Recent News

Powered by eSnips.com

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฟั่นเฟือน

เพลง ฟั่นเฟือน


จากครั้งเราเคยมีกัน อยู่ๆ ก็พลัน มาทิ้งกันไป 

เจ็บช้ำเธอทำกันลงได้ หักอกห้ามใจไม่เคยลืมลง 


เจ็บนี้มันแรงเกินตัว เรื่องราวในหัว มันตามมันเตือน 

เจ็บพร้อมจะยอมฟั่นเฟือน สติเลอะเลือนถ้าลืมได้ลง 


ไม่อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่อยากรู้ว่าเคยรักใคร 

ไม่อยากรู้ว่าเคย เคยถูกใคร หลอกจนเสียคนอย่างนี้ 

ไม่อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่อยากรู้ว่าเคยนอนร้องไห้ 

ไม่อยากรู้ว่าเคย เคยให้ชีวิตใครไป 


เจ็บลึกมันจมลงใจ สลบไสลไปเลยคงดี 

ให้ฟื้นมาเป็น เป็นคนที่ไม่มีเรื่องราวไม่มีหัวใจ 


ไม่อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่อยากรู้ว่าเคยรักใคร 

ไม่อยากรู้ว่าเคย เคยถูกใคร หลอกจนเสียคนอย่างนี้ 

ไม่อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่อยากรู้ว่าเคยนอนร้องไห้ 

ไม่อยากรู้ว่าเคย เคยให้ชีวิตใครไป 


หลายๆคนที่เคยฟังเพลงนี้ และหากกำลังฟังขณะที่ "อกหัก" อยู่แล้วด้วย ก็คงไม่ต้องบอกนะคะว่า "กระแทก" หัวใจได้ขนาดไหน เราสังเกตุเห็นหลายต่อหลายคน ที่มีอยู่ในภวังค์ที่อกหัก ส่วนใหญ่จิตใจจะหยุดทำงาน พลอยทำให้ร่างกายหยุดนิ่ง เหม่อลอย เฝ้าแต่ตอบคำถามภายในหัวใจ คิดหาเหตุผล วนเวียน เวียนวน อยู่นั่นแหละ (หาทางออกไม่เจอ) และช่วงเวลา "อกหัก" นี่แหละ ที่ใครหลายคน อยากจะเป็นบ้า อยากจะไม่รับรู้อะไร อยากจะความจำเสื่อมชั่วคราว ทำทุกทาง ไม่ว่าจะดื่มเพื่อลืมเธอ เที่ยวเพื่อที่จะไม่คิดถึง หรือหาคนมาแทนที่เพื่อจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี๋ยว แต่ยิ่งพยายาม ยิ่งพยายาม และพยายามเท่าไหร่ คำตอบ หรือ หนทางที่สรรหามาบรรเทานั้น ก็ดูเหมือน ไม่ช่วยอะไร นอกจากจะยิ่งย้ำ ตอกย้ำ และเกิด "ข้อเปรียบเทียบ" อยู่เสมอ


เรายังจำได้ว่า เมื่อ 8 ปีที่แล้ว เราเคยเสียใจมากๆ เนื่องจากคุณยายของเราเสียชีวิตอย่างกระทันหัน ณ ตอนนั้น เราหาทางออกไม่ได้ เพราะดื่มไม่เป็น ไม่เที่ยว วิธีเดียวตอนนั้นที่เราคิดได้ก็คือ ต้องระบาย และปลดปล่อยความทุกข์ในใจออกไป เราเดินไป เดินมาในห้องนอน แต่ดูเหมือนไม่ช่วยอะไร นอกจากตอกย้ำ และคิดไปคิดมาอยู่แต่เรื่องเดิมๆ ตอนนั้นเวลา 8 โมงเช้า และเราต้องไปฝังศพคุณยายเราตอนบ่าย หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน เราจึงได้ตัดสินใจ ที่จะหากิจกรรมทำให้จิตเราอยู่นิ่งที่สุด เพื่อที่จะผ่านสถานการณ์อันเลวร้ายนั้นให้ได้ สุดท้าย เราจึงคว้ากระเป๋า ออกไปว่ายน้ำ ที่โรงแรมแถวๆบ้าน 


เมื่อถึงสระน้ำ เรากระโดดลงน้ำ และว่ายไป กลับ ในสระ เกือบ 2 ชั่วโมง ที่เราว่ายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย (ถ้าเป็นตอนนี้ คงตะคริวกินตายไปแล้ว) และการว่ายน้ำนี่แหละ ที่ทำให้เรานิ่งขึ้น เพราะการเคลื่อนไหวภายในน้ำ ต้องอาศัยจิตใจ เพื่อที่จะควบคุมร่างกาย และ "สติ" ก็ถูกกระตุ้นให้มาใช้อีกครั้ง 


และหลังจากครั้้งนั้น เมื่อเรารู้สึกเสียใจ หรือ ไม่สบายใจ เราก็เลือกที่จะไปว่ายน้ำ และล่าสุด ที่น้องนีโอ (น้องหมา) ได้เสียชีวิตไปนั้น เราก็ไปว่ายน้ำ เพื่อที่จะ "ตั้งสติ" และ "หยุดยั้ง" ความเสียใจ ที่ไหลหลั่งอยู่ภายใน และไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ 


นี่คือกิจกรรมเล็กๆ ที่เราเลือกที่จะใช้ เพื่อปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจของเรา (หากเพื่อนๆคนไหนจะนำไปใช้บ้าง ก็น่าสนใจนะคะ)


พรุ่งนี้เราก็ต้องเดินทางแล้ว หากมีโอกาส เวลา และคิวตอนไปที่โน่น ไม่แน่นเอียดจนเกินไป เราจะแวะมาเขียนไดอารี่ให้เพื่อนๆได้อ่านกันนะคะ


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน


วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

จิปาถะ

เย็นวานนี้อากาศในกรุงเทพ "ชุ่มช่ำ" ไปด้วยสายฝน หลังจากเมื่อวันศุกร์เราได้ไปว่ายน้ำ (ไปถึงสระก็เกือบทุ่มนึงแล้ว เราใช้เวลาว่ายเพียง 40 นาทีเท่านั้น) พอว่ายเสร็จ ท้องก็ร้อง หิวมากมาย เลยไปทานอาหารอีสาน ร้านที่หลายๆคน อาจจะคุ้นกับชื่อ นั่นคือ "ร้านอร่อยแน่นอน" (แต่ว่า อร่อยถูกใจเราหรือไม่นั้น ไม่ขอ comment) เอาเป็นว่า "ไม่น่าเกลียดมาก" ก็คงพอที่จะอธิบายได้ จริงๆแล้ว น้องสาวเราบอกให้ไปทานร้านติดกัน แต่ว่าร้านติดกันของหมดแล้ว (เราไปถึงก็ประมาณ สามทุ่มกว่าๆ) เลยต้องทาน "ร้านอร่อยแน่นอน" สาขารัชดาแทน


เมื่อวานเราต้องตื่นไปงานแต่งงานแต่เช้า (เป็นการแต่งงานในโบสถ์) หลังจากร่วมพิธีเสร็จ เราก็ไปทานข้าวกับพี่โบสถ์ที่พารากอน รวมถึงไปซื้อของขวัญฝากพี่ที่รู้จัก เจ้าของ "สบายบาร์" (แหล่งเที่ยว ผับ ที่เที่ยวกลางคืนแห่งเดียวที่เกาะช้าง) หากใครได้ไปพักผ่อนที่เกาะช้าง บาร์แห่งนี้คุณไม่ควรพลาดเด็ดขาด ทำธุระที่พารากอนเสร็จ เราก็ขับรถกลับมาบ้าน นอนเล่นสักพัก พอดีนึกขึ้นได้ว่า ได้ตั๋วหนังมาฟรี ก็เลยเบื่อขับรถ เบื่อนั่งรถไฟฟ้า อยากจะนั่งรถเมล์เล่นเพื่อ ไปดูหนังเรื่อง บุปผาราตรี ที่มาบุญครอง รอบหนึ่งทุ่มตรง ระหว่างทางที่นั่งรถเมล์ไปนั้น ฝนไม่ตก แต่พอเราไปถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว ฝนก็เทกระหน่ำลงมาให้กรุงเทพได้เปียกปอนอีกครั้ง (หลังจากอากาศร้อนพอสมควรตลอดวัน


ถ้าหากพูดถึงหนังเรื่องนี้ โดยรวมเราว่าภาค 3.1 ดีกว่า น่ากลัวกว่า มุขขำเยอะกว่า และหนังความยาว ยาวกว่า แต่โดยรวมก็ถือว่า "โอเค" ถึงแม้ว่า เราจะไม่จ้องหน้าจอโรงภาพยนตร์ตลอดก็เถอะ (ด้วยกว่า เรากลัวว่า ผู้กำกับ จะเล่น "ผีจ๊ะเอ๋" กับเรา ทำให้เราตกใจ


ดูหนังเสร็จเราตั้งใจว่า จะมาเดินซื้อของริมฟุตบาทฝั่งตรงข้ามมาบุญครอง แต่ฝนยังคงตกพรำๆ จึงทำให้ร้านค้าต่างๆไม่ตั้ง เราเดินมาเรื่อย ตั้งใจจะขึ้นรถเมล์ฝั่งหน้าสยาม แต่หลังจากยืนรออยู่นานพอสมควร ฝนก็ตกใส่หัวพรำๆ ทำให้เราตัดสินใจ ขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านดีกว่า ถึงบ้านเกือบห้าทุ่มแล้ว (เมื่อคืนวาน นอนหลับเป็นตาย เหนื่อยและเพลียจากการตากฝน)


เช้าวันนี้เราตื่นเกือบเที่ยง นอนเต็มอิ่มมากมาย วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เรามีโปรแกรมเดียวคือไปว่ายน้ำ ออกจากบ้านไปถึงสระก็บ่ายสามโมงครึ่ง ว่ายน้ำเกือบสี่สิบนาที เสร็จแล้วก็ลงเอยด้วยการไปทาน ก๋วยเตี๋ยวไก่แม่ศรีเรือนเหมือนเดิม (เราไปทานท่ีนี่หลายครั้งแล้ว และด้วยความช่างสังเกตุ ทำให้เรารู้ว่า มีทอมมาทานที่นี่เยอะเหมือนกัน) เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นคุณ คุณ และคุณ ที่กำลังอ่านงานเขียนของเราอยู่เอ่ย


นับเวลาถอยหลัง เช้าวันอังคาร เราต้องเดินทางไปเกาะช้างแล้ว ตื่นเต้นนิดหน่อย บวกกับได้มีโอกาสคุยกับพี่ที่เกาะช้างหลายๆคน พอจะคาดเดาได้ว่า ไปครั้งนี้้ คงเหนื่อย สนุก และอาจต้องเมาแน่ๆ เพราะดูท่าทางแล้ว ทริปนี้คงครึกครื้นน่าดู เอาไว้เรากลับมา เราอาจจะมาเขียนเล่าให้ฟังนะคะ


เราคงคิดถึง วอดก้า และมอมแมม แย่เลย เพราะว่า เราต้องจากเขาไปตั้ง 3 วัน ขอให้การเดินทางครั้งนี้ปลอดภัยเนอะ


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน





วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันอีกวัน

กิจกรรมเมื่อวาน เต็มเอี๊ยดไปด้วย "เรื่องส่วนตัว" หลังจากมีคนรอบข้าง ร่ำลือ และพูดถึง Anastasia eyebrow treatment อย่างหนาหู หลายคนบอกว่า คิวเต็ม ต้องรอ 2 เดือน เต็มๆ และในที่สุด ด้วยความบังเอิญ หรือโอกาส เราได้มีโอกาสไปรับบริการ eyebrow shaping เมื่อวานตอนบ่าย ผลจากการรับบริการ เต็มสิบ เราให้เก้าจุดห้า ดีมาก (แต่เจ็บเล็กน้อยตอนที่เขาใช้แหนบมาดึงขนคิ้วออกทีละเส้น หลังจาก wax ไปแล้ว) พนักงานที่ทำบอกว่า คิ้วพี่หนาจังเลยนะคะ แต่ไม่ต้องห่วงนะคะหนูจัดการได้ (นั่นคือคำปลอบใจของพนักงาน หลังจากดึงคิ้วเราจนระบมไปหมดแล้วหรือ?) หลังจากนอนนิ่งๆเกือบชั่วโมง คิ้วเราก็ออกมาเรียงเส้นสวยสมใจ 


หลังจากนั้น เราก็กลับมาที่บ้าน เพื่อที่จะเตรียมตัวไปว่ายน้ำ (ว่ายน้ำอีกแล้วอ่ะ) ว่ายวนไปวนมาอยู่ 45 นาที เราก็ขึ้นจากสระ ไม่ได้กลัวดำนะ แต่แขนขาหมดแรงเอาดื้อๆเลย   และก็จบกิจกรรมประจำวันด้วยการไปทาน scoozi ที่ Esplanade (มีโปรโมชั้น พิซซ่า ฮาวายเอี้ยน เพียงถาดละ 199 บาท) อร่อยและอิ่มมากเลยคะ


เราไม่ได้กลับไปเกาะช้างเกือบสองเดือนแล้ว ทั้งๆที่ป้า (ที่เรานับถือ) และพี่ที่รู้จักที่่นั่น พยายามที่จะชักชวน หรือตื้อให้ไปหลายต่อหลายครั้ง แต่หลังจากการถูกรบเร้าหลายๆครั้งเข้า ทำให้เราตัดสินใจที่จะกลับไปเยี่ยมเกาะช้างอีกครั้ง ซึ่งมีแผนวางไว้เป็นวันอังคารหน้า เดินทางไป สามวัน สองคืน (โปรแกรมเที่ยว กิน เต็มเอียด) มีแต่คนอยากให้เราอยู่ถึงสิ้นเดือน แต่เนื่องจากเวลาที่ไม่ลงตัว ทำให้เรายืนยันที่จะไปเที่ยวเล่นได้เพียง สาม วัน เท่านั้น บอกตามตรง คิดถึงบรรยากาศที่เงียบๆ เสียงคลื่นแห่งความสงบ รวมถึง พี่ๆที่น่ารักแล้วสิ 


สำหรับกิจกรรมวันนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก เพราะว่า เรารู้สึกไม่ค่อยสบาย เหมือนไข้จะขึ้นยังไงก็ไม่รู้  จริงๆแล้ว น้องสาวเราชวนเราไปดู บุปผาราตรี 3.2 ในค่ำคืนนี้ แต่โชคดี ที่เวลาฉายไม่เป็นใจ มิเช่นนั้น เราคงต้องนั่งกลัว และนอนหลอนทั้งคืนแน่เลย


พรุ่งก็วันที่ 21 อีกแล้ว เวียนมาถึงอีกครั้งแล้ว เอ๊ะ แล้วสรุป วัน เดือน ปี อะไรเนี่ย จำได้ดีไหมเอ่ย????


ขอตัวไปดู "ไฟโชนแสง" ก่อนนะคะ





วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อาลัย น้องนีโอ

ย้อนไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ตอนนั้นเรามักจะชอบไปเดินเที่ยวที่ "ตลาดนัดจตุจักร" เป็นประจำ เดินไปเรื่อยๆ (แหม สมัยนั้นยังวัยรุ่น มีแรงเหลือเฟือ ถ้าสมัยนี้ให้ไปเดิน ต้องขอคิดดูก่อน เพราะแก่แล้ว


มีอยู่เสาร์นึง เราไปเดินกับแฟนคนแรก และน้องสาวของเขา ระหว่างที่เดินไปโซนของสัตว์เลี้ยง น้องสาวของแฟนเรา ก็เดินไปหยุดให้ความสนใจ กับสุนัขชิสุห์ตัวนึง เธอรู้สึกถูกชะตาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เจ้าของร้านบอกราคาที่ 4500 บาท ตอนนั้นเธอเป็นแค่เด็กมัธยมต้นเท่านั้น เธอจึงไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น เราและแฟนจึงช่วยกันสมทบทุนซื้อน้องหมา และตั้งชื่อว่า "น้องนีโอ" เราได้มีโอกาสไปอยู่คลุกคลีกับน้องหมา (ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่เคยชอบน้องหมาเลย ก็มีน้องนีโอนี่แหละ ที่เรารักและรู้สึกผูกพัน) และหลังจากที่นั้นไม่นาน เราก็ได้ซื้อน้องมอมแมม น้องแมวของเรามาเลี้ยง (ในเวลาไล่ๆเลี่ยกัน


และเมื่อวานตอนค่ำ เราก็ได้ทราบข่าวที่ทำให้เราหัวใจหยุดเต้น เมื่อน้องสาวของแฟนเก่าโทรมาบอกว่า น้องนีโอตายแล้วตอนสองทุ่ม เรารู้สึกจุกในอก ความรู้สึกเศร้าเข้ามากระแทกหัวใจเราอย่างจัง ถึงแม้ว่า เราจะมีโอกาสอยู่กับน้องนีโอได้ไม่เท่าไหร่ แต่เรายังจับสัมผัสจากรอยเท้าเล็กๆ ที่มานอนซุกใต้ผ้าห่มเรา รวมถึงฝีเท้าที่วิ่งนำ เมื่อเราพาเขาไปวิ่งในสนามบอล รวมถึงแววตาขี้สงสัย เมื่อเราแกล้งตีแฟนเรา เพื่อให้เขาเห่า และแสดงท่าทางหวงเจ้าของ ช่างเป็นน้องหมาที่น่ารักมาก 


ป่านนี้เขาคนนั้น คงกำลังว้าเหว่ รู้สึกเหงา ค่ำคืนที่ผ่านมา เขาอาจจะปวดร้าว เจ็บลึกๆในใจ จากการสูญเสีย น้องหมา ที่ทั้งเป็นเพื่อน เป็นน้อง และเป็นกำลังใจตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ณ ตอนนี้ เราอยู่ห่างไกลเกินกว่าที่เอื้อมมือไปปลอบโยน หรือพูดให้กำลังใจ เราก็คงได้แต่ระบายความรู้สึกผ่านทางตัวอักษร โดยที่ไม่มีความเป็นไปได้เลยด้วยซ้ำว่าเขาจะรู้ว่าเราเขียน blog แห่งนี้


ถึง เจ้าของนีโอ


แม้ฉันไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่ก็พอเดาออกว่าคุณคงรู้สึกทุกข์ใจ อยากจะร้องไห้ แต่คงไม่ได้ร้องออกมา การสูญเสียครั้งนี้ อาจจะกระทบกระเทือน ความเคยชินในชีวิตประจำวันของคุณ แต่หากมองอีกแง่ เวลาต้องเดินต่อไป และการเปลี่ยนแปลงก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกนี้ตลอด เวลาที่ผ่านมา 10 ปีนั้น เราต่างรู้กันดีว่า วันนี้ต้องมาถึงในสักวัน เหมือนกับที่ฉันรู้อยู่ตลอดว่า วันนึง น้องมอมแมม (ผู้มีวัยไล่เลี่ยกับน้องนีโอ) ก็ต้องมีวันลาจาก ถึงแม้ว่าฉันจะปฏิเสธที่จะคิดถึงช่วงเวลานี้เท่าไหร่ ฉันก็ไม่อาจหนีมันได้เหมือนกัน ไม่ว่าเราจะยอมรับได้หรือไม่ก็ตาม


คุณไม่รู้ว่าฉันรู้เรื่องการจากไปของน้องนีโอแล้ว จากน้องสาวของคุณ (เธอบอกฉันก่อนที่คุณจะห้ามเธอไม่ให้บอก เพียงเพราะคุณกลัวว่าฉันจะเสียใจ) ไม่เป็นไรนะคะ ฉันรู้แล้ว และแม้คุณกำลังเสียใจ คุณก็ยังห่วงฉันอีก คุณคงมองการณ์ไกล คาดความรู้สึกของฉันไว้ ว่าถ้าหากฉันรู้เรื่องการจากไปของน้องนีโอ ฉันคงเริ่มเครียดเรื่องน้องมอมแมม ไม่เป็นไรนะ ฉันสัญญาว่า​ฉันจะไม่คิดมาก ตอนนี้ในใจฉันลึกๆ ฉันห่วงแต่ความรู้สึกคุณ แต่คุณทำใจให้สบายนะคะ น้องนีโอไปสบายแล้ว ฉันจะสวดให้น้องนีโอ และขอให้คุณเข้มแข็งผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้นะ คุณได้ทำหน้าที่เจ้าของ เพื่อน ครอบครัวของน้องนีโอ ได้ดีที่สุดแล้ว น้องนีโอเป็นน้องหมาที่โชคดีที่สุด เขาได้ทานอาหารครบทุกมื้อ (อย่างดีที่สุด) ได้รับความรัก ได้รับโอกาส ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด จนแม้แต่มนุษย์บางคนบนโลกนี้ ยังไม่มีโอกาสเท่ากับเขาเลย


หลับให้สบายนะคะน้องนีโอ คุณด้วยล่ะ รักษาสุขภาพ ทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี


ห่วงเสมอ


Raccoon






วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันสบายๆ

ช่วงนี้เรามี "กิจกรรมใหม่" มาให้ได้สนุกกัน หลังจากเบื่อเล่นโยคะ เบื่ออ่านหนังสือ และ เบื่อฯลฯ อีกมากมายหลายอย่าง ตอนนี้เรากำลังสนใจ และสนุกอยู่กับ "การว่ายน้ำ" (ว่ายน้ำ เป็นการออกกำลังกายในทุกๆส่วน) แต่อาจจะทำให้สีผิวเข้มขึ้นได้ ดังนั้น ควรเลือกครีมกันแดด ที่เหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้งของคุณ


ช่วงระยะเดือน สองเดือนหลังนี้ การใช้ชีวิต และความเป็นตัวตนของเราได้เปลี่ยนไป จนคนรอบข้าง โดยเฉพาะคุณแม่ รู้สึกงงงวยไปอย่างมาก เนื่องจาก เมื่อก่อน หากใครค้นกระเป๋าถือเรา ก็จะแปลกใจอย่างมาก เนื่องจาก เราไม่ได้พกกระจก ตลับแป้ง หวี ลิบสติก ครีมทามือ กระดาษซับมัน กระเป๋าใส่เหรียญ หรือของจุกจิกอื่นๆ แบบที่ผู้หญิงปกติเขาพกกัน แต่ในกระเป๋าเราจะมีเพียงกระเป๋าตังค์ กระเป๋าใส่บลูทูธ (2อัน ที่ charge batt จนเต็มตลอด) กระเป๋าใส่ small talk (ในกรณีที่บลูทูธแบตหมด) กระเป๋าใส่มือถือ มีประมาณ 3-4 เครื่อง กระเป๋าใส่แบตโทรศัพท์ กุญแจรถ กุญแจบ้าน  ผ้าเช็ดหน้า กระดาษทิสชู่ แค่นั้น 


เรียกได้ว่า เดินทางไปไหน จะทำอะไร เราจะมีอวัยวะที่ 33 นั่นคือ หูฟังโทรศัพท์ งอกออกมา แทบจะตลอดเวลา รวมทั้งเวลาก่อนนอนด้วย หากเกิดอุบัติเหตุไฟฟ้าลัดวงจรขณะชาร์จโทรศัพท์ไป นอนไป สมองเราคงจะระเบิดออกแน่นอน หลักเกณฑ์สำคัญ ในการเลือกรุ่นโทรศัพท์ของเรานั้น ถ้าเบอร์ที่ใช้งานหนัก หนึ่ง ต้องมีบลูทูธ สอง ช่องเสียบชาร์จไฟ กับ small talk ต้องไม่ใช่ช่องเดียวกัน สาม แบตเตอรี่ต้องอึด อยู่ได้นาน ฯลฯ ความถี่ในการชาร์จโทรศัพท์ของเราก็คือ ทุกวัน บางทีก็วันนึงอาจสองรอบ 


แต่ระยะนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป มีเบอร์โทรศัพท์เท่าเดิม พกโทรศัพท์ 3 เครื่องเท่าเดิม แต่ไม่พกหูฟัง หรือบลูทูธอีกแล้ว เนื่องจาก ไม่ได้คุยกับใคร โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาก็มีเพียงคุณแม่ น้องสาว และน้องเขยเท่านั้น ความถี่ในการชาร์จแบตสาม ถึง สี่วันครั้ง กิจวัตรในการคุยโทรศัพท์เปลี่ยนไป ไม่มีการคุยก่อนนอน คุยระหว่างวัน คุยตอนกินข้าว คุยตอนขับรถ คุยตอนเดินห้าง คุยตอนดูทีวี หรือแม้กระทั่งคุยตอนทำความสะอาดบ้าง


ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป เปลี่ยนไป ไม่รู้เพราะความเบื่อ หรือเพราะว่า จริงๆแล้ว เราอาจ "ก้าวข้ามผ่าน" ความเหงาในใจตัวเองออกไปแล้วก็ได้ 


ชีวิตประจำวันของแต่ละคน ปรับเปลี่ยนไปตามช่วงวัย สำหรับเรา เบื่อเมื่อไหร่ ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้ ยังมี "สิ่ง" ที่ให้เราลุยเต็มที่ได้อีกเยอะ


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน





วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันแม่

แม่โกหกเรา 8 ครั้งในชีวิต


ครั้งแรก ตอนเมื่อเราเป็นเด็กๆ เราเกิดในครอบครัวที่ยากจน ครอบครัวของเราจนมาก จนต้องอดข้าวบ่อยๆ เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว แม่จะแบ่งข้าวมาให้เราเพิ่มอีก พร้อมทั้งพูดว่า "ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้นนะ ส่วนแม่ไม่ค่อยหิว" นี่เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกเรา


ครั้งที่สอง เมื่อเราเติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่าง ไปตกปลาในแม่น้ำ เพื่อว่าเราจะได้กินอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของเรา แม่ต้มปลา ที่ตกมาได้ทำเป็นซุป ให้เรากิน ในขณะที่เรากินแกงต้มปลา แม่จะนั่งข้างๆเรา แทะกินเศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลา หลังจากที่เราได้กินเนื้อปลาไปแล้ว เรารู้สึกตื้นตันใจมาก เราพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่ แต่แม่ปฏิเสธทันควัน พร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา" นี่เป็นครั้งที่สองที่แม่โกหกเรา


ครั้งที่สาม เมื่อเราเรียนอยู่ชั้นมัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็กๆ น้อยๆ จากโรงงาน มาทำที่บ้าน บางครั้ง เราตื่นขึ้นมาตอนตีหนึ่ง หรือตีสอง เรายังเห็นแม่ทำงานอยู่ "แม่คะ นอนเถอะ มันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก" แม่ยิ้มกับเราพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ แม่ยังไม่เหนื่อย นอนไม่หลับ" ครั้งที่สามแล้ว ที่แม่โกหกเรา


ครั้งที่สี่ ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยม เราต้องไปสอบวันสุดท้าย แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อน และเพื่อเป็นกำลังใจให้ มันเป็นวันที่แดดร้อนมากๆ แม่ต้องรอเราอยู่หลายชั่วโมง เมื่อเราทำข้อสอบ เสร็จ รีบออกมาหาแม่ เราเห็นแม่มีเหงื่อออกท่วมตัว แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้เราดื่ม เราเห็นแม่รู้สึกเหนื่อย และร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อน แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ แม่ยังไม่กระหาย้ำ" นั่งเป็นครั้งที่สี่ ที่แม่โกหกเรา


ครั้งที่ห้า หลังจากที่พ่อล้มป่วยและเสียชีวิต คุณแม่ที่น่าสงสาร ต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าแม่จะพยายามมากขึ้นเพียงไร คุณลุงที่อยู่ข้างๆบ้าน ท่านเป็นคนดี พยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอ เช่นซ่อมแซมบ้านที่ผุพัง ฯลฯ เพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมาก ก็แนะนำให้แม่แต่งงานใหม่ แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย แม่พูดกับเราว่า "แม่มีลูกอยู่ทั้งคน แม่ไม่ต้องการความรักอีก" แม่โกหกเราเป็นครั้งที่ห้า


ครั้งที่หก ในที่สุด เราก็เรียนจบ และมีงานทำ เราอยากให้แม่ ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง แต่แม่ไม่ยอม กลับไปตลาดทุกเช้า ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพ ทั้งๆที่เราพยายามส่งเงินให้แม่ (เราต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล) แม่ไม่ค่อยยอมรับเงินเรา บางครั้งยังส่งกลับคืนให้เราอีก แม่พูดกับเราว่า "แม่มีเงินพอใช้แล้ว ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ" แม่โกหกเราเป็นครั้งที่หก


ครั้งที่เจ็ด เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า เราตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโท ด้วยทุนของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในอเมริกา เมื่อเราเรียนจบ ก็ได้งานทำที่นั่น และมีเงินเดือนค่อนข้างสูง เมื่อทำงานไปได้สักพัก เราอยากให้แม่เรามาอยู่กับเรา เพื่อว่าแม่จะได้หยุดงาน พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของชีวิต แต่แม่ไม่อยากรบกวนเรา บอกเราว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตต่างแดน" แม่โกหกเราเป็นครั้งที่เจ็ด


ครั้งที่แปด เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อยๆ ในที่สุด แม่ก็เป็นมะเร็ง และต้องเข้ารับการผ่าตัดที่ รพ. เราลางาน  แล้วรีบบินกลับมาหาแม่สุดที่รักในทันที แม่นอนพักฟื้นอยู่บนเตียง เมื่อเราไปถึง น้ำตาไหลอาบแก้ม เมื่อเห็นแม่ซึ่งผ่ายผอม และดูทรุดโทรมลงอย่างมาก แม่รู้สึกดีใจมาก ที่เห็นเรา พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก เรารู้ดีว่า แม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดฝืน จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว เราโอบกอดแม่ พร้อมกับร้องไห้ด้วยความสงสาร หัวใจเราในขณะนั้น เศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด แม่พยายามปลอบเราด้วยเสียงที่แหบพร่า และสั่นเครือ "ลูกรักของแม่ เห็นหน้าลูกแม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว" นี่เป็นครั้งที่แปด ที่แม่โกหกเรา และเป็นครั้งสุดทายในชีวิตของแม่ด้วย


แม่ที่เรารัก และบูชามาตลอดชีวิตได้ปิดตาลง และจากเราไป อย่่างไม่มีวันกลับ หลังจากที่เธอกล่าวคำโกหกครั้งที่แปด จบลง


พรุ่งนี้ก็ "วันแม่" ​แล้ว อย่าลืมคิดถึงคุณแม่ของพวกคุณเป็นพิเศษนะคะ เพราะแม่คิดถึงลูกๆตลอดเวลาแหละ


จาก English forward mail “mother 8 lies”


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน




วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กิจกรรมพิเศษ

หากใครที่เคยคุยกับเรา หรือรู้จักเป็นการส่วนตัวกับเรา ก็คงจะไม่มีใครเชื่อ เพราะว่าตอนนี้เราเป็น สมาชิกในวงนักขับร้องประสานเสียง (มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง) ซึ่งโดยปกติ เราจะมีนัดซ้อมอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง ครั้งละ 3 ชั่วโมง และต้องร้องในงานใหญ่ เดือนละหนึ่งครั้ง (ที่สำคัญ เราเข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกวงนี้ เกือบจะหนึ่งปีเต็มแล้วด้วย) ถ้าเทียบจากเมื่อก่อนเข้าวง เราร้องเพลงเรียกได้ว่า ไม่เคยตรงคีย์เลย ไม่เพี้ยนสูง ก็เพี้ยนต่ำ หรือไม่ก็ค่อมคีย์ สร้างสรรค์เสียงเพลงในท่องทำนอง และจังหวะส่วนตัวของเราเอง (แต่เนื่องจากด้วยพระพร หรือพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ได้นำทาง เรามาให้รับใช้พระองค์ในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่แตกต่างจากการอ่านบทอ่านในพิธีมิสซา


เราอยู่ในเสียง soprano (หรือเสียงสูงของผู้หญิง) โดยลึกๆ เราก็ยัง งงๆ ว่า หัวหน้าวง จับเรามาร้องเสียงนี้ได้ไง เพราะเราว่า เราเสียงไม่สูง ออกจะขึ้นไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยืนยันว่า "เราเสียงสูงแน่นอน" และหลังจากถูกฝึกฝน อยู่นาน การร้องเพลงของเราก็ดีขึ้น (เป็นคำชมจากคนรอบข้าง) ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว เราร้องดีขึ้นหรือไม่ (แค่คิดว่าจะทำให้ดีที่สุด ในการร้องทุกๆครั้ง)


และในเดือนนี้ เรามีภารกิจที่ต้องทำเยอะมาก และก่อนที่จะถึงวันงานประจำเดือนนี้ เราก็ขาดซ้อมมา สองครั้งแล้ว เราไปซ้อมอีกที เมื่อคืนวันเสาร์ เป็นการซ้อมใหญ่ มีการเปลี่ยนที่นั่ง จากปกติ เรานั่งในกลุ่มเสียง soprano เราเปลี่ยนไปนั่งติดกับน้องคนนึง ซึ่งเราก็พยายามที่จะปรับจูนเสียงให้สูงเท่าเขาให้ได้ แต่เมื่อซ้อมไปสักพักใหญ่ เราสังเกตุว่า น้องเขาร้องไม่ตรงเนื้อร้องของเรา คือบางทีเขาจะร้องประสาน เราจึงถามเขา แบบไม่อยากคาดหวังคำตอบว่า "น้องคะ น้องร้องเสียงอะไร" เขาหันมาตอบว่า "alto” เสียงต่ำสุดของผู้หญิง" เราจึงนึกขำตัวเองอยู่ในใจ นี่เราร้องเสียงต่ำตามน้องเขามาตลอดเลยหรือนี่ ขำตัวเองมาก (เป็นเรื่องตลกเล็กๆของเรา) แต่เราว่าคนอ่าน เช่นพวกคุณอาจจะไม่ตลกเท่าไหร่


ช่วงนี้ชีวิตประจำวัน ก็เรื่อยๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ อยู่ในโหมดปกติ ธรรมดา ตามประสาเรา แต่ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์​ หรือประเด็นอะไร มากระทบชีวิตประจำวัน สิ่งที่เรา มนุษย์ เพียงคนนึงในโลกอันกว้างใหญ่ ที่พึงจะกระทำได้ ก็คือ ตั้งสติ อยู่กับปัจจุบัน ให้ดีที่สุด ก็เท่านั้นเอง


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน




วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วิตามินและอาหารเสริม

ช่วงนี้กระแส "รักสุขภาพ (ร่างกาย)” กำลังฟีเวอร์ ไม่ว่าจะหันไปเจอใคร  ต่างก็หันมาทานอาหารเพื่อสุขภาพ กันทั้งนั้น และกระแสนี้ ก็กลายมาเป็นการตลาดอย่างดีเยี่ยม ให้กับร้านอาหาร และผลิตภัณฑ์อาหาร ที่ต่างเกาะกระแสอย่างเหนียวแน่น (ช่วงโกยเงิน)


เป็นสิ่งที่ดี ที่ในสังคมช่วงนี้ คนส่วนมาก หันมารักร่างกายตัวเอง ดูแลร่างกายตัวเองกันมากขึ้น ออกกำลังกายกันมากขึ้น แต่ก็ยังเที่ยว ดื่ม กันเหมือนเดิม (ไม่ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยแค่ไหน?)


อีกผลิตภัณฑ์ที่ช่วงนี้ยอดการขาย พุ่งกระฉูด ติดเพดาน (ดาดฟ้า) ก็คงเป็น "อาหารเสริม วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ" ที่สังคม (เขา) ว่า ดี ทานแล้วจะสุขภาพดี ทานแล้วจะสวย ทานแล้วจะทำให้อะไรต่างๆในชีวิตดีขึ้น (เป็นแค่คำโฆษณา หรือ ความจริง? ก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่า คนส่วนใหญ่เชื่อก็พอ


เคยคิดกันเล่นๆไหมคะว่า วิตามิน หรือ อาหารเสริม ที่เราแต่ละคนต้องกินในแต่ละวัน ที่แต่ละเม็ดก็ไม่รู้จะใหญ่ไปถึงไหน (เหมือนจะประชด ผู้บริโภคให้รู้ว่า ยิ่งใหญ่ ยิ่งอัดแน่นไปด้วยสารอารหารที่ร่างกายต้องการ และจำเป็น) และต้องทานวันละเป็น "กำมือ


เมื่อนอนแล้วตื่นเช้ามาแล้ว ชีวิตเราจะสดใส คนรอบข้างก็จะมองเราอย่างเปลี่ยนไป จริงๆแล้ว เขาอาจจะมองคุณปกติทุกวัน ก็ได้ เพียงแต่ว่า คุณเพิ่งจะสังเกตุเห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ก็วันนี้ วันที่คุณต้องการคนยืนยันว่า "คุณดูดีขึ้น หรือ สวยขึ้น"


ความนิยม และส่วนแบ่งทางการตลาด ดูแบ่งแยกอย่างชัดเจน สังเกตุได้จาก เมื่อคุณเดินเข้าไปใน เซเว่น จะมี shelf ใหญ่ อันนึงเลย ที่สองชั้นด้านบน จะถูกอัดแน่นไปด้วย อาหารเสริมแบบขวด สี ยี่ห้อ และชนิดที่แตกต่างกัน ดูเหมือนยังไม่เพียงพอ อาหารเสริมพวกนี้ ยังมีโชว์อีกที่ เพื่อตอกย้ำให้คุณซื้ออีก ตรงจุดชำระเงินที่จะมีแบบอัดเม็ด เป็นซองเล็กๆขายอยู่ข้างๆหมากฝรั่ง (และคุณจะพลาดหรือ?) สุดท้ายก็ต้อง แวะหยิบมาสักขวดสองขวด ซองสองซอง (เพื่อมา "ลองดี"​กับ สรรพคุณ และความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น)


(ไหน??? เพื่อนๆคนไหน ยังไม่เคยทานวิตามิน หรืออาหารเสริม พวกนี้บ้าง ช่วยยกมือให้ดูหน่อยสิคะ) จริงๆไม่ต้องถามก็ได้ เพราะไม่มีใครยกมือหรอก


ตอนเด็กๆ เราเคยดูการ์ตูน เรื่องนึง ที่เขาจะพูดถึงโลกอนาคตว่า "จะมีอาหารเป็น  capsule” เรานั่งดูตอนนั้นก็คิดว่า "ยุคนั้นคงไม่มีวันมาถึง หรืออย่างน้อย เราคงไม่ได้อยู่จนถึงยุคนั้นแน่" แต่ขณะนี้ เราอายุแค่ 29  ยุคนั้น ก็มี "เค้าโครงลางๆ" สะท้อนให้เห็นเริ่มจะชัดเจน 


สังเกตุได้จาก คนส่วนใหญ่ ไม่เลือกที่จะทานผัก ผลไม้ เพื่อให้ระบบภายในร่างกาย สังเคราะห์เพื่อให้ได้วิตามินมา แต่เลือกที่จะทานวิตามินอัดเม็ด (เม็ดใหญ่) หรือ ไม่นิยมบริโภค เนื้อสัตว์ ถั่ว ข้าว แต่นิยมทานโปรตีนอัดเม็ด จะมีก็แต่ อาหารจำพวกไขมันเท่านั้น ที่ยังไม่มีบริษัทไหน ผลิตอัดเม็ดออกมา 


ร้านอาหาร สถานบันเทิงต่างๆ ที่จะเปิดบริการอยู่ได้นั้น ก็เพราะ สถานที่เหล่านั้น เป็นแค่สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ หาความบันเทิงให้กับคนในสังคม 


มองดูสังคมในยุคนี้ ก็เกิดความสะท้อนใจเกิดขึ้น เพราะค่านิยมที่ผิดๆ การใช้ชีวิต และมุมมองที่ดูจะมองจากด้านนอก เข้ามาด้านใน (ไว้จะมาอธิบายหัวข้อนี้อีกที) ทำให้เรารับเอาสิ่งข้างนอกเข้ามาข้างในมาก หลายครั้ง ลืมที่จะฟังเสียงความต้องการของตัวเอง (การดำเนินชีวิตของคนหลายๆคนในยุคนี้ เริ่มจะให้ความสำคัญ กับสังคมรอบตัว และเทคโนโลยีมากเกินกว่าที่จะ ให้ความสำคัญกับตัวเอง


ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่า "กระแสไหนในสังคมจะมาแรงอีกในอนาคตอันใกล้

ฝากไว้ให้คิดกันเล่นๆนะคะ


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน







วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ภาษารัก ตอนจบ

ไดอารี่วันนี้เป็น ภาษารัก แบบสุดท้าย ที่สำคัญเป็นการสื่อสารที่สำคัญมากที่สุดใน "ความรัก" เสียด้วย นั่นคือ


ภาษารัก “สัมผัสทางกาย” เป็นวิธีหนึ่งที่สื่อรักทางอารมณ์


เมื่อพูดถึงการ “สัมผัสทางกาย” น้อยคนนัก ที่จะกล้าปฏิเสธว่า ไม่ต้องการ เพราะการสัมผัส เป็นวิธีที่ทรงพลังในการสื่อถึงความรัก “การจับมือ จูบ กอด และ sex” ล้วนเป็นวิธีสื่อรัก


ต่อ” ทอมที่กำลังเผชิญมรสุมในชีวิต เขาเครียดมาก เครียดมาตลอดหลายอาทิตย์ เขาเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องเพียงลำพัง ข้าวปลาไม่ค่อยทาน เอาแต่นั่งเหม่อ เขาไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง เพราะเขากลัวคนรอบข้างจะหัวเราะ หรือต่อว่าเขา ในเรื่องที่เขาทำผิดพลาดไป พฤติกรรมของเขาอยู่ในสายตา “กวาง” ดี้ แฟนสาวตลอดเวลา เธอรู้สึกเครียดหนัก เธออยากจะแบ่งเบาภาระเขา อยากช่วยเหลือเขาเท่าที่ช่วยได้ แต่ไม่ว่าเธอจะถามเขายังไง เขาก็ไม่พูดกับเธอ เขาคิดอยู่ในหัวว่าจะ “ฆ่าตัวตาย” หนีปัญหานี้ซะ 


ขณะที่เขากำลังนั่งคิดวิธี “ลาลับ” ไปจากโลกนั้น ก็มีอ้อมแขนอุ่นๆจากเธอ มากอดด้านหลังเขา เธอกระซิบข้างหูเขาว่า “พี่คะ ถึงหนูจะช่วยอะไรพี่ไม่ได้ ไม่สามารถรับรู้ถึงความทุกข์ในใจพี่ได้ แต่พี่ยังมีหนูนะคะ คนที่รักพี่สุดหัวใจ” เขาน้ำตาไหล และก็ลืมความคิดโง่ๆที่จะ “ฆ่าตัวตาย” นั้นทันที


เห็นไหมคะ “สัมผัส” เล็กๆน้อยๆ ที่ใครอาจคิดว่าไม่สำคัญ หรือไม่จำเป็น กลับสร้างแรงบันดาลใจ และให้ความชุ่มชื้นหัวใจใครอีกคนได้อย่างน่าอัศจรรย์


วันนี้คุณกอด หรือสัมผัสกาย คนที่คุณรักหรือยังคะ?


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน