู ที่แสดงออกมาเมื่อหัวใจหนูต้องการ “ไออุ่นจากหัวใจ” ของพี่

ไม่ใช่ ณ ตอนนี้หนูไม่มั่นใจในความรักของพี่ หากแต่หนูรักพี่จนหนูกลัวว่าหนูจะรักเพียงฝ่ายเดียว (เพราะเวลาหนูรักใครแล้ว หนูทุ่มให้หมดหัวใจ โดยไม่เผื่อใจไว้เจ็บอีกเลย) หนูหวังกับความรักครั้งนี้ไว้มาก เพราะเชื่อว่ารักครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต

ไม่ใช่ ณ ตอนนี้ หนูสัมผัสความรักจากพี่ไม่ได้ หนูถึงต้องเฝ้าถามพี่ด้วยคำถามเดิมๆว่า “พี่รักหนูหรือเปล่า?” หากแต่หนูอยากจะได้ยินคำนั้น ซ้ำไปซ้ำมา เวลาที่หนูเหนื่อยล้า (พี่รู้ไหม คำสั้นๆคำนี้ ก็อาจช่วยจุดแสงสว่างเล็กๆ ในหัวใจที่กำลังมืดบอดสนิทได้เสมอ)

ไม่ใช่ ณ ตอนนี้ หนูดูถูกความรักของพี่ หนูถึงเฝ้าตั้งคำถามลองใจพี่เสียมากมาย จนบางทีพี่อาจจะรู้สึกหงุดหงิด และรำคาญคำถามเหล่านี้ (สำหรับหนูแล้ว ที่หนูถามไปอีกรอบ ไม่ใช่เพราะไม่เคยจำคำตอบที่พี่เคยตอบได้) หากแต่หนูอยากจะย้ำให้ตัวเองมั่นใจเท่านั้น ว่าหนูยังมีความสำคัญสำหรับพี่อยู่ไหม? (เพราะถ้าหากว่าหนูยังมีความสำคัญอยู่ หนูขอใช้สิทธิ์ใน "การซน และงอแงพี่" ได้อย่างเต็มที่เลย)

ไม่ใช่ ณ ตอนนี้ หนูอยากดื้อ อยากซน หรืออยากเอาแต่ใจ ที่มองไม่เห็น หรือสัมผัสไม่ได้ในความรักที่พี่มอบให้ ในทุกๆวัน หากแต่เมื่อมีความรัก ชีวิตหนูก็เหมือนมีโอกาส และพื้นที่มากพอ ที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย เวลาอยู่กับพี่เท่านั้น (และกฏเพียงข้อเดียวที่จะทำให้หนูรู้สึกดีที่สุดก็คือ “พี่รักหนู” เพียงเท่านี้ หนูก็จะเป็นผู้คุมกฏทุกอย่าง ล้อเล่นนะคะ)

ไม่ใช่ ณ ตอนนี้ หนูไม่ไว้วางใจ หรือ มีคำถามติดค้างเรื่องพี่ในใจหรอกนะคะ หากแต่ หนูกำลังอยู่ในช่วงขยับขยาย “โรงเก็บความรัก (ที่ใช้เก็บความรักของพี่)” ให้มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ก็อาจมีบางช่วงที่หนูอาจจะพูด หรือคิดอะไรซ้ำไป ซ้ำมาบ้าง (พี่คงไม่โกรธหนูหรอกนะคะ หนูกำลังสร้างอนาคตของเรานะคะ)

หนูรู้นะคะว่า “พี่เหนื่อย” กับความรัก และความอ่อนแอของหนู หนูเสียใจที่ทำให้พี่รู้สึกเช่นนี้ แต่หนูอยากจะบอกกับพี่ตรงๆว่า “หนูไม่เคยมีเจตนา หรือต้องการให้สิ่งที่หนูทำไปทั้งหมดนี้ ทำร้ายความรู้สึกของพี่เลย หากแต่ อยากให้พี่มองย้อนกลับไปดูว่า ทั้งหมดที่หนูทำนั้น มีต้นเหตุมาจาก “ความรัก” ที่หนูมอบให้พี่จนหมดหัวใจ และหนูกำลังพยายามที่จะมั่นใจในตัวเอง และตัวของพี่ เพื่อว่า เราจะได้พัฒนาความรักของเราไปถึงจุดที่ “สมบูรณ์” ที่สุด

ขอโทษนะคะ สำหรับ “ความสับสน” และ “การไม่มีเหตุผล” ที่อาจทำให้พี่รู้สึกแย่ และรำคาญ วันนี้หลังจากเข้าโบสถ์แล้ว หนูตัดสินใจแล้วคะ ว่าหนูจะไม่ “งี่เง่า” และ “เกิดภาวะเช่นนี้” อีก

“ให้อภัย” หนูนะคะ อย่าเดินจากหนูไปนะคะ หนูอาจไม่ใช่คนที่ Perfect ไม่ใช่คนใจเย็น ไม่ใช่คนเรียบร้อย อาจมีคุณสมบัติไม่ตรงกับคนที่พี่ต้องการทั้งหมด แต่หนูสัญญานะคะ หนูจะทำให้ดีที่สุด กับความรักครั้งนี้ (เพื่อพี่ เพื่อหนู เพื่อมอมแมม เพื่อวอดก้า)

เชื่อในความรักของหนูนะคะ หนูอาจไม่ใช่คนที่ perfect แต่หนูรักพี่หมดหัวใจ และในทุกๆวันต่อจากนี้ หนูจะรักพี่ด้วยหัวใจ รักให้ดีที่สุด อยู่ร่วมสร้างอนาคตร่วมกันกับหนูนะคะ (เพราะหากขาดพี่ไป ชีวิตหนูคงล้มลงไม่เป็นท่า)

นับจากวินาทีนี้ หนูขอฝาก “หัวใจที่แสนธรรมดาของหนู” ให้พี่ได้ดูแลนะคะ (หนูเชื่อมั่นว่า พี่ดูแลหัวใจดวงนี้ได้อย่างแน่นอน)

In You, Will I Trust.

หนูรักพี่นะคะ

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

ว่าด้วย "ความรัก"

มุมมองและแง่มุมของความรัก ต่างคนก็แตกต่างกัน บางคนมองเห็น “ความรัก” เป็นเรื่อง “หลัก สำคัญที่สุดในชีวิต” แต่กับบางคน “ความรัก” อาจเป็นแค่ “องค์ประกอบโดยรวมของชีวิต” ก็เท่านั้น

บางคน “ดิ้นรน” ทำทุกวิถีทาง (แม้แต่หลุดออกจากความเป็นมนุษย์ ไม่คำนึงถึงเรื่องศีลธรรม เพียงเพราะต้องการค้นหาความรัก) บางคน “ยอมเสียสละ” ทุกอย่าง (ครอบครัว เงินทอง ฐานะทางสังคม เกียรติยศ เพื่อแลกมาด้วย “ความรัก”)

และเราเชื่อว่า ก็คงมีคนอีกหลายๆคน ที่ได้รับ “ความรักแท้” มาแบบง่ายๆ โดยที่พวกเขาไม่ต้อง “ดิ้นรน” เลยสักนิด

แตกต่างกันไป ตามบุญและกรรม (ความเชื่อของพุทธศาสนา) ที่แต่ละคน “สั่งสม” กันมาแต่ชาติปางก่อน

เราเป็นคนนึง ที่ชอบนั่งดู และสังเกตุชีวิตของคนในโลกนี้ มองดูพวกเขาดิ้นรน ค้นหา แสวงหา และพยายามยัดเยียดให้ก่อเกิดความรักขึ้นมา (ไม่ว่าวิธีที่เขาทำนั้น จะแลก หรือต้องสูญเสียอะไรไปโดยเปล่าประโยชน์ก็ตาม)

หากย้อนมองดูตัวเอง เรายังโชคดีกว่าคนอีกหลายๆคน ที่ยังดิ้นรนอยู่ในโลกนี้ เราเคยมีความรักที่ยิ่งใหญ่ เราเคยถูกหักหลังอย่างแสนสาหัส เราเคยถูกทำร้ายความรู้สึกอย่างรุนแรง เราเคยผิดหวังในตัวคนรัก (ที่เราคิดว่า เราเชื่อใจเขามากที่สุด) เราเคยตกอยู่ฐานะมือที่สาม (แบบไม่ได้ตั้งใจ) เราเคยคิดที่จะประชดรักในหลายๆครั้ง (แต่ก็ตัดใจไม่ทำได้ในวินาทีสุดท้าย เพราะ “สติ” ในตัวที่ยังเหลืออยู่) เราเคยใช้ “อารมณ์” ในความรัก รักโดยใช้อารมณ์ (แต่ ณ ปัจจุบัน เรียนรู้แล้วว่า “เหตุผล” อาจทำให้เจ็บน้อยกว่าแต่ก่อนได้) เราเคยอ่อนแอมากๆในความรัก และเราเคยอิจฉาคนรอบๆตัว ที่เขาสุขสมหวังในความรัก

และเราก็เชื่อว่า เพื่อนๆหลายๆคน ต้องผ่านช่วงเวลาที่ดีที่สุด และเลวร้ายที่สุด มาแล้วด้วย และเหตุการณ์ ประสบการณ์เหล่านี้แหละ ที่กำลัง “หล่อหลอม” พวกเรา ให้เข้มแข็ง และเจริญชีวิตต่อไปได้อย่างมีสติมากขึ้น

จากการเฝ้ามองดู “ความรัก” ที่แวะเวียนไป “กระตุกต่อมการแสดงออก” ของใครหลายๆคน เราจึงสรุปได้ว่า “ความรัก” (โดยตัวของมันเอง) ไม่เคย “ทำร้าย” ใครๆเลย แต่ “ความคาดหวัง” ที่คนแต่ละคนใส่ลงไปในความรักนี่สิ ที่ทำร้ายพวกเขา

ยังไงก็ขออวยพรให้ “บุคคล” ที่กำลังเดินทางตามหาความรัก หรือผู้ที่มีรักแล้ว แต่กำลังมีปัญหากระท่อนกระแท่นกันอยู่ ขอให้โชคดีนะคะ

คืนวันเสาร์ และคืนนี้ เราไปซ้อมร้องเพลงประสานเสียงที่โบสถ์ มีอยู่เพลงนึง ชื่อว่าเพลง Give thanks มีเนื้อร้องตอนนึงที่เราประทับใจมาก นั่นคือ Let the WEAK say “I’m strong.” (ชอบมากๆเลย)

พรุ่งนี้แต่เช้า เราก็จะเดินทางไป “เกาะช้าง” แล้ว ในเมื่อชีวิตที่ผ่านมาของเรา ได้ผจญภัย และเหน็ดเหนื่อยกับชีวิตมามากพอแล้ว ขอพัก และเติมความรักให้กับหัวใจหน่อยดีกว่า

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

Armageddon

เมื่อคืนเราง่วงนอนแบบ “หมดสภาพ” เลย ตื่นเช้ามาวันนี้ตอน 9.00 ด้วยอาการ “งัวเงีย” เต็มที่เพื่อมาจัดการกับเสื้อผ้ากองโต เนื่องจากวันจันทร์ที่จะถึงนี้ เราก็จะเดินทางไป “เกาะช้าง” อีกแล้ว (จนบางทีหลายๆคนก็อาจสงสัยว่า เกาะช้างนั้นมีอะไรดีนะ? เรา crazy ทะเลมากเพียงนั้นเลยหรือ? ทำไมเราต้องไปอยู่เรื่อยๆ ที่เกาะช้างนั้น มีคนที่พิเศษที่สุดในชีวิตของเราอยู่ และเขาเป็นส่วนนึงในชีวิตที่เหลือของเราต่อจากนี้ไป)

เช้านี้ เราเปิดทีวีมาเจอหนังเรื่อง Armageddon ฉายอยู่ พลันให้เรานึกถึงช่วงสิ้นปี 1999 ที่จะต้อนรับปี 2000 ตอนช่วงนั้น กระแสวันโลกาวินาศ กำลังแรงมากๆ ประชากรในโลก “ปั่นป่วน” คิดไปต่างๆนาๆ ถึง “วิกฤติ” ที่อาจจะมาในวันเริ่มต้นปี 2000 และหนังเรื่องนี้ก็ได้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อ “สร้างความหวัง” ให้กับมวลมนุษย์โลก

ณ วันนั้นที่เราดูหนังเรื่องนี้ในโรง เรายังจำความรู้สึกของเราช่วงนั้นได้เป็นอย่างดี เราดูไป น้ำตาก็ไหลไป เราได้มุมมองหลายๆอย่างจากการดูหนังเรื่องนี้ ซึ่งวันนี้เรานั่งดู น้ำตาเราก็ไหลอีกครั้งนึง

ณ สังคมปัจจุบัน ที่เทคโนโลยี การสื่อสารพัฒนาถึงขีดสุด

จะมีใครไหมนะ? ที่จะยอมเสียสละชีวิตของตนเอง สละจุดยืนของตนเอง เพื่อให้คนอื่นได้มายืนแทนที่

จะมีใครไหมนะ? ที่มีความสุขกับชีวิตที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันแล้ว แต่ยอมที่จะ เสียสละความสุขนี้ไปไป เพื่อ “เสี่ยงชีวิต” ช่วย สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ให้ได้อยู่รอด

จะมีใครไหมนะ? ที่จะยอมเลือกจบชีวิตอันสวยงามของตัวเองในโลกนี้ เพื่อให้คนอื่นได้มีชีวิตต่อไป

จะมีใครไหมนะ? ที่ยอมเป็นผู้ถูกเลือก ดีกว่าจะเป็นผู้เลือกเสียเอง

และตอนจบของหนังเรื่องนี้ ก็เน้นย้ำให้เห็นถึง “การเสียสละ และความรักที่ยิ่งใหญ่” ของพ่อที่มีต่อลูก “ความรักที่บริสุทธิ์” ที่พ่อยอมเสียสละชีวิตของตัวเอง เพื่อช่วยให้ คนรักของลูกสาวตัวเองได้รอดชีวิต และให้เขาและเธอได้เริ่มต้นชีวิตครอบครัวอีกครั้ง ถึงแม้ว่าความสุขในครั้งนี้ จะต้องแลกด้วยชีวิตของ “ผู้เป็นพ่อ” ก็ตาม (“พ่อ” อาจเป็นคำที่ใครหลายๆคน มีความสุขเมื่อได้ยินคำนี้ และก็มีใครอีกหลายๆคน ที่รู้สึกแย่กับคำๆนี้ เนื่องจากพฤติกรรมที่เหมาะสม และไม่เหมาะสมของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่า “เป็นพ่อคน”) แต่ไม่ว่าคุณจะคิดยังไง? กับคำๆนี้ คำๆนี้ก็มีความหมายเสมอในชีวิตมนุษย์

และจุดที่ทำให้เราคิดตามนั้น คือเราอยากจะรู้ความคิดของคนที่กำลังจะเสียสละชีวิตของตัวเอง โดยการเป็นกดปุ่มระเบิดเพื่อฆ่าตัวเอง หรือคนอื่น หรือยิงตัวเองตายนั้น ช่วงเวลานั้นคนเหล่านี้คิดอย่างไร? กับช่วงเวลานั้น เขาทำไปโดยมีสติไหม? คิดนานไหม? กว่าที่จะก้าวข้ามผ่านจุดเหล่านี้ได้

ท้ายที่สุด ช่วงนี้เป็นเทศกาลมหาพรต (ตามความเชื่อของคาทอลิก) และหนังเรื่องนี้ ก็สะท้อนให้เราได้เห็นอย่างชัดเจน ถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้า (พระบิดา) และความเสียสละของพระเยซูคริสต์ (พระบุตร) เป็นอย่างดี เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ (อีกครั้ง) ความเชื่อ ความศรัทธา และความรัก ได้ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเราอีกครั้ง ช่วยทวีความรักของพระเป็นเจ้ามากขึ้นในชีวิตเรา

“Wisdom would give me advice and encourage me in times of trouble and grief.” (ปชญ 8:9)

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน



วันศุกร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2552

"มั่นใจในความรัก"

สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้ “ความรัก” นั้น “สมบูรณ์ และถูกเติมเต็ม” นอกจากส่วนสำคัญคือ “ความรู้สึกรัก และผูกพัน” แล้ว “ความมั่นใจ เชื่อใจ ในคนที่เราได้รัก” นั้น ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันเลยทีเดียว

จากประสบการณ์ของเรา ที่มีความรักมาหลายครั้ง ทำให้เราพอจะ “จับจุด” ได้ว่า สิ่งที่กลายเป็นปัญหาหลักในการคบกันนั้น ส่วนใหญ่เกิดจาก “ความกลัว ความระแวง ความไม่เชื่อใจกัน และความรู้สึกไม่ปลอดภัย”

เมื่อมนุษย์เริ่ม “สัมผัสได้” ถึงรู้สึกเหล่านั้น ก็เป็นธรรมดาที่จะเกิด “กลไกการป้องกันตัวเอง (เจ็บ)” ขึ้นมา ซึ่ง “กลไก” นี้ ก็ได้ “กระตุ้นต่อมสงสัย” ทำให้ “จิตของเขาหรือเธอ” นั้น “สร้างเรื่อง สร้างความรู้สึก และเรื่องราวต่างๆออกมาโดยไม่รู้ตัว จับเอารายละเอียดเล็กๆ มาปะติดเป็นเรื่องราว สุดท้ายก็ “สรุป” ด้วยตัวเอง จนทำให้ “ผันแปรเป็นอารมณ์แบบไร้สาระ” (เช่น คิดว่าเขามีคนอื่น คิดว่าเขาไม่รักเราแล้ว คิดว่าเขาเปลี่ยนไป คิดว่าเขาหลอกลวงเรา เป็นต้น) และเมื่อ “อารมณ์ หรือความสงสัยเหล่านี้เดินทางเข้ามาในสมองแล้ว” ก็เป็นการยากที่จะ “ลบความรู้สึกนั้นทิ้งไปได้” จนทำให้ใครหลายๆคน เกิดอาการ “ย้ำคิด ย้ำทำ” ซึ่งอารมณ์เหล่านี้ เป็น “ตัวบ่งบอก” ได้อย่างดีเลยว่า คนๆนั้นยังไม่ได้สัมผัส หรือเข้าถึงแก่นของ “ความรัก” อย่างแท้จริง

There’s no FEAR in Love. เราคนนึง เคยท่องประโยคนี้ขึ้นใจ แต่เวลาที่จะเริ่มรู้สึก “รัก” ใครสักคน “ความกลัว และความไม่มั่นใจในอนาคต” ก็ดูเหมือนจะมา “แวะเวียน” เราเสมอ จนกระทั่ง เราได้เจอ คนๆนึง ที่เดินเข้ามาเปลี่ยนมุมมองในความรักของเรา และเขาคนนี้ก็ทำให้เราได้เห็นส่วนสำคัญในความรักอีกมุม นั่นคือ “ความมั่นใจ”

ในสถานการณ์โลกปัจจุบัน ก็อาจเป็น “การยาก” ที่เราจะไว้ใจ มั่นใจ เชื่อใจ ในมนุษย์สักคน (เพราะ “สิ่งเร้า” ที่อยู่รอบตัวในสังคมนั้น อาจทำให้เขาหรือเธอเปลี่ยนใจ เพียงเสี้ยววินาทีเดียว) ลองถามตัวคุณดูนะคะว่า “คุณเชื่อใจ และมั่นใจคนที่คุณรักมากแค่ไหน?” เพราะถ้าหากคุณมั่นใจในตัวเขา เชื่อใจในเขา คุณจะคบกับเขา โดยปราศจาก “ความกังวล ความกลัว ณ ปัจจุบัน และอนาคต” และเมื่อคุณ “ก้าวข้ามผ่าน” ความรู้สึกเชิงลบเหล่านี้ได้ คุณจะค้นพบว่า “ความรักนั้นสวยงามเพียงใด?”

ไม่ได้อัพไดอารี่เสียเนิ่นนาน เนื่องจากว่าช่วงนี้เรายุ่งๆ ประกอบกับ เราเพิ่งกลับมาจากการไปเที่ยว “เกาะช้าง” มาด้วย (เป็น trip ที่มีความสุขมาก ทำให้เราได้รับรู้ว่า ชีวิตที่สงบ และปราศจากความวุ่นวายดีเช่นไร?)

ถึงคุณคนดี

ขอบคุณนะคะสำหรับทุกๆความรู้สึก ทุกๆการเอาใจใส่ ทุกๆการกระทำ และทุกๆการให้อภัย ขอบคุณที่สอนให้หนูเรียนรู้อีกแง่มุมใน “ความรัก”

หนู “เข้าใจ” แล้วว่า การมีชีวิตอยู่เพื่อรักใครสักคนนั้น สิ่งที่สำคัญ ไม่ได้อยู่ที่การอยู่ร่วมกันตลอด 24 ชั่วโมง หรือการบอกรักกันในทุกๆเสี้ยววินาที หากแต่ว่าถ้าเรา “มั่นใจ” ในคนที่เรารักแล้วไซร้ ก็จะไม่มีความกลัว ความกังวล และปัญหาใดๆ เดินทางมา “กล้ำกลาย” ความรักของเราสองคนได้

หนูไม่ได้หวังอะไรมากในชีวิต แค่อยากจะเริ่ม “ครอบครัวเล็กๆ” ที่แสนธรรมดา เรียบง่าย กับใครสักคน เช่นคุณ ชีวิตนี้ก็คงจะ “สมบูรณ์” ที่สุดแล้วคะ

หนูรักคุณนะคะ (ในทุกๆครั้งที่หนูพูดประโยคนี้ออกมา) หนูถ่ายทอดออกมาจากหัวใจ

In you, will I Trust.

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน