Recent News

Powered by eSnips.com

วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551

Joke of Sex 1

ก่อนอื่นขอ "ค้างคาเรื่องกิ๊ก" ไว้ก่อนนะคะ
วันนี้เราจะมาเสนอเรื่องราวอีกมุมมองนึงของ sex ในอีกแง่ เป็นแง่ที่เมื่อได้รับรู้แล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เราขอเกริ่น ผู้มา share ประสบการณ์ Joke Sex กับเรา เขาเป็น “ทอม” ชื่อ “เดือน” แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อแล้วเป็น “Mark” อายุก็ย่าง 32 ปีนี้ ทำงานเป็น “Sales” บริษัทยาแห่งหนึ่ง (เขาว่ากันว่า พวก Sales จะคารมดีเหลือหลาย อยากรู้ว่าคารมดีแบบนี้ เรื่องบนเตียงจะแค่ไหน)

ก็อย่างที่ทราบๆกัน ว่า Sales บริษัทยา ต้องเดินทางไปติดต่อขายยาตาม clinic ต่างๆ เขาได้มา จ๊ะเอ๋ ประสบการณ์กับ “หนิง” พยาบาลประจำคลินิก ย่านบางบัวทอง (พยาบาลส่วนใหญ่จะ sex จัดนะคะ ขอยืนยัน) เธอก็ Sex จัด ดังเช่นพยาบาลคนอื่น เขาเล่าว่า เขาจีบเธอวันเดียวก็ได้นอนกับเธอ (เขาช่างเก่งกาจเหลือหลายจริงๆ) คืนนั้นทั้งสองได้ไปเช่าห้องรายวันกัน เธอ Sex ร้อนแรงมาก เขาไม่เคยเจอใครที่ sexy ร้อนแรง และ hot เท่าเธอเลย

คืนนั้นเขาทั้งใช้นิ้ว ใช้ลิ้น ทำให้เธอถึงสวรรค์ร่วมเกือบ 10 ยก และแล้ว จุดเริ่มต้นของความ joke มันก็เกิดขึ้น เขาเริ่มผลอยหลับไป เพราะความเหนื่อยจากการงาน และกิจกรรมกับเธอ (ทอมอายุเยอะ ร่างกายก็เริ่มเสื่อมสมรรถภาพ ว่าไหมคะ?? ) อย่างที่เราเคยพูด พยาบาล hot จะตาย แค่ 10 กว่ายก พวกเธอไม่พอหรอก (ขออภัย ถ้าหากเรื่องราวนี้ไปกระทบพยาบาล จำพวก sex เสื่อมบางคน) เขาหลับในท่านอนหงาย ไม่มีแรงแม้จะพลิกไปกอดเธอ สิ่งที่ทำให้เขาต้องตกใจหรี่ตาขึ้นมาดูก็คือ เธอขึ้นมานอนค่อมตัวเขา จับมือเขาทั้งสองข้าง ลูบไล้ไปตามตัวเธอ เมื่อเธอถึงจุดเสียว เธอก็จับนิ้วเขา สอดใส่ไปที่....ของเธอ แล้วเธอก็ถึงสวรรค์โดยที่เขาไม่ต้องออกแรงขยับมือเลย เขานอนหรี่ตาดูเธอ ประกอบกิจกรรมไปหลายยกทีเดียว ก่อนที่เธอจะ move บางสิ่งมาที่หน้าเขา แล้วออกแรง ขยับสะโพกไปมา แล้วเธอก็เสร็จ ปล่อยให้หน้าเขาเต็มไปด้วยน้ำ (เขากลัวมาก ไม่ใช่รังเกียจหรอกนะคะ แต่กลัวหน้าจะเป็นสิว) เมื่อเธอหมดแรงเธอก็ลงไปนอนหลับข้างๆเขา

ก่อนหน้านี้ เขาตั้งใจอย่างเต็มที่ว่า จะคบกับเธอสักเดือน สองเดือนแล้วค่อยเลิก แต่เหตุการณ์เมื่อคืน ทำให้เขาตัดสินใจไม่ขอคบกับเธอต่อดีกว่า (เพราะอะไรนะเหรอ เราเป็นดี้ ไม่รู้หรอก ต้องไปถามพวกทอมๆ แล้วเพื่อนๆก็จะได้คำตอบ)

มีน้องทอมหลายคนเข้ามาถามเราว่า “พี่ครับ น้ำตรงนั้นมีรสชาติด้วยเรอะ กลิ่นน่ะพอทัน แต่รสนี่สิ ผมจะทำยังไงไม่ให้มีรสชาติครับ”

เท่าที่พี่มีข้อมูลอยู่ในมือ น้ำนั้นมีรสชาติ และสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของผู้หญิงคนนั้นได้ด้วย อย่างเช่น รสหวาน เธอสุขภาพแข็งแรงดี รสเค็ม ร่างกายเธอขาดน้ำ รสขม ร่างกายเธอมีปัญหาเรื่องการระบายของเสีย รสจืด ลิ้นของคุณมีปัญหาแล้วล่ะ รสคาว ไม่มีความคิดเห็น

ฝากไว้ให้สังเกตุนะคะ กระตุ้นต่อมเสียววันละนิด ชีวิตรักยั่งยืน

ป.ล. เรื่อง Joke of Sex มี 5 ตอนนะคะ มาติดตามเรื่องของ Mark กันว่า ประสบการณ์ของเขานั้น จะทำให้เพื่อนๆยิ้มทั้งน้ำตาได้หรือเปล่า

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

ดอกไม้กับแจกัน

เราเป็นคนนึงที่ชอบ “ศึกษา ค้นคว้า เรียนรู้” สิ่งแปลกๆใหม่ๆ เพราะเราเชื่อว่า “การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น ตราบใดที่เรายังต้องหายใจอยู่ในโลกใบนี้” และวิชาต่อไปที่เราจะลงเรียนนั้น คือ “การจัดดอกไม้” เราไม่ได้เป็นดี้หวาน ออกจะห้าวๆซะด้วย แต่ก็ไม่รู้ทำไมนะ อยากที่จะเรียนจัดดอกไม้จัง

เหตุผลที่เราให้กับตัวเองในการเรียนอันนี้ก็คือ “ชีวิตเราก็เหมือนแจกันดอกไม้ การที่เราจะจัดแจกันดอกไม้ให้สวยนั้น ไม่จำเป็นที่เราจะต้องคัดเลือกดอกไม้ที่สวยที่สุด แพงที่สุด ดีที่สุด มาปักลงในแจกัน แต่เป็นการนำดอกไม้หลากหลายสี หลากหลายความสวยงาม หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี สวยหรือไม่สวย มาผสมรวมกันในแจกัน ให้ออกมา “สมดุล และพอดี” ที่สุด และนั่นคือความหมายของชีวิต” ก็มาเอาใจช่วยเรานะคะว่า “ดี้บ้านๆ ห่ามๆ อย่างเรา จะเรียนจัดดอกไม้ออกมาในรูปแบบไหน” (และวันนี้เราได้ดู DVD หนังเลสเบี้ยนเรื่อง Imagine Me & You เลสคนนึงเป็นเจ้าของร้านดอกไม้ ยิ่งประทับใจ และผลักดันอยากให้เราจัดดอกไม้เก่งๆจัง)

ในบรรดาวิชาที่เราเรียนนั้น มีหลายวิชาที่เราตั้งใจเรียนมาก และทำได้ดีด้วย แต่กลับไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ นั่นคือ การเรียนดูไพ่ยิบซี (ขอบอกเราดูแม่นมากๆๆๆๆ) แต่เราไม่กล้าดูให้ใคร เพราะเรากลัวว่าแม่นเกินไป (นี่ไม่ได้พูดยอตัวเองนะ) อีกวิชา เรียนการทำ Cocktail เราขึ้นชื่อในหมู่เพื่อนสนิทมากเรื่องการผสม cocktail แต่เนื่องจากเราไม่ทาน Alcohol ทำให้เราไม่ได้ทำให้ตัวเองทานเสียเท่าไหร่ (เพื่อนๆคนไหนสนใจ อยากให้เราไปจัด party ให้ที่บ้าน ติดต่อด่วน) ยังมีอีกหลายวิชาที่เราเรียนแล้วใช้ประโยชน์ได้ บ้างเช่น เรียนทำเล็บ เรียนแต่งหน้า เรียนเสริมสวย เรียนตัดผม (โดยเฉพาะทรงทอมๆ) เรียนทำอาหาร วิชาที่เราคิดว่าจะต้องเรียนให้ได้ในอนาคต ก็มีซ่อมแซมเสื้อผ้า เรียนตัดรองเท้า แต่วิชาที่เราใฝ่ฝันและสนใจที่สุด (เคยมีโอกาสเรียนแล้วแค่ไม่กี่ชั่วโมง) คือ ภาษาลาติน (เรามีความชอบส่วนบุคคลกับภาษานี้มาก)

วันนี้เป็นอีกวันที่เป็น “วันหยุด” ของเรา เราออกไป “ทัวร์ส่องทอม” ตอนเที่ยงๆ กลับมาก็นอนพัก คุณแม่เตือนว่า “วันนี้เราต้องไปหาหมอฟันช่วงเย็น ดังนั้นควรจะกินเยอะๆ และนอนพักเยอะๆ เผื่อว่าหมอจะถอนฟันให้อีก (ในช่วงยังไม่ถึงเดือนที่ผ่านมา เราถอนฟันไปแล้ว 3 ซึ่)” แม่พูดไป พลางหัวเราะไป แต่โชคยังเข้าข้าง เมื่อพยาบาลโทรมาบอกว่า คุณหมอขอเลื่อนนัดเราออกไป “เย้ๆ ได้นอนอยู่บ้านแล้ว” ช่วงนี้ไม่ได้ไปเล่นโยคะเลย อยากไปเหมือนกันนะ แต่ขอเคลียร์เวลาอีกนิดก่อน

การเขียนไดอารี่ก็เป็นอีก “งานอดิเรก” นึงซึ่งเราชอบทำ แต่ถ้ามีแต่ “เวลา” แต่ปราศจาก “อารมณ์” ร่วมแล้ว งานเขียนก็ไม่สามารถออกมาได้ดีเลย เราขอไปทำอารมณ์ก่อนนะคะ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน


ดอกไม้กับแจกัน

ดอกไม้ที่เห็นว่ามันดูสวยเมื่อใส่แจกัน ได้ถามมันไหมว่าโดนบังคับหรือสมัครใจ

มีคนที่พรากมันมา อำลากิ่งก้านใบ แล้วสุดท้ายมาร้องไห้บนแจกัน

และฉันก็รู้ว่าเธอก็รักก็ห่วงเท่าไร ให้หันทางไหนก็มีเธอชี้คอยบอกกับฉันใจจริงก็รักเธอ

ทั้งรักและผูกพัน แต่ว่าใจมันทนทำตามต่อไปไม่ไหว

แค่อยากเป็นตัวเอง อยากเป็นตัวฉันคนเดิม อย่าเติมอะไรลงไป

ฉันเคยเหนื่อย ใช้ชีวิตหนักๆ มีรักก็อยากให้ผ่อนคลาย

อยากให้รักฉัน แต่ที่เป็นฉันจริงๆ อย่าทำให้เป็นใครๆ

รักเธอมาก รักเธอมากที่สุด แต่มันก็ต้องเปลี่ยนไปวันนี้ฉันจะจากไป ฉันขอไปเป็นตัวเอง

อย่าคิดว่าฉันไม่แคร์ไม่รักไม่ห่วงใยใคร แค่ขอไปใช้ไปมองชีวิตในแบบลำพัง

วันนึงหากพบตัวเอง วังเวงหมดหนทาง และวันนั้นดอกไม้จะกลับมาหาแจกัน

ใจจริงก็รักเธอ ทั้งรักและผูกพัน แต่ว่าใจมันทนทำตามต่อไปไม่ไหว

แค่อยากเป็นตัวเอง อยากเป็นตัวฉันคนเดิม อย่าเติมอะไรลงไป

ฉันเคยเหนื่อย ใช้ชีวิตหนักๆ มีรักก็อยากให้ผ่อนคลาย

อยากให้รักฉัน แต่ที่เป็นฉันจริงๆ อย่าทำให้เป็นใครๆ

รักเธอมาก รักเธอมากที่สุด แต่มันก็ต้องเปลี่ยนไป

วันนี้ฉันจะจากไป ฉันขอไปเป็นตัวเอง

วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551

9 Love Emotion Tracks

9 Love Emotion Tracks

“แฟนทิ้งไปหาสจ๊วร์ด” ต้องฟังเพลง

“Leaving on the Jetplane”



“เพื่อนแย่งแฟน/แย่งแฟนเพื่อน” ต้องฟังเพลง

“That’s what friends are for”



“หลงรักทอม” ต้องฟังเพลง

“She’s the one”



“หลงรักดี้” ต้องฟังเพลง

“Better Man”



“หลงรักเด็ก” ต้องฟังเพลง

“The Greatest Love of all”



“แฟนรวยหักอก” ต้องฟังเพลง

“Can’t smile with out you/ How do I live”



“เมื่อเขาเฉยชา ไม่เคยบอกรักเราเลย” ต้องฟังเพลง

“When you say nothing at all”



“เมื่อเขาบวช (และอาจไม่สึก)” ต้องฟังเพลง

“Tears in Heaven”



“เมื่อเขาทิ้งไปหาสาวอื่นที่สวยกว่า” ต้องฟังเพลง

“Come into my world”


ขอโทษเพื่อนๆด้วย ช่วงนี้เรายุ่งๆ และไม่ค่อยสบาย เลยอาจทำให้ “ขาดช่วง” งานเขียนเรื่อง “กิ๊ก” ไว้จะรีบกลับมาเขียนต่อให้จบนะคะ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

KIK 2


วันนี้เราจะมาพูดถึงคำว่า “เพียงพอ” ในแบบฉบับทอมดี้อย่างเรา อาจมีคนเคยถามว่า “ทำไม? ในทอม ดี้ ส่วนใหญ่ที่มีแฟนอยู่แล้ว แต่ก็ยังคงมองหา “กิ๊ก” เข้ามาสร้างสรรค์ความสนุก ปัญหา และความวุ่นวายในชีวิต อย่างไม่รู้จักเหน็ด และเหนื่อย เป็นเพราะแฟชั่น? เป็นเพราะเพื่อนฝูง? เป็นเพราะสังคม?”

คงไม่มีใครตอบคำถามนี้ เพราะหลายครั้งคนเราก็ไม่มีเหตุผล สำหรับ “พฤติกรรม” ต่างๆ อาจเพราะสังคมสมัยนี้เป็น “สังคมติดจรวด” อะไรต้องเร็ว อะไรต้องเร่ง อะไรต้องรีบ การที่เราจะหาใครมาเป็นแฟนสักคนแค่ “คลิกก็เจอ” โดยทอมดี้ ณ ปัจจุบัน เลือกวิธีง่ายๆ ในการเลือกแฟน พวกเขาชอบความท้าทาย อยากได้อะไรง่าย รวดเร็ว และเสี่ยง ดังนั้น ทอม ดี้ หรือเลส จะคบทั้งแฟนด้วย แถมมีกิ๊กอีกเป็นโขยง จึงถึอว่าเป็นเรื่องปกติแล้วในสังคม

เราได้มีโอกาสคุยกับทอมคนหนึ่งชื่อ “เอ๋” (ทอมที่แสนจะปากหวาน และเอาตัวรอดเก่งมากๆ) เขายืนยันว่า “เขาไม่ได้เจ้าชู้” แค่เป็นคนที่ต้องการ “บุคคลที่ดีที่สุด เข้ามาเติมเต็มในชีวิต” ในเมื่อแฟนคนที่เขาคบอยู่ไม่สามารถเติมเต็มความสุขให้เขาเป็น “คนที่สมบูรณ์” ได้ ดังนั้น เขาก็ต้องหากิ๊ก number 1, number 2, number 3 etc. เข้ามา fulfill ให้เขาเป็น ทอมที่ perfect เนื่องจาก “สเปคพื้นฐาน” ของเขามีหลายอย่าง เช่น ต้องการคนเอาใจ ต้องการคนที่โทรคุยด้วยทั้งวัน ต้องการคนที่มาเจอเขาได้ทุกวัน ต้องการคนที่เรียบร้อย พูดเพราะ ต้องการ sex ฯลฯ

แฟนคนปัจจุบันของเขา เป็นสาวทำงานเก่ง และเป็นแม่บ้าน แม่เรือน คอยดูแลเขาตลอด 24 ชม. แต่ดูเหมือนเธอจะมีคุณสมบัติไม่ครบ เขาจึงจำเป็นต้อง “นอกใจ” และคบกิ๊กเพิ่ม (เขาเชื่อว่า “กิ๊ก” คือ กำไรชีวิต)

ในบรรดากิ๊กทั้ง 4 คนของเขา แต่ละคนมีข้อดีกันคนละอย่าง

คนแรก เป็นเด็กม.ปลาย นิสัยเด็กๆ ขี้อ้อน คุยสนุก เขาชอบคุยกับเธอมาก คุยแล้วสบายใจ จึงได้แต่คุยโทรฯ แต่มาเจอและชีวิตอยู่กับเขาไม่ได้

คนที่ 2 เป็นคนที่เรียบร้อย ฉลาด เข้าใจในตัวเขาที่สุด แต่จืดชืด แต่งตัวเชยๆอ่อนแอ และเจ้าน้ำตา จึงไม่สามารถทำให้เขาหยุดหัวใจไว้ที่เธอได้

คนที่ 3 สุดยอด เป็น โคโยตี้ เดินควงกับใครไม่อาย เอาใจเก่งสุดๆ แต่ดูท่าทาง เขาไม่ใช่ แฟนคนเดียวของเธอ

คนที่ 4 บ้านอยู่ใกล้กัน คนนี้ขาวีนสุดๆ แต่ลีลา sex นี่สุดยอด

คนที่เขาคบแต่ละคน ต่างมีคุณสมบัติที่เขาต้องการ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นคนในสเปคเขาหมด ทำให้เขาต้องมีหลายๆคน เพื่อเติมเต็มให้ความรักของเขาให้สมบูรณ์ ในเมื่อเขา “มีรูปสมบัติ คุณสมบัติ และทรัพย์สมบัติ เพียบพร้อมพอ ที่จะเป็น “ผู้เลือก” ก็เลือกต่อไปนะคะ อย่าไปคว้าเอา ดี้โรคจิตมาแล้วกัน เดี๋ยวจะ “ตกม้าตาย” เสียก่อนที่จะขึ้นสวรรค์”

เราอยากจะฝากบอกไปยังพวกทอมทั้งหลายว่า “การเจ้าชู้ หรือคบหลายคน”ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ถ้าคุณต้องการอิสระแบบนั้นก็ไม่ควรคบกับใครจริงๆจังๆ แค่เพื่อนกันก็พอ รอจนกว่าคุณจะเจอคนที่ใช่ และมั่นใจแล้ว ค่อย “หยุด”

การที่คุณคบหลายคนแบบนี้ บ่งบอกถึงการไม่รู้จักตัวเองของคุณ ไม่ผิดที่คุณคิดว่า “เกิดมาชาติหนึ่งคุณควรจะหาคนที่ใช่ให้กับตัวเอง แต่ผิดว่าในเมื่อคุณยังไม่พร้อม ก็ไม่ควรที่จะไปดึงคนอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย”

ดี้หลายคนอ่านเรื่องนี้แล้ว อาจจะยังไม่ “สะใจ” และอารมณ์ค้างๆคาๆ เราเตรียมเรื่องราว “จุดจบ (ชีวิต)” ของทอมเจ้าชู้ประเภทนี้ไว้แล้ว อดใจรออ่านกันหน่อยนะคะ งานเขียนในวันนี้ เป็นแค่ “ตัวอย่าง” ของทอมคนนึง ที่มักมากไม่รู้จักพอ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน (ใจเย็นๆนะคะเพื่อนๆ เรื่อง “กิ๊ก” ยังมีอีกหลายตอนจบ)

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551

KIK

Introduction of “KIK”

“KIK หมายถึง คนที่ทำให้คุณมีชีวิตชีวา กระชุ่มกระชวย ตื่นเต้น ทำให้คุณคลายเหงา และไม่สามารถเรียกร้องอะไรกับคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการหึงหวง เวลา และตำแหน่งแฟน” เพื่อนหลายๆคนอาจจะเคยสงสัยหรือกำลังสงสัยอยู่ว่า แฟนตัวเองกำลังมี “กิ๊ก” หรือไม่? คำว่า “กิ๊ก” ดูจะแพร่ไปในสังคมอย่างรวดเร็ว พอๆกับ “ไข้หวัดนก” แต่ต่างกันตรงที่ไข้หวัดนก เป็นโรคติดต่อของสัตว์ปีกแล้วแพร่มาสู่มนุษย์ (ปัจจุบันมีวิธีการป้องกันทำให้พวกเราสามารถหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไข้หวัดนกได้แล้ว) แต่ “กิ๊ก” เป็นอารมณ์ประมาณว่า “เบื่อ อยากลองอะไรแปลกใหม่ ไม่พอใจกับความเคยชินประจำวัน อยากหาอะไรตื่นเต้นให้กับชีวิต”

Lesson for the one who have “KIK” (ทอม ดี้ เลส ที่เจ้าชู้ไม่รู้จักพอ

ถ้าใครที่มีกิ๊กแล้วประพฤติตนให้ตื่นตัว มีสติอยู่เสมอ และฉลาดพอที่จะเก็บความลับไว้กับคุณคนเดียว คุณก็จะรอดจากการถูกจับได้และถูกทำร้ายจากของแข็ง ซึ่งจะทำให้คุณได้สนุกกับชีวิตในอีกมุมหนึ่งซึ่งคนอีกประเภทไม่เคยมีวันได้สัมผัส แต่ถ้า “คนที่โกหกไม่เป็น ขี้หลงขี้ลืม ไม่ละเอียดในการทำลายหลักฐาน อยู่ไม่นิ่งพอเวลาถูกซักถาม ขี้กลัวความผิด” ก็บอกได้เลยคำเดียวว่า “อย่าริ มีกิ๊ก” เพราะจะทำให้ตัวท่านเองและกิ๊กเดือดร้อนอย่างรุนแรง จำไว้นะคะ ถ้าคุณ “โกหกไม่เก่ง อย่าได้ริไปมีกิ๊กเพราะภัยจะมาถึงตัวแบบไม่ได้ทันตั้งตัว”

สำหรับคนที่โกหกไม่เก่ง เราก็มีวิธีฝึกการโกหก ก่อนที่คุณจะโกหกคนอื่นได้ คุณต้องโกหกตัวคุณเองให้ได้ก่อนแล้วท่องให้ขึ้นใจว่าการมีกิ๊กเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องผิด ไม่ทำร้ายใครเลย ไหนๆก็เกิดมาแล้ว มีกิ๊กสักคนดีกว่าไปขายหน้าในนรก เมื่อ ยมบาลถามคุณว่า “เคยมีกิ๊กไหม” แล้วคุณต้องตอบว่า “ไม่เคย” (เป็นความอับอายที่สุดในนรกนะ จำไว้)

อย่าไว้ใจ และบอกให้ใครรู้เรื่องกิ๊กของคุณ แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงของคุณเอง และคุณต้องมีสมุดบันทึกแผนงานประจำวันไว้ เพื่อที่จะเขียนว่าวันนี้ไปไหนกับใคร, กินอะไร, ดูหนังเรื่องอะไร, ซื้ออะไรให้ใครและมี sex กับใคร (แนะนำว่าควรเก็บสมุดบันทึกเล่มนี้ไว้ให้ห่างมือบรรดาแฟนๆของคุณ (ถ้าคุณคิดว่าคุณพอทำทั้งหมดที่กล่าวมาข้างบนได้ ก็เดินอ่านสิ่งที่เราจะเขียนต่อไปในวันพรุ่งนี้ ไม่แน่นะคะ คุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่ผ่านการทดสอบ เตรียมตัวคุณให้พร้อมเพื่อรับมือกับ example and exercise พรุ่งนี้ได้เลยคะ

Lesson for the one who want to destroy “KIK” (แฟนตัวจริง ที่บุคคลภายนอก มักจะลงความเห็นว่า คุณเป็น “คนโง่”)

เพื่อนๆ คะ เราเข้าใจความทรมานของเพื่อนๆ เพราะผู้หญิงถือว่าเป็นเพศที่มีความ “Curious” สูงมาก ดังนั้นไม่แปลกที่เราจะมีคำถามอยู่ในหัวเราตลอดว่า แฟนเราจะเปลี่ยนแปลงไปไหม? ยังรักเราอยู่หรือเปล่า? มี “กิ๊ก” ไหม? อยู่กับเราแล้วมีความสุขไหม? อยากจะเป็นคนของเราตลอดไปไหม? (Curious เป็นพลังที่ส่งต่อให้เราต้องสังเกตุ และระแวดระวังแฟนเราเสมอ) หลายครั้งที่เราอาจจะสงสัย และอยากจะเคลียร์ปัญหาในใจเรา ว่าเขามี “กิ๊ก” หรือเปล่า ให้หมดไป

หลายคนเลือกที่จะใช้วิธีที่ผิด แต่เดี๋ยวก่อน ใจเย็นๆนะคะ มีวิธีที่ดีกว่า เพื่อนๆควรจะใช้ความสังเกตุในพฤติกรรมของแฟนคุณและเก็บข้อมูลไว้ก่อน ถ้าเพื่อนๆยังไม่มีหลักฐาน และพยานพอที่จะกล่าวหาได้ว่า แฟนตัวเองไปมีกิ๊ก ควรจะเงียบไว้ก่อน อย่าแหวกข้อมูลให้ทอม ดี้ เลส (ปลาไหลทั้งหลาย) ได้รับรู้ เพราะเขาอาจจะวิวัฒนาการวิธีปฏิบัติใหม่ก็ได้ กว่าคุณจะตามจับยุทธศาสตร์ได้อีกครั้งก็คงอีกนาน ทางที่ดี เงียบๆ และดูสถานการณ์ไว้ก่อน โชคจะเข้าข้างเราเสมอ ขอให้เรามีสติและสังเกตุสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปรอบตัว อย่าใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ เพราะถ้าเขาไม่ได้มี “กิ๊ก” จริงๆ เพื่อนๆอาจจะต้องเสียเขาไป และเสียเวลาในการเริ่มต้นใหม่กับใครอีกคนก็ได้

“ความอดทนย่อมอยู่กับคนที่ฉลาดเสมอ” ดังนั้น คืนนี้เก็บเอาไปนอนคิด และทบทวนว่า “ที่ผ่านมาตัวคุณมีอะไรพลาด และบกพร่องในหน้าที่แฟนหรือเปล่า? อย่าได้คิดว่าแฟนคุณที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะเขามี “กิ๊ก” เขาอาจจะแค่คิดจะคิด แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติก็ได้ ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับ “ตัวผลักดันคือคุณ” เขาเป็นแค่ “ตัวขับเคลื่อน” อย่าให้ความระแวงมาเป็นตัวเร่ง ให้เขาไปมี “กิ๊ก” แต่ถ้าเขามีจริงๆ เราจะเป็นคนสอนคุณเองถึงมาตรการ การลงโทษแฟนเลวๆพวกนี้ตาม level ความไม่รู้จักพอของเขา พรุ่งนี้รีบมาอ่าน example และทำ exercise ไปพร้อมๆกันนะคะ

เรื่องราวในวันนี้เป็นแค่ introduction and lesson ให้สำหรับเพื่อนๆที่มีกิ๊ก (เพื่อหาวิธีหลบเลี่ยง) และเพื่อนๆที่สงสัยว่าแฟนจะมีกิ๊ก (เพื่อหาวิธีรับมือ) ไป practice กันที่บ้านก่อนหนึ่งคืน แล้วพรุ่งนี้เราจะมาต่อกันด้วย example and exercise ให้เพื่อนๆได้ examine ตัวเองก่อนจะ fight in the battle.

Thank you for reading my lecture.

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

ความผูกพัน

“ความผูกพัน” มีอาณุภาพแค่ไหนกันนะ?

บางคนว่า “ความผูกพัน” นั้น เป็นเส้นใยบางๆที่ถักทอหัวใจ และความเป็นตัวตนของกันและกัน “หล่อหลอม” รวมกันเป็นหนึ่งเดียว และมีพลังเกินกว่าที่ “เวลา และความตาย” จะ “พราก” ได้

แต่อีกคนว่า “ความผูกพัน” เป็นเหมือน “สิ่งยึดเหนี่ยว” ที่ “เหนี่ยวรั้ง” คนสองคนเอาไว้ ด้วย “ความเคยชิน” เพราะปราศจากสิ่งนี้ ชีวิตของคนสองคนนั้น อาจพบกับ “อิสระ และเสรีภาพ” ก็เป็นได้

แต่ไม่ว่าจะมองในมุมใดๆก็ตาม “ความรู้สึกผูกพัน” นั้น ก็เป็น “พลังในด้านบวก” ที่ใช้ “ขับเคลื่อน” ลมหายใจ และเป็นพลังชีวิตให้กับผู้ที่กำลังสิ้นหวังได้อย่างดีเยี่ยม

“ฉันเปิดหน้าต่างไป “สูด” กลิ่นไอยามเย็น ขณะที่พระอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า แต่กลับสัมผัสได้ถึง “กลิ่นไอ” บางอย่าง เป็น “พลัง” ที่วิ่งตรงเข้ามากระทบขั้วหัวใจ แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย “ไออุ่น” นั้น “กระตุ้น” ให้ฉันมี “รอยยิ้ม” เกิดขึ้นที่มุมปาก (อย่างฉับพลัน) ฉัน “รับรู้” ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของคุณ ที่อยู่ไม่ไกลไปจากฉัน “คุณกลับมาแล้วหรือคนดี? หัวใจของเราสองดวงได้มาเต้นใกล้ๆกันอีกครั้งแล้วหรือ? (ไหนคุณบอกว่า จะเดินทางกลับมาพรุ่งนี้ไง?)” ฉันไม่รอช้า หยิบโทรศัพท์ส่งข้อความไปหาคุณ “คุณอยู่ที่เมืองไทยแล้วใช่ไหม?” คุณส่งตอบกลับมาว่า “ใช่แล้ว”

เห็นไหมล่ะ? “พลังแห่งความผูกพัน” นั้น ไม่เคยหลับไหล แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานสักแค่ไหน? ไม่ว่าเราจะอยู่ห่างไกลกันแค่ไหน? ไม่ว่าหัวใจของเราทั้งสองนั้นจะเต้นเพื่อกันและกันอยู่หรือเปล่า? แต่ฉันยังคงสัมผัสไออุ่นของคุณได้ อย่างไม่มีวันที่จะลบเลือน (อย่างน้อยค่ำคืนนี้ ฉันก็จะได้นอนหลับสนิท อยู่ในอ้อมกอดแห่งลมหายใจของคุณ)


เพลง ฉันทำเพื่อเธอ - ตอง ภัครมัย โปรตระนันท์

เราไม่เคยรู้ ไม่เคยแสดงถ้อยคำ

แจ่มชัดเพียงการกระทำจากในใจ

และไม่เคยพูดจา ไม่มีคำอธิบาย

ส่วนลึกลงไปที่ใจมีให้กัน

เราไม่อาจรู้ ทำไมเมื่อใครร้าวราน

ก็ร้าวสะเทือนแทนกันได้มากมาย

เมื่อคนนึงร้อนรน ต้องมีคนหนึ่งร้อนใจ

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดไม่รู้ตัว

* ทุ่มเทเอาชีวิตเข้าเสี่ยง ไม่อาจทนให้เธอเจ็บ

เหมือนสองคน หนึ่งหัวใจไม่อาจแยกกัน

เจ็บปวดแทนได้ทุกอย่าง

ใช้หัวใจเป็นเกราะป้องกัน

ก็ยอมทั้งนั้นเมื่อฉันทำเพื่อเธอ

(จะอยู่ยังไง หากฉันต้องเสียเธอ)

เราต่างคงรู้ ว่าคำหมื่นพันถ้อยคำ

ไม่ชัดเท่าการกระทำอย่างที่เห็น

สิ่งที่เรารู้ดี มีเพียงใจที่ชัดเจน

ไม่รักก็คงไม่เป็นเช่นนี้เลย

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

คำปรีชาญาณของคุณแม่เทเรซา

คำปรีชาญาณของคุณแม่เทเรซา


คุณแม่เทเรซา ได้จารึกคำเหล่านี้บนกำแพงในบ้านเด็กกำพร้า ณ กรุงคัลกัตตา ประเทศอินเดีย


คนชอบทำอะไรไม่ค่อยมีเหตุผล ไม่คิดก่อนทำ หรือนึกถึงแต่ประโยชน์ของตนเอง อย่างไรก็ตาม จงให้อภัยแก่เขาทั้งหลาย


ถ้าท่านเป็นคนใจดี คนอาจคิดว่าท่านเป็นคนเห็นแก่ตัว หวังผลตอบแทน อย่างไรก็ตาม จงเป็นคนดีต่อไป


ถ้าท่านประสบความสำเร็จ ท่านจะได้ทั้งเพื่อนแท้และเพื่อนเทียม อย่างไรก็ตาม จงประสบความสำเร็จต่อไป


ถ้าท่านเป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย คนอาจโกงท่านได้ อย่างไรก็ตาม จงเป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผยต่อไป


สิ่งที่ท่านใช้เวลาเป็นปีๆในการสร้าง คนอาจทำลายชั่วคืนเดียว อย่างไรก็ตาม จงสร้างต่อไป


ถ้าท่านพบความสงบสุขในจิตใจ คนอาจอิจฉาท่าน อย่างไรก็ตาม จงมีความสงบสุขในจิตใจต่อไป


ความดีที่ท่านทำวันนี้ คนอาจลืมวันพรุ่งนี้ อย่างไรก็ตาม จงทำดีต่อไป


จงให้แก่โลกสิ่งดีที่สุดที่ท่านมี สิ่งนั้นอาจจะไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม จงให้แก่โลกสิ่งดีที่สุดที่ท่านมีต่อไป


ในวาระสุดท้าย จะไม่เหลือท่านและคน แต่จะเหลือท่านและพระเป็นเจ้าเท่านั้น



"เราไม่อาจทำการใหญ่โตมโหฬารแต่เราสามารถทำสิ่งเล็กๆน้อยๆ ด้วยความรักอันใหญ่โตมโหฬาร" -- คุณแม่เทเรซา


ตามความเห็นของเรา เราคิดว่า "คุณแม่เทเรซา ต้องการให้ เราทุกคน เป็นอย่างที่เราเป็น ทำในสิ่งที่เราคิดว่า ดีที่สุดแล้ว สำหรับเรา อย่าไปหวั่นไหวกับกระแสรอบข้าง หรือมาตรฐานของสังคม จงก้าวเดินต่อไป ถึงแม้ว่า สุดท้ายจะเหลือเพียงเราคนเดียวในโลกที่สวนกระแส และเป็นแกะดำของสังคม เพราะแม้ไม่มีใครอยู่ข้างเรา พระเป็นเจ้าทรงเข้าใจ และอยู่เคียงข้างเราเสมอ"


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันเสาร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2551

การรอคอย

ถ้าพูดถึง “การรอคอย” คงไม่มีใครอยากจะทำ ยิ่งในสังคม และสภาพแวดล้อมที่ “ด่วนมา ด่วนไป” ด้วยแล้ว การที่คนๆหนึ่งจะหยุดกิจกรรมทุกอย่าง เพื่อที่จะ Focus กับคนอีกคนนึงนั้น หาได้ยากมากๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “ไม่มี”

ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย ถ้าคุณเป็นคนใจร้อน ด่วนได้ คุณคงไม่มีวันรอใครได้เกินหนึ่งชั่วโมงหรอก แต่สำหรับเธอคนนี้ เธอรอคนที่เธอรักได้ถึง 10 ปีเต็ม เธอคอยมองเขาอยู่ห่างๆ ผ่านรั้วที่ขวางกั้นเท่านั้น

ความผูกพันในวัยเด็กของ “เอ๋” ทอมอยู่บ้านเลขที่ 13 กับ “จิ๊บ” ดี้อยู่บ้านเลขที่ 14 ในซอยเดียวกัน เธอและเขารู้จักกันตั้งแต่เรียนอนุบาล ทุกๆเช้าเธอและเขา ก็ต้องขึ้นรถโรงเรียนคันเดียวกัน เรียนห้องเดียวกัน นั่งติดกัน ทั้งคู่สนิทกันจนถึง ม. 3 และแล้วเธอก็รวบรวมความกล้าบอกรักเขา หลังจากวันนั้น เขาและเธอก็คบหากันเป็นแฟนจนจบม.6 ทั้งคู่เลือกที่จะเข้ามหาวิทยาลัยคนละแห่งกัน บน “ทางแยกของชีวิต” นี้เอง ที่ทำให้ความผูกพันต้องแยกจาก เขาเริ่มไปติดสาวๆในมหาลัย ความรักเริ่มเปลี่ยนแปลงไป จืดจางไป สุดท้าย เขาก็บอกเลิกกับเธอ ด้วยความที่บ้านเธอและเขาอยู่ติดกัน เธอจึงได้รับรู้เหตุการณ์ต่างๆของเขา ไม่ว่าจะเป็นวันไหนที่เขาพาสาวเข้ามามี Sex ด้วย วันไหนที่เขาคุยโทรศัพท์และทะเลาะกับคนที่อยู่ปลายสาย เธอได้มองเห็นทั้งน้ำตา และรอยยิ้มของเขา ผ่านทางหน้าต่าง

บางทีเธอก็หงุดหงิดใจในความอ่อนแอของตัวเองว่า ทำไม? ไม่โทรไปหาเขา ไม่ส่ง SMS ไปหาเขา บอกความรู้สึกของเธอ ว่าจริงๆแล้ว เธอรักและแคร์เขามากแค่ไหน แต่สิ่งเดียวและคติเดียว ที่เธอคิดอยู่ในหัวก็คือ “ถ้าเขาเป็นของเรา เขาจะกลับมาเอง” (คติประเทศไหน?เนี่ย สังคมตอนนี้ ใครดี ใครเก่ง ใครแย่งได้ ก็จะได้นะจ๊ะ จะมารอประเภท ทอมคิดได้ ไม่มีหรอก ดี้อย่างเราต้องเป็นฝ่ายบุกบ้าง) แต่เธอก็เลือกที่จะรอคอย รอคอยเสียงโทรศัพท์จากเขา รอคอย SMS ของเขา รอคอยการได้เห็นรอยยิ้มของเขาอีกครั้ง เผื่อว่าเขาจะคิดได้แล้วเดินกลับมาหาเธอ ช่างเป็นกิจวัตรที่ทรมานมาก และการทรมานนี้ก็ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว เธอก็ยอมรับและรับรู้นะ ว่าเรื่องระหว่างเธอและเขา ได้จบลงกันไปแล้ว แต่ด้วยความหวัง (ความหวังทำให้คนบางคน มีชีวิตอยู่ได้) เธอยืนยันกับเราว่า “เธอจะมองดูเขาอย่างห่วงใยแบบนี้ต่อไป ไม่ว่าเขาจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม”

เรารับรู้เรื่องราวนี้ เราก็รู้สึกประทับใจ และสงสารเธอผู้นี้มากเลย แต่ไม่ว่า ความคิดเห็นของเราเกี่ยวกับเรื่องเธอนั้นจะเป็นอย่างไร เราก็ไม่สามารถที่จะไปชักจูงหรือโน้มน้าวเธอได้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามแต่ใจเธอต้องการ

สำหรับใครที่กำลังรอใครบางคน แบบเธอคนนี้ “การรอคอยด้วยความรักเป็นสิ่งที่ดี” แต่คุณอย่าลืมนะคะ เวลาของชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก ถ้าคุณมัวแต่ย่ำเท้าอยู่กับที่ ปล่อยใจไว้กับใครแค่คนเดียว แล้วคุณจะได้เรียนรู้ความรักในมุมมองใหม่ได้ยังไง?

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

เพลง เหตุผลที่ทนเหงา - แอม ฟายน์ Am fine

มีคนมาถามชั้นบ่อย
ว่าทำไมชอบไปไหนคนเดียว
ทนเหงา มานานได้ยังไง
ใครเข้ามา ก้อไม่เคยว่าจะ สนใจ
ไม่มีใครรู้เหตุผลจิงๆ
ชั้นรู้ว่าชั้นรอเทอ
กลับมาเจอตามคำสัญญากัน
เพราะรัก ต้องเชื่อใจกันไว้
แต่ละวัน อยู่กับเงาเหงาจับหัวใจ
ขมใจไว้ ทั้งที่มันยากเหลือเกิน
* นอนก้อยังข่มตาไม่ลง
คิดมากทุกที
ว่าเทอยังดีอย่างเดิมมั๊ย
ยิ่งไกลห่างชั้นก้อยังห่วง
บอกเลยว่าหวงเทอเหลือเกิน
แต่ชั้น ขอวัดมันด้วยหัวใจ
ทนคำว่ารักไว้ทุกวัน
เหตุผลที่ชั้นต้องยอมทนเหงาใจ
ก้อคือเทอ เพราะรักเทอคือเหตุผล
รูปคู่เราก็วางอยู่

ยิ่งมาดูยิ่งซึมเข้าไปใหญ่
อ้างว้าง เดียวดายแต่ยังหวัง
วันนึงเทอ จะกลับมาแล้วบอกรักกัน
อีกไม่นาน ความเหงาจะจางหายไป
( ซ้ำ * ) ( ซ้ำ * )
ที่ทนเหงา ก้อเพราะเทอคือเหตุผล

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

ทอม 2000

ถ้าหากเพื่อนคนไหน เป็น “คนช่างสังเกตุ” อาจจะเคยมีคำถามในใจว่า“ทำไม? ไม่ว่าจะไปใน สถานที่ไหน? ก็มักจะเจอ ประชากรทอม ซ่อนอยู่ในทุกซอย และสี่แยกต่างๆ”

ก็ต้องยอมรับนะคะว่า “ประชากรทอมในประเทศไทยนั้น เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมิได้นัดหมาย” (แล้วการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ มีผลต่อ “คุณภาพ” ของพวกเขา หรือเปล่านะ?) เอ๊ะ แล้วจะเกิด “ภาวะทอมล้นตลาด (ทอมเฟ้อ)” บ้างไหมนะ?



มีทอมหลายๆคนพยายามที่จะ “ป่าวประกาศ” ว่า ตัวเองเป็น “ทอม born to be” เกิดมาเพื่อเป็น “ผู้ให้” อย่างแท้จริง

แต่ “ดี้” และ “บุคคล” ทั่วไป จะรู้ได้อย่างไรว่า? คนไหนเป็น “ทอมแท้ หรือ ทอมเทียม” (เป็นคำถามที่ยากจะหาคำตอบได้ ก็คงจะต้องลองเสี่ยงกันดู)




บางคน “ตัดสินใจ” มาเป็น “ทอม” แค่เพราะมีความรู้สึกชอบ หรือรู้สึกมีอารมณ์เมื่อได้เห็น “สรีระ” ของผู้หญิง

แต่นั่น จะเป็น “ตัวบ่งบอก” ได้เลยหรือว่า “คุณเกิดมาเพื่อเป็นทอม” (บางทีคุณอาจชอบมอง และรู้สึกลึกๆว่า อยากจะมีสรีระเช่นผู้หญิงพวกนั้น)

แยกให้ออกนะคะว่า “คุณต้องการที่จะมีสรีระแบบนั้น หรือ ต้องการที่จะครอบครองสรีระนั้นกันแน่” (ตอบตัวเองให้ได้นะคะ อย่ามาเป็นทอมเพราะความสับสนกับปัญหาแค่นี้)





เดี๋ยวนี้การที่ผู้หญิงธรรมดาคนนึง จะเปลี่ยนตัวเองเป็น “ทอม” (แบบฉับพลัน) นั้น ใช้ “งบประมาณ” เท่าไหร่?

จากการคำนวณคร่าวๆ (โดยเราเอง) ก็มีค่าตัดผม, ค่าเจลจัดแต่งทรงผม, ผ้ารัดหน้าอก, รองเท้าหนัง ฯลฯ สรุปได้ว่า ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น สำหรับบุคคลทั่วไปต้องใช้ในการเปลี่ยนเป็นทอม อยู่ราวๆ ไม่เกิน 2000 บาท (ทอมไม่ถึง 2000)



แล้วเมื่อเป็นทอม จะมีอภิสิทธิ์ในสังคมมากกว่า ผู้หญิง ผู้ชายปกติหรือ?

ก็เปล่า ตรงกันข้าม ต้องดูแลตัวเองขึ้นเป็น 2 เท่า เพราะถ้าจะเป็นทอมทั้งที แล้วดูโดยรวมแล้ว “ด้อย” กว่าผู้ชาย ก็คงดูแย่มาก ว่าไหมคะ?

ดังนั้น ก่อนออกจากบ้านในแต่ละครั้ง จึงเป็นจำเป็นมากที่ทอมแต่ละคนต้อง พิถีพิถันในเรื่อง เสื้อผ้า หน้าผม ต้องแบ่งแยกตัวเองให้ “เด่นชัด” เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็น “ทอมครึ่งบกครึ่งน้ำ” ยุ่งเลย




ถ้า “ตัดสินใจ” ที่จะเป็นทอมแล้ว ก็ต้องทำใจให้เข้มแข็ง เพราะชีวิตของทอมนั้น ต้องอดทนกับอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น “กระแสสังคม, สายตาของคนรอบข้าง, เสื้อผ้าที่ดูจะหา match กับรูปร่างและส่วนสูงของคุณยากไปสักนิด (มาตรฐานทอมไทยเป็นเช่นไร ก็พอรู้ใช่ไหม “ทอมหลักกิโลเมตร” ดีๆนี่เอง), รายจ่ายที่ต้องเสียออกไป โดยไม่ได้เสริมสร้างประโยชน์อะไรกับตัวคุณเลย (เกิดมาเพื่อ pay for dy) และ “จุดสุดยอดแห่งความอดทน” ก็คือ ต้องอดทนกับนิสัยของ “ผู้ดี้” ซึ่งก็ “ปรวนแปร” ตาม “กระแสของอารมณ์” คาดเดาได้ยาก วันนี้อาจจะต้องการใช้ “แตงกวา” อีกชั่วโมงอาจเปลี่ยนใจไปเรียกหา “มะเขือยาว” แต่ก็มาลงเอยที่ “บวบ” ก็อาจเป็นได้




ไดอารี่วันนี้เป็น ไดอารี่เพื่อคุณทอมโดยเฉพาะ เราหวังว่า เมื่ออ่านไดอารี่นี้จบ คุณจะมีคำถามนึงผุดขึ้นในสมองคุณว่า “คุณมีแรงบันดาลใจ หรือ ลมมรสุมใด พัดพาให้คุณมาเป็นทอม?” หวังว่าพวกคุณ คงจะมีเหตุผลที่เหมาะสม สำหรับการเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิตเพื่อมาเป็น “ทอม” นะคะ




ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน



หวงก้าง

อาการ “หวงก้าง เสียดายคนรักเก่า” เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับหลายๆคน (คนที่มีอาการแบบนี้ ส่วนใหญ่ “ไม่รู้จักใจตัวเอง” ปฏิเสธความต้องการส่วนลึกของตัวเอง รู้สึกแค่อยากจะ “เอาชนะ”) หลายต่อหลายคู่ เมื่อเลิกรากันไปแล้ว ปัญหาเรื่องแฟนเก่า หรือความผูกพันเก่าๆ มักจะตามหลอกหลอนแฟนคนปัจจุบันเสมอ สร้างความปวดหัว และจิตตกให้กับหลายๆคน จนทำให้พวกเขามีความคิดที่จะคบคนที่ “ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีอดีตดีกว่า” อาจง่ายกว่าเยอะ (สมัยนี้จะหาคนที่ “ไม่เคยมีแฟน” ต้องไปเริ่มคบกับเด็กประถม เพราะสมัยนี้ มัธยมก็เซียนกันแล้ว)

“ต้อ” ดี้ 21 เป็นแฟนกับ “จอย” ทอม 24 คู่นี้เป็นคู่ที่น่าอิจฉา ทั้ง 2 สวีตหวานกันซะจนคนรอบข้างไม่คิดว่าเขาทั้งคู่จะเลิกกัน ย้อนกลับไปเมื่อทั้งคู่คบ และเช่าห้องอยู่ด้วยกัน เขาทำงาน bank ส่วนเธอก็ทำงานโรงหนัง และเรียนภาคค่ำไปด้วย เวลาของทั้งคู่จึงไม่ค่อยตรงกันนะ “ความรัก” ที่เคย “สื่อสารกันเข้าใจ”กลายเป็น “ความไม่เข้าใจ” ปัญหาเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมา สุดท้ายคน 2 คน ก็ไม่สามารถที่จะ handle ความสัมพันธ์ได้ จึง “จบ” ด้วยอายุความสัมพันธ์แค่ปีครึ่ง

การเลิกราของทั้งคู่ ไม่ใช่ “จุดจบของปัญหาและความไม่เข้าใจ” แต่กลับกลายเป็น “จุดเริ่มต้น” หลังจากเลิกกับเธอไม่นาน เขาก็ได้พบรักและใหม่ เขากำลังมีอนาคตที่ดี (เขาและเธอยังคงคุยโทรศัพท์แบบเพื่อนกัน) จากปกติที่เธอไม่เคยมีอารมณ์เสียใจจากการเลิกรากับเขา แต่เมื่อเธอรับรู้ว่าเขามีคนใหม่และดูแลเขาได้ดี (กว่าเธอในอดีต) เธอก็เริ่มมีอารมณ์เศร้า เครียด น้อยใจ เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอคิดว่า “เธออาจจะยังรักเขาอยู่” (แต่ความเป็นจริงแล้ว เธอแค่อยากเอาชนะ ยอมให้เขามีคนดูแลที่ดีกว่าไปก่อนไม่ได้ อารมณ์นี้เรียกว่า “อารมณ์หวงก้าง”) อารมณ์หวงก้างนี้ ทำให้เธอได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เขาคืนมา ไม่ว่าจะเป็นการโทรไปราวีแฟนใหม่เขา เรียกร้องความสนใจจากเขาด้วยวิธีต่างๆนาๆ หลอกตัวเองและตัวเขาว่า “เธออยู่ไม่ได้โดยขาดเขา” อารมณ์และ ความรู้สึกเหล่านี้ กัดกร่อน และทำร้ายตัวเธอ

สุดท้ายเธอก็ทำร้ายตัวเอง เพื่อให้ได้เขาคืนกลับมา วิธีที่เธอเลือกก็ไม่พ้น “กินยาฆ่าตัวตาย” (แต่ไม่ตาย เพราะเขานำเธอส่ง รพ. ได้ทันเวลา) สุดท้ายเขาก็ต้องยอมเลิกกับแฟนใหม่ กลับมาคบกับเธอต่อ (ด้วยความสงสาร และจำใจรับผิดชอบ) พอเธอได้เขากลับมา เธอก็ไม่สนใจ หมางเมิน ห่างเหิน จนเขาเริ่มเกิดอาการ “งงงวย” ว่า ตอนที่เขามีคนอื่น เธอจะดูรักเขามาก แต่พอเขาไม่มีใครกลับมาหาเธอ เธอก็เฉยๆปกติ เหตุเกิดจากอะไรกันแน่?

สรุป เธอ “รักเขา” หรือ “แค่เสียดาย” (เขาก็ยังหาคำตอบนี้ไม่ได้) ทุกวันนี้เขาก็ยังต้องดูแลคนจิตไม่ปกติอย่างเช่นเธออยู่ เขาไม่สามารถมีอิสระ ที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครได้อีก เพราะถ้าเขาเริ่มคิดจะมีความรัก ความไม่ปกติของจิตใจเธอจะเกิดขึ้นมาอีก (นี่แหละนะ วันนั้นถ้าเขาไม่นำเธอส่ง รพ. ปล่อยให้เธอฆ่าตัวตายไปซะ เขาอาจไม่ต้องทนทุกข์แบบนี้ก็ได้ ว่าไหม?)

เรื่องนี้ อาจเป็นเรื่องที่ดูเข้าใจเรื่องราวง่ายๆ แต่การที่จะพวกเราจะเข้าใจความรู้สึกลึกของเขานั้น ยากมากๆ เรียกได้ว่า “ใครไม่เจอะกับตัวเอง ไม่รู้และไม่เข้าใจแน่” ทางที่ดี อย่าได้เจอะกับตัวเองดีกว่า เราขอเตือน

ข้อคิดวันนี้ “ก่อนคบใคร รบกวนใช้คำถามเชิงจิตวิทยา เช็คสุขภาพจิตของเขาหรือเธอให้ดีเสียก่อน ถ้าเห็นท่าไม่ดี ไม่แน่ใจว่า จิตผิดปกติหรือเปล่า ก็อย่าเพิ่งตกลงใจคบ แต่ถ้า “ตัดสินใจผิดมหันต์” คบไปแล้ว เขาหรือเธอจิตมา คุณก็จิตกลับไปเลย” (ตาต่อตา ฟันต่อกราม) ชีวิตคู่ก็จะมีสีสัน (บันเทิง) ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต

วันนี้เราไปดูหนังเรื่อง “บ้านผีปอบ 2008” มา จ่ายค่าตั๋วหนังไป 160 เนื้อเรื่อง และการดำเนินเรื่อง (ได้คืนมา 40) มุขตลก และรอยยิ้ม (ได้คืนมา 200) บทสรุป ถ้าไม่คิดอะไรมาก หนังเรื่องนี้ ก็ทำให้มีรอยยิ้มได้เหมือนกัน (ถึงแม้เกือบจะทุกมุขในเรื่องนี้ เคยถูกใช้แล้วเมื่อ 18 ปีก่อนก็ตาม) หลังจากดูหนังเสร็จ เราก็ได้ไปทาน ข้าวหน้าแกงกะหรี่ ที่ร้าน CoCoICHIBANYA Curry House ขอบอกว่าอร่อยมาก โดยเฉพาะสลัด ถ้าเพื่อนๆมีเวลาว่าง ลองไปทานกันดูนะคะ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

"อารมณ์"

“ผู้หญิง” เป็นเพศที่มี “อารมณ์ปรวนแปร” ได้บ่อย อารมณ์ไม่แน่นอน ขึ้นและลง (ตามภาวะค่าเงินบาท) อาจมีผลต่อ “การส่งออก” (สื่อสารกับคนรอบข้าง คำพูดจาอาจไม่ค่อยสุภาพ ท่าทางประกอบอาจดูไม่ดี ขึ้นอยู่กับอารมณ์ ณ ตอนนั้น) และ “การนำเข้า” (รับเรื่องราวรอบข้างเข้ามา แล้วตีความโดยใช้อารมณ์ส่วนตัว) จะเห็นได้ชัดจาก “ดี้” หลายๆคน ที่อารมณ์มักไม่คงที่ บางครั้งก็หวาน (จนเลี่ยน) บางครั้งก็จืด (จนน่าเบื่อ) บางครั้งก็ขม (จนน่ากลัว) บางครั้งก็รุนแรง (จนน่าเดินหนี) แต่ภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นนี้ มีปัจจัยอยู่ไม่กี่อย่างหรอกคะ อาจมีสาเหตุมาจาก พวกเธอเรียกร้องความสนใจ อยากได้ หรือมีความต้องการมากเกินไป จึงอาจทำให้ “ทอม” ที่มีนิสัยแมนๆ กล้าได้กล้าเสีย เกิดภาวะ “ไม่เข้าใจอารมณ์ดี้ได้ (ในฐานะที่เป็น “ดี้” เช่นกัน เราขอแนะนำให้พวกคุณเปิดใจสักนิด มองและพยายามเข้าใจพวกเธอ ถึงแม้ว่าบางทีอาจจะดูไม่มีเหตุผล งี่เง่า เป็นเด็กไม่รู้จักโตก็ตาม ก็เพราะ “รัก และฝากความหวัง” ไว้กับทอมแบบพวกคุณมากเกินไป อารมณ์แบบนี้จึงบังเกิดขึ้น)

“พี” ทอม รุ่นใหญ่ เกิดปิ๊งกับ “แอน” ดี้ รุ่นเล็ก ทั้งคู่คบกันมาได้ปีกว่าแล้ว แต่ไม่ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหน เขาก็ไม่เคยที่จะเข้าใจในพฤติกรรมของเธอ หลายครั้งที่เธอ ทำให้เขาปวดหัวยิ่งนัก ด้วยความที่เธอเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่จะแสดงออกด้วย “สายตา ท่าทาง” ซะเป็นส่วนใหญ่ (ซึ่งการแสดงออกของเธอนั้น ก็ยากเกินกว่าที่ทอมธรรมดาเช่นเขา จะตีความได้) ครั้งล่าสุดที่ทั้งคู่ทะเลาะกัน สืบเนื่องจากที่เขาเป็นคนไม่ค่อยสังเกตุ ส่วนเธอเป็นคนไม่พูด เรื่องราวเกิดขึ้นตั้งแต่คืนวันพุธ เธอเฝ้าถามเขาตลอดคืนว่า “พรุ่งนี้เลิกงานแล้วไปไหนไหม?” เขาคิดว่า เธอต้องการให้เขารีบกลับบ้าน เขาตอบแบบเอาใจเธอว่า “ไม่ไปไหนเด็ดขาด จะรีบกลับมาบ้าน” เธอหันหลังให้เขา เขาสะกิดเธอแล้วถามว่า “เป็นอะไร” เธอตอบว่า “ไม่เป็นไรคะ” สักพักเธอหันหน้ามา ถามเขาอีกว่า “ช่วงนี้เป็นอะไรไม่รู้ ไม่อยากดูละครที่บ้านเลย จอทีวีเล็ก ดูแล้วไม่สบายตา” เขาหันไปตอบเธอว่า “ไว้เงินเดือนออกก่อนนะ จะเปลี่ยนทีวีให้เป็นจอ 29 นิ้ว (ปัจจุบัน 21 นิ้ว)” เธอสวนกลับมาว่า “ช่วงนี้เพื่อนที่ทำงาน เขามี Trend แบบว่า ใครไปดูหนังที่เพิ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ก่อน ดูแน่ ดูเจ๋ง” เขาตอบว่า “Trend อะไรบ้าบอ เอาเวลาทำงานไปนั่งจับเข่าคุยเรื่องไร้สาระ ไม่ไหวเลย ดีนะที่คุณไม่เป็นแบบพวกนั้น ไม่งั้นผมคงรู้สึกแย่แน่” เธอหันหลังกลับไปหลับ

เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะทานกาแฟตอนเช้าก่อนไปทำงาน เธอเปิดหนังสือพิมพ์กางไว้ที่หน้าโฆษณาภาพยนตร์ เขาเดินออกมาเห็น ก็ดุเธอว่า “อ่านหนังสือพิมพ์แล้วเก็บด้วยสิ เกะกะจัง” เธอไม่พูดอะไร นั่งนิ่งตลอดทางที่เขาขับรถมาส่งเธอ และวันนี้ทั้งวัน เธอนั่งน้ำตาไหล เฝ้าคิดทบทวนว่า ทำไม? เขาไม่รู้ใจเธอบ้าง ว่าเธอต้องการไปดูหนัง เธอจึงไม่โทรหา และไม่รับโทรศัพท์เขาตลอดวัน ตกเย็นเธอก็ไม่พูดจา ไม่ยิ้มร่าเริง เขาถามเธอว่า “เป็นอะไร” เธอไม่ตอบ เธอเงียบไม่พูดจา ความเงียบของเธอ ทำให้เขาประสาทอยู่หลายวัน โดยที่เขาไม่รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้เธอนิ่งแบบนี้

หลายวันผ่านไป เขาเริ่มรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น จนสุดท้ายเขาทนไม่ไหว เรียกเธอมาคุย ถามไถ่ว่า “เป็นอะไร” เธอร้องไห้ไปตอบไปว่า “เขาไม่สนใจเธอเลย สิ่งที่เธอต้องการ วันนั้นเธอก็แค่อยากให้เขาพาเธอไปดูหนัง โดยที่เธอไม่ต้องเรียกร้อง บอกกล่าว อยากให้เขาพาไปแบบเต็มใจ แต่เขาไม่สังเกตุเห็นความต้องการของเธอเลย ไม่ว่าเธอจะบอกใบ้มากแค่ไหน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอต้องการจะบอกอะไร” เขาตอบว่า “ทำไมคุณไม่บอกสิ่งที่คุณต้องการล่ะ” เธอย้อนกลับไปว่า “จำเป็นด้วยหรือ? ที่จะต้องพูดทุกอย่าง คนเราคบกัน เป็นแฟนกัน ก็ควรที่จะต้องสังเกตุพฤติกรรมกันและกันสิ ดีนะที่ฉันเป็นคนไม่เจ้าชู้ ไม่งั้นคงไปหาคนที่ทอมคนอื่นที่เขาเติมเต็มให้ฉันได้ได้ ฉันจะไม่ทนอยู่กับทอมหยาบๆอย่างคุณหรอก”

เรื่องราวนี้ได้เป็นเรื่องใหญ่โตขึ้นมา ด้วยอารมณ์และความไม่เข้าใจ ทำให้เขาทั้งคู่ตัดสินใจ “เลิก” ขาดจากกัน (เขาโมโหที่เธอไม่บอกกล่าว และกระทำพฤติกรรมงี่เง่าเช่นนี้ ส่วนเธอ ก็น้อยใจที่เขาไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เธอต้องการ)

จากเรื่องราวเล็กๆได้กลายเป็นเรื่องใหญ่โต จนเป็นสาเหตุให้คนสองคนเลิกกัน (นี่หรือ? ความรัก) เพื่อนๆหลายคนอาจเคยเจอเหตุผลที่เล็กนิดเดียว แต่ส่งผลทำให้ชีวิตคู่ต้องพังทลายลง จริงๆแล้ว ไม่ใช่ตัว “เหตุผล” หรอก ที่ทำให้คนสองคนเลิกกัน เป็นเพราะ “อารมณ์” ของพวกเขามากกว่า ถ้าพวกเขารู้จักระงับอารมณ์ และโทสะตอนนั้นได้ “จุดจบของความรัก” ก็คงจะไม่มีวันเกิดขึ้นแน่นอน

สำหรับ “ทอม” หลายครั้งชีวิตคู่ อาจจะมีบ้างที่เกิด “ภาวะการไม่เข้าใจ” คุณต้องทนกับดี้ที่งี่เง่า แสนงอน เอาแต่ใจ ไม่พูดในสิ่งที่ตนเองต้องการ แต่เราก็อยากจะให้เข้าใจ “ดี้” หน่อยว่า “ส่วนใหญ่ดี้ทั้งหลาย ปากกับใจไม่ค่อยตรงกันหรอก”

สำหรับ “ดี้” หลายครั้งที่ “อารมณ์ความต้องการ” อยู่เหนือ “เหตุผล” จึงทำให้คุณอาจใช้ “อารมณ์” มาเป็นตัวตัดสิน “ความรัก” เรียก “สติ” ตัวเองกลับมาซะ ก่อนที่จะสาย แล้วเสีย “ทอม” ไป (ท่องไว้นะคะ!~ ท. ทอมนั้นหายาก จงใช้อย่าประหยัด)

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2551

ทอมเวลาราชการ

ก่อนอ่านเรื่องราวในวันนี้ ขอทำความเข้าใจกับความหมายของ

“ทอม (เวลา) ราชการ” กันก่อน (กรุณาตีความและเข้าใจให้ตรงกันด้วยนะคะ เพื่อประโยชน์สูงสุดในการอ่านไดอารี่หน้านี้) หมายถึง ทอมที่นอกใจแฟน หรือคุยกับดี้ (คนอื่น) ได้แค่ในเวลาทำงาน หรือเวลาราชการ (จ.-ศ. 8.30-17.30) เพียงเท่านั้น

ดี้หลายคนอาจจะเคยเจอ ทอมจำพวกนี้ คือจริงๆแล้ว มี “เมีย” (อาจจะแก่ หรือเด็ก) ซ่อนอยู่ที่บ้านแล้ว ถ้าจะคุยกับ “สาวอื่น” ขณะที่ “เมีย” อยู่ด้วย ก็อาจจะเจอ “พระบาทา” เมียได้ ดังนั้น จึงสามารถออกมา “เริงร่า” หา “กิ๊ก” ได้เฉพาะเวลาราชการเท่านั้น (เรียกได้ว่า “ปั่นงานไป และปั่นหัวกิ๊ก” ไปได้ในเวลาเดียวกัน)

“จิ” ทอมผู้มีพันธะ (หรือเมีย) แล้ว ทำงานเป็นฝ่ายประสานงาน ของบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเมียนั้น ไม่ค่อยจะราบรื่นเท่าไหร่ เนื่องจากเมียเขาเป็นคนดุ จู้จี้ ขี้บ่น ที่สำคัญ หึง ได้ทุกเรื่อง เขาออกจะกลัวๆ และเอือมระอาเมียยิ่งนัก แต่เขาก็ต้องขอบคุณ “ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี” ที่นำพา “internet” โคจรเข้ามาให้เขาได้มีที่ “ระบาย” ความเหงา เขาเป็นคนนึงที่ติด MSN เป็นชีวิตและลมหายใจ สิ่งแรกเมื่อเขามาถึงที่ทำงาน คือ เปิดคอมและออนไลน์ บุพเพอาละวาด ทำให้เขาได้ไปเจอกับ “เมย์” สาวอบอุ่น เธอช่างเป็นสาวที่น่ารัก เข้าอกเข้าใจเขาไปซะทุกเรื่อง (ผิดกับเมียแก่ที่บ้าน ที่ดูเหมือนฐานะความเป็น “เมีย” จะมาพร้อมกับ “ประโยคคำถาม???” ไปซะทุกเรื่อง) เขาเริ่มต้นความสัมพันธ์กับเธอเล็กๆ ในรูปแบบของ “ตัวอักษร” (หน้าจอ msn) และก็ค่อยๆพัฒนามาเป็นรูปแบบ “เสียง” (คุยโทรศัพท์) แต่เวลาที่เขาสามารถมีให้เธอนั้น ก็ได้แค่เพียง “เวลาราชการ หรือเวลาทำงาน” เขาเท่านั้น เขาออกกฏให้เธอทำตามอย่างเคร่งครัด ถ้าจะถามว่า “เธอสงสัยในตัวเขาไหม?” เธอก็สงสัยนิดหน่อย แต่ด้วยความช่างพูด และช่างเอาใจของเขา ทำให้เธอเข้าใจ และยอมรับที่จะคบเขา ได้พูดคุยกับเขา “เฉพาะเวลาราชการ” เท่านั้น แต่ความจริงก็ไม่มีในโลก เมื่อเขาเกิดไม่สบายใน “วันและเวลาราชการ” ขึ้นมา เธอก็โทรหาเขาปกติ แต่เสียงปลายสายนั้น ไม่ใช่เสียงเขา แต่เป็นเสียง “เมีย” ที่รักและเคารพของเขา และแล้ว “สงครามน้ำลาย” ระหว่าง ดี้ 2 นาง ก็เกิดขึ้น แต่ผลของสงครามนี้ดันไปตกกับเขา (ทอมมักมาก เจ้าชู้) เพราะดี้ 2 นางนั้น ทั้งคู่ตัดสินใจทิ้งเขาไป สุดท้าย คนเจ้าชู้ และมักมาก ก็ต้องอยู่คนเดียว

ฝากไว้นะคะ สำหรับคุณทอม ที่มักจะเจ้าชู้ในเวลาราชการ คุณอาจคิดว่า “คุณแน่ คุณเก่ง ลื่นได้ดีอย่างกับปลาไหลใส่ skate” (ถ้าลื่นแบบรอดได้ทุกครั้งก็ดีไป แต่ถ้าลื่นเพลิน แล้วลืมตัวโดนจับได้ล่ะก็ ตัวใครตัวมันนะคะ)


ต้องขอประทานอภัยอย่างสูง สำหรับผู้อ่านไดอารี่เรา ที่เป็น “ทอม” ด้วย แต่คุณก็ต้องเข้าใจนะคะ ในจำนวนคนที่ดีๆ เช่นพวกคุณ อาจจะมีคนเลวๆ ปะปนอยู่เช่นกัน


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน


เพลง เงียบๆคนเดียว

อย่ามาให้เจออีกเลย เฉยเฉยไปเลยดีกว่า
เจ็บเกินไปที่จะคบหา ไม่อยากจะมองเห็นหน้าใครใคร
ไปไกลไกลให้ห่างกัน เห็นแล้วฉันยิ่งเจ็บใจ
ไม่อยากจะได้ยินอะไร จากเธอฉันไม่อยากฟัง
*อยากจะมองฟ้าที่ว่างเปล่า เหงาเหงาคนเดียวลำพัง
ให้รอยร้าวมันเจือจาง ให้ใจมันดีกว่านี้บ้างอยากให้เธอนั้นลืมทุกสิ่ง
และทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง
ฉันต้องการทบทวนบางอย่าง อยากอยู่เงียบเงียบคนเดียว
กับเธอฉันคงไม่มี ไม่เหลืออะไรสักอย่าง
เมื่อเราเดินอยู่คนละทาง ก็อย่าตอกย้ำให้ช้ำเกินไป
เธอจะเดินไปจากฉัน ฉันก็เสียทุกอย่างไป
โปรดอย่าบอกว่าเพราะอะไร อย่าเลยฉันไม่อยากฟัง( ซ้ำ * )
ใครจะดีจะร้ายยังไง ฉันไม่ต้องการฟัง
อยากจะปลดปล่อยทุกทุกอย่าง
อยากอยู่ลำพัง อยากอยู่คนเดียว ( ซ้ำ * )

วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

"ความรักที่เป็นไปไม่ได้"

วันนี้เรื่องราวจะออก Serious สักหน่อย เราจะพูดถึง “ความถูกต้อง และความผิด ทางสังคม” (ลองมาคิดตามกันเล่นๆนะคะ) ความรักในเพศเดียวกัน ดูจะเป็นไปไม่ได้ในสังคม แต่พวกเราก็ได้สร้างเครือข่าย ทอม ดี้ เลส แพร่ไปตามครอบครัว ก่อตัวกันเป็นสังคมที่น่าอยู่สังคมหนึ่ง (สังคม Lesla ของเราไง)

เราเคยอ่านเจอในหนังสือว่า “ความรู้ที่สูงสุดของมนุษย์คือ รู้จักตัวเองอย่างถ่องแท้ ความสำเร็จสูงสุดในชีวิตของมนุษย์คือ การยอมรับตัวเอง” พวกเราเป็นพวกรักเพศเดียวกัน พวกเรารู้จักตัวเอง และยอมรับในตัวตนของตัวเอง แม้ท่ามกลางกระแสวิพากย์วิจารณ์จากสังคม พวกเราทุกคนก้าวข้ามผ่านได้แล้ว เพียงแค่ใครสักคน กล้าที่จะก้าวเดินออกมายอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ถึงแม้ว่าในทางสังคม สิ่งที่เราเป็น ตัวเรา จะผิดไปจากธรรมชาติ หรือมาตรฐานของสังคม แต่พวกเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า “I am what I am ฉันเป็นในสิ่งที่ฉันเป็น I proud what I am ฉันภูมิใจในสิ่งที่ฉันเป็น I accept what I am ฉันยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็น” เมื่อเปิดใจยอมรับตัวเองได้แล้ว เราก็เดินทางมาครึ่งหนึ่งแล้ว อีกครึ่งก็ต้องยอมรับใจตัวเอง หลายคนไม่สามารถยอมรับใจและความรู้สึกลึกของตัวเองได้ เพราะดูเหมือนกับว่า “ความรักมักจะมาเล่นตลกกับเราเสมอ” (สิ่งที่เราจะสื่อให้เห็นในวันนี้ก็คือ บางทีความรักก็ไม่มีแบบแผน ออกแบบไม่ได้ อยู่ที่ใจของคนเรา ว่าจะตัดสินใจ และเลือกทางเดินอย่างไร?)

“ความเหงา” ไม่เคยเข้าใครออกใคร ส่วนใหญ่ความเหงา จะมาแวะเวียนเรา ช่วงเวลาฝนตก ช่วงเวลาอยู่คนเดียว และช่วงเวลางาน (จ.-ศ. 8.30-17.30 น.) เป็นช่วงที่ ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับแฟนได้ (เพราะเขาหรือเธอก็ต่างต้องทำงาน) ช่วงเวลานี้ หลายคนอาจเครียด มีปัญหา อยากหาใครสักคนที่เข้าใจ รับรู้ รับฟัง อารมณ์และจังหวะขณะนั้น เป็นจุดเริ่มต้น ของเรื่องราวในวันนี้ “แอน” ทอมไม่โสด (มีแฟนอยู่แล้ว ปัจจุบันก็มีอยู่) ได้ใช้ “กามเทพยุคดิจิตอล MSN” นำพาให้เขาไปเจอกับ “นก” ดี้ไม่โสด (มีแฟนอยู่แล้วเช่นกัน) เขาได้คุยกันผ่านทาง MSN ช่วงเวลางาน พวกเขาคุยแลกเปลี่ยน เรื่องราว ประสบการณ์ share ความคิดซึ่งกันและกัน เริ่มจากเรื่องราวเล็ก ความผูกพันเล็กๆ (ใครที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ ก็คงจะเข้าใจดี) พวกเขาคุยกันทุกวัน ทุกเวลาที่ว่างจากการทำงาน พวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เขาและเธอยอมรับซึ่งกันและกันว่า “ต่างคนต่างมีแฟนอยู่แล้ว” พวกเขาไม่ต้องการที่จะเจอหน้ากัน แค่ขอให้มีใครสักคนที่จะคุยด้วย เข้าใจ ก็พอ แต่ใครจะไปรู้ว่าความรู้สึกเล็กๆเหล่านี้ ได้กลายเป็น ความรู้สึกที่ถูกตีความหมายไปเป็นว่า “ความรัก” (ใครจะรู้ว่าความรู้สึกที่ผิดต่อแฟนของพวกเขา มันช่างเจ็บปวดแค่ไหน บางคนรู้สึกผิดแต่ก็ยังก้าวเดินต่อไป เพียงเพราะ ต้องการทำตามเสียงหัวใจ และความรู้สึกตัวเอง) พวกเขาคุยกันได้ 4 เดือนแล้ว

ความผูกพันที่พวกเขามี เริ่มมากขึ้น (หลายคนอ่านแล้วจะ “งง” ว่าทำไม ไม่เคยเห็นหน้าจะรู้สึกได้อย่างไร แค่ตัวอักษรที่โลดแล่น ผสมผสานกับความรู้สึก แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว สำหรับ “ติดกับดักทางด้านอารมณ์”) เธอเริ่มรู้สึกผิด และอยากยุติความสัมพันธ์ เพียงเพราะเธอกลัวว่า เธอจะถลำลึก จนกลายเป็น “ความรัก” ต่อเขามากไปกว่านี้ แต่สิ่งที่เธอพยายามจะตัดเขาออกจากชีวิตเธอนั้น กลับกลายทำให้เขาและเธอได้รับรู้ว่า “เขาและเธอมีรู้สึกต่อกันมากแค่ไหน” ยิ่งเธอพยายามจะหนีจากเขาเท่าไหร่ เธอยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น ไม่ใช่เพียงเฉพาะเธอ เขาก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน (ทั้งสองไม่เข้าใจว่าความรู้สึกในใจ และความรู้สึกเจ็บมากมายนั้นมันเกิดขึ้นมาได้ยังไง) นี่เขาทั้งสอง รู้สึก “รักกัน” แล้วหรือ? ไม่มีใครตอบได้ นอกจากทั้งคู่เองเท่านั้น

หลายคนเจอเหตุการณ์ที่ว่า มีแฟนอยู่แล้ว แต่เพิ่งไปเจอความรัก (ที่อาจจะเป็นรักแท้ หรือคิดไปเองก็ได้) ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้เพลง “ปา-ติ-หาน” ยังดังก้องอยู่ในความทรงจำเสมอ หลายคนรู้ทั้งรู้ว่า เขามีแฟนแล้ว แต่ยอมไปเป็น “กิ๊ก” เพียงเพราะความรัก เขายอมละเมิดและมองข้ามความถูกต้อง เพียงเพื่อขอทำตามใจตัวเองบ้าง

เรื่องราวแบบนี้ไม่เกิดกับตัวเองไม่รู้ ถ้าเกิดกับคุณ คุณจะทำอย่างไร? ไหนช่วยออกความคิดเห็นกันหน่อยสิคะว่า ทั้งสองกลัวที่จะสูญเสีย “ความรัก” (ที่เชื่อว่าพวกเขามี) หรือเพียงแค่ “ความเคยชิน”? อะไรกันแน่ที่รบกวนใจเขาทั้งสองอยู่? ขอให้คนที่กำลังเจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่ ใช้สติเพื่อที่จะควบคุมใจตนเอง และมองเห็นช่องทางที่จะฝ่าปัญหานี้ไปให้ได้

เป็นกำลังใจให้ ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

ดี้เจียมตัว

เราเชื่อว่า ทอม ดี้ เลส หลายคนอาจจะเคยมี ความรู้สึกที่ว่าตัวเองต่ำต้อย ไม่ดีพอ ไม่มีค่าพอ ไม่มั่นใจ กลัวที่จะถูกปฏิเสธ ขี้ขลาดกับความรัก จนอาจปล่อยคนดีๆหลายคนให้เดินจากไปจากชีวิต ไดอารี่วันนี้ เป็นเรื่องราวของ “ดี้เจียมตัว”คนนึง

“นัท” ดี้เหงาคนหนึ่งลง e-mail ไว้ใน Webboard ของเลสล่า กระทู้ของเธอถูกค้นพบ และได้รับการตอบรับจาก “มิว” ทอมหน้าตาดีคนหนึ่ง เธอและเขาคุยกันผ่าน MSN (กามเทพยุคดิจิตอล) ช่วงเวลาแค่อาทิตย์เดียวที่คุยกันนั้น เธอและเขาต่างรู้สึกพิเศษต่อกันอย่างประหลาด เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย อบอุ่น ทุกวันเธอจะมานั่งรอเขา online ทุกวันเขาจะนอนดึกเพื่อคุยกับเธอให้ยาวนานที่สุด เขารู้สึกชอบเธอมาก พร่ำบอกความรู้สึกให้เธอฟัง เธอก็รู้สึกชอบเขาเช่นกัน แต่ยังสงวนคำพูดไว้ เมื่อจินตนาการทางจิตใจ ถูกเติมเต็มด้วยความเอาใจใส่ และตัวอักษรบนหน้าจอ ขั้นต่อไป ก็ต้องเผยแสดงบุคคลในจินตนาการออกเป็นบุคคลในความจริง ทั้งคู่อยากจะเห็นซึ่งกันและกัน ตกลงจะเปิดรูปแลกกันดู เธอขอเวลา 5 นาที ไปหารูปที่ดูดีที่สุดเพื่อที่จะให้เขาเห็น รูปของเขาและเธอ ถูกเตรียมพร้อมเปิดให้กันและกันดู เมื่อเขาเปิดรูปตัวเองให้เธอเห็น แวบแรกที่เธอเห็น เธอรู้สึกชอบเขาทันที (เขาหล่อมาก) เขาเปิดอีกรูป เป็นรูปที่ถ่ายกับแฟนคนล่าสุดที่เพิ่งเลิกกันไปเพียงไม่นาน เมื่อเธอเห็นรูปที่สอง เธอเห็นถึงความเหมาะสมของเขาและแฟนเก่า แต่สำหรับเธอนั้นก็เป็นแค่ดี้หน้าตาธรรมดาคนนึงเท่านั้น เธอไม่ยอมเปิดรูปตัวเองที่เตรียมให้เขาดู เธอหมดความมั่นใจในตัวเอง ได้แต่นั่งนิ่งทบทวนในคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ ว่าแฟนที่ผ่านมาของเขาแต่ละคนนั้น สวยๆทั้งนั้น ด้วยความคิดโง่ๆ บวกกับความกลัวที่จะถูกปฏิเสธ เพราะเธอมีความเชื่อว่า "เมื่อเขาเห็นเธอแล้ว เขาจะต้องรู้สึกผิดหวังกับดี้หน้าตาธรรมดาแบบเธอ แล้วก็ต้องเดินจากเธอไป ทิ้งให้เธอเสียใจอยู่คนเดียว" เธอจึงตัดสินใจหยุดความรู้สึกที่มีต่อเขาไว้ เดินจากเขาออกมา เพียงเพื่ออยากให้เขาได้เจอคนที่ดีกว่าเธอ ทิ้งให้เขาถามตัวเองว่าเพราะอะไร? เธอถึงหายไป

ความกลัวที่เธอมีนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็น “ความขี้ขลาด” แต่หลายคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่า อาจมีบางช่วงเวลาที่ความรู้สึกกลัวนี้ ได้แวะเวียนเข้ามาทักทายพวกคุณ

อย่ากลัว!!! จงก้าวออกมาด้วยดวงใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก ไม่ว่าจะถูกปฏิเสธหรือไม่ อย่างน้อย เราก็ได้กล้าหาญเพียงพอแล้วที่จะ "ยอมรับ และผลักดัน" ความรู้สึกของตัวเอง กับคนพิเศษสักคน ไม่ว่าผลที่ออกมาจะดี และเลวร้ายแค่ไหน
คุณ!!! ก็ได้ "ทำดีที่สุดแล้ว"

There’s No Fear In Love.

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

"เหงา" เข้าใจ

ช่วงนี้ในกรุงเทพ ฝนตกแทบจะทุกวัน และเกือบตลอดทั้งวัน การออกไปข้างนอกแต่ละวัน คงจะหลีกเลี่ยง “ละอองฝน” ไม่ได้ จึงทำให้เราเริ่มมีอาการ “ตัวร้อน เป็นไข้” โดยปกติ เมื่อเราเป็น “หวัด” สิ่งแรกที่จะทำคือ “นอน และก็นอนพักเยอะๆ” วันนี้เราตั้งใจจะอยู่บ้านนอนทั้งวัน แต่ก็ต้องมี “ภารกิจ” ให้เราต้องออกไป “เผาผลาญ energy” เราออกไปทำธุระทั้งวัน กลับมาถึงบ้านก็บ่ายสี่โมงเย็นแล้ว พอร่างกายได้ “หยุดนิ่ง” อาการไข้ ตัวร้อน และเจ็บคอ เริ่มมา “รุมเร้า” เราจึงต้องนอนพักอย่างยาวๆ (โดยที่ยังไม่ยอมเริ่มกินยาลดไข้) ตื่นมาไข้จึงยังไม่ลด เราเลยเริ่มกิจกรรมหัวค่ำด้วย “การรีดผ้า” เพื่อกระตุ้นให้ “เหงื่อ” ออก แล้วไข้ก็จะลด แต่ดูท่าทาง “เชื้อหวัด” ที่เราได้รับในครั้งนี้นั้น จะ “ดื้อมาก” (เหมือนเรา) คืนนี้ต้องนอนเร็วหน่อยดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ต้องไปหลายที่ และไปโบสถ์ช่วงหัวค่ำด้วย (ใช้ชีวิตเพียงลำพัง ก็ต้องลำบากอย่างนี้แหละ ว่าไหมคะ?)

Blog วันนี้ เราอยากจะฝากเรื่องราวนี้ ให้เพื่อนๆได้อ่าน และคิดตาม (เชื่อว่า คงจะสามารถ “สะกิด” อะไรบางอย่างในตัวคุณได้บ้าง ไม่มากก็น้อย)

เมื่อ “อกหัก” ก็เป็นธรรมดาที่คนเราจะ “เศร้า และเสียใจ”

โดยคนส่วนใหญ่ มักจะแสดง “พฤติกรรม” หลังจากอาการอกหัก แบ่งเป็นหลายประเภท แต่เราจะขอยกตัวอย่างใน 2 ประเภทใหญ่ๆ

ประเภทแรกเลือกที่จะไม่ให้ตัวเอง “เศร้า” หรือ “เหงา” อยู่นานเกินควร จึง “ด่วน” รีบหา ใครก็ได้สักคน มา “เสียบ” แทนโดยทันที (รวดเร็วยิ่งกว่า pizza delivery อีก)

ประเภทที่สอง ที่เมื่อเสียใจแล้ว จะ “เข็ดหลาบ” ไม่สามารถที่จะมีรักครั้งใหม่ได้อีกเลย บางคนปิดโอกาสตัวเอง 5 ปี 10 ปี หรือก็ตลอดชีวิต (ขึ้นอยู่กับความพอใจในตัวบุคคล)

“หวาน” ดี้หน้าตาดี หลังจากเธอถูกแฟนคนแรก “ทรยศ หักหลัง” ทำให้เธอต้องดื่มน้ำใบบัวบก ต่างข้าว อยู่เป็นปี เธอก็ได้ตั้งตัวอยู่เป็นโสดตั้งแต่วันนั้น โดยไม่สนใจที่จะเปิดรับใครเข้ามา มีทอมหลายคนที่อยากจะเดินเข้ามาเสนอหัวใจ และเงินทองให้เธอ แต่ก็ต้องถูกเธอ “ปฏิเสธ” (หน้าหงายกันเป็นแถบๆ) การใช้ชีวิตประจำวันของเธอ ไม่ว่าจะเป็น ทานข้าว ดูหนัง หรือไปต่างจังหวัด เธอมักจะทำกิจกรรมเหล่านี้คนเดียว เธอมีความสุขในความเหงาที่เธอมี อย่างน้อยก็ไม่ต้อง “เสี่ยง” ที่จะพบกับความเศร้าใจ เสียใจ และปัญหา ที่มาหาเธอ (ไม่เว้นแต่วันมีประจำเดือน)

เรามีโอกาสได้คุยกับเธอ เธอได้บอกเราว่า “บางทีความเหงา และความโหยหาอ้อมกอดของใครสักคน ก็เป็น “ตัวกระตุ้น” ให้เธออยากจะมีแฟนเช่นกัน แต่เมื่อเธอคิดถึงความรักครั้งสุดท้าย ที่เธอได้รับการทรยศที่แสนสาหัส จากทอมเลวๆคนนึง แล้วรวมกับ รอบตัวเธอมีแต่คู่รัก ไม่ว่าจะเป็นคู่รักทอมกับดี้ หรือหญิงกับชาย ล้วนแต่มีปัญหาให้งอนง้อกัน ไม่เว้นแต่ละวัน เวลารักกัน อาจมีรอยยิ้มให้แก่กัน (แต่ก็เป็นช่วงเวลาอันสั้น) แต่เวลาทะเลาะ หรือเสียงดังใส่กันแต่ละที ก็ทำให้สุขภาพจิตแย่ (เข้าขั้นต้อง “กรอก” พาราเซตามอลกันเป็นขวดๆเลยทีเดียว) เธอได้เห็นตัวอย่างจากพวกเขาแล้ว เลยเข็ดที่จะมีความรัก ขอใช้ชีวิตโสด รักตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง ยิ้มกับตัวเอง อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องผิดหวังเนื่องจาก “การคาดหวังในความรัก” ไม่ต้องเจอกับปัญหาการทรยศ และไม่ต้องคอยตามอารมณ์ของคนอื่น (ที่แม้แต่ตัวเขาเอง ยังไม่รู้จักอารมณ์ของตัวเองเลย)”

เราทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยในมุมของเธอ แต่ “หัวใจ” ของเธอ เธอมีสิทธิ์เต็มที่ ที่จะตัดสินใจ และเลือกทางเดินของชีวิต ที่เธอคิดว่า “เหมาะสม” กับเธอมากที่สุด

ในแง่คิดของเรา สำหรับใครที่เพิ่งจะโสด (เพราะถูกหักอกมา) ก็ควรจะใช้เวลาอยู่กับตัวเอง รักษาตัวเอง (“เว้นวรรค” ให้หัวใจตัวเองได้ “หายใจลึกๆ” เสียบ้าง อย่าได้ “ดึงดัน” ที่จะทรมานหัวใจ ด้วยการ “ผจญภัย” อย่างไร้จุดหมายเลย) พร้อมเมื่อไหร่ ค่อย “เปิดใจ” ต้อนรับใครอีกคนในอนาคต ก็ยังไม่สาย

สำหรับใครที่ครองตัวโสดมานาน เพราะ “กลัว” ที่จะมีความรักใหม่อีกครั้ง เราเคารพในการตัดสินใจของคุณ “จงปฏิบัติในสิ่งที่คุณสบายใจเถอะ”

ขอฝากไว้นิดนึง ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก อย่างน้อยเมื่อคุณได้เกิดมาเป็นมนุษย์ครั้งนึง ที่แสนจะประเสริฐกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆในโลก ทำไม?ไม่ลองค้นหาใครสักคนที่เป็นคู่ของคุณดู มีคนเป็นล้านๆคนในโลกนี้ น่าจะมีสักคน ที่ “ดีพอ และดูแล” คุณได้ ต้องมีสักคนสิ ที่เป็น “คนของคุณ”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

เหตุผลโง่ๆ

ยังมี “คนขี้ขลาด” บางคน เมื่อทำ “ความผิด” และ “รู้ตัวว่าผิด” ก็จะพยายาม “บิดเบือน” ประเด็น หรือ “โยนความผิด” ให้กับคนอื่น โดยสรรหา “เหตุผล” ที่จะยกมา “อ้าง” ได้สารพัด และเพราะ “เหตุผล” ที่ “โง่ๆ” เหล่านั้น ทำให้หลายคน ที่ต้องตกเป็น “เหยื่อ” ของ “สถานการณ์ความขี้ขลาด” นี้ ต้อง “ระทมทุกข์” คิดวนเวียนกับ “เหตุผลโง่ๆ” นั้น เกือบทั้งชีวิต

“ตอง” ดี้สาว office และ “เจ” ทอม เจ้าของร้านทอง คบกันมาได้เกือบปีแล้ว ชีวิตคู่ของทั้งสองก็ “ลุ่มๆ ดอนๆ” ด้วยความที่เธอเป็นดี้หน้าตาดี ทำให้มีทอมหลายๆคน เดินเข้ามาแจกจ่ายขนมจีบเธออยู่ร่ำไป เธอก็เล่นด้วยกับบางคน แต่ก็ไม่ได้คิดจริงๆจังๆ คบเป็นตัวเป็นตน เธอได้ไป “สะดุด” กับ “ริ” ทอมหน้าตาดี ช่วงแรกๆ เธอก็คุยด้วย และคบไปงั้นๆ แต่ด้วยความเป็นตัวตนของ “ริ” ทำให้เธอคิดจริงจังในความสัมพันธ์ แต่ทำไงได้อ่ะ ในเมื่อเธอมีเขาอยู่แล้ว เธอเครียดอยู่หลายวัน ใจนึงก็กลัวเขาจะรู้ว่าเธอแอบนอกใจ “ความกลัว” บวกกับ “ความต้องการที่จะอยู่กับริ” ทำให้เธอคิดหาเหตุผล เพื่อมาบอกเลิกกับเขา (เหตุผลเพื่อปัดความผิดที่เธอแอบมีคนอื่น เหตุผลเพื่อที่จะทำให้เธอเป็นอิสระ และโบยบินไปหาคนที่เธอต้องการ)

เธอนัดเขามาทานข้าว ณ ร้านอาหาร ร้านเดิมที่เขาขอเธอเป็นแฟน เธอจองที่นั่ง แล้วสั่งอาหาร set เดียวกับวันนั้น เขาแอบดีใจลึกๆ ยิ้มอยู่คนเดียว โดยไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่า กำลังจะเผชิญอะไร? ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ เมื่อเขาและเธอทานอาหารอิ่ม เธอก็มองหน้าเขา และเริ่มพูดประโยคที่เธอเตรียมมาอย่างดี “คุณคะ ปีหนึ่งแล้วนะคะ ที่เราคบกัน รักกัน และผูกพันกัน สิ่งที่ฉันทำให้คุณในวันนี้ เพื่อเป็นการย้อนอดีตกลับไป ในวันที่คุณขอฉันเป็นแฟน ตอนนั้นฉันตอบตกลง ฉันยอมรับ ว่าตลอดเวลาที่เราคบกัน มีทั้งเรื่องดีและไม่ดีเดินเข้ามาหาเรา ก่อนที่ฉันจะนัดคุณออกมาทานข้าววันนี้ ฉันให้สมองคิด ตรึงตรองอยู่หลายวัน สิ่งที่ฉันต้องการจะบอกคุณวันนี้ อาจจะยากที่จะพูดออกไป แต่ฉันจำเป็นต้องพูดออกมา เพื่อตัวเราสองคน คุณดีพร้อมทุกอย่าง คุณดูเหมือนคนที่ใช่สำหรับฉันในทุกๆเรื่อง ยกเว้น เรื่อง Sex และฉันมองว่าเป็นเรื่องสำคัญด้วยสิ ดังนั้น ฉันไม่คิดว่า เราจะคบกันต่อไปได้ เราเลิกกันเถอะคะ” แล้วเธอก็ลุกออกจากโต๊ะไป (โดยไม่ได้จ่ายค่าอาหาร เขาต้องเป็นคนจ่ายเอง)

เขาเสียใจมาก เสียใจอยู่เป็นเดือน เขาหมดความมั่นใจในเรื่อง sex จนเขาไม่กล้าคบกับใคร และมี sex กับใคร (จริงๆแล้ว เหตุผลที่เธอบอกเขา เรื่อง sex นั้น เธอไม่ได้พูดความจริง เธอแต่งขึ้น เพื่อที่จะเลิกกับเขา) แต่ใครจะรู้ว่า เขาคิดจริงจังกับเหตุผลนี้ของเธอมาก ชีวิต “จมปรัก” หลอน กับความไม่มั่นใจนี้อยู่หลายปี

ส่วนเธอก็ “ตีปีก” ไปเริงร่ารักครั้งใหม่กับ “ริ” ทอมที่เธอถูกใจ โดยไม่สนใจว่า “เหตุผลโง่ๆ” ที่เธอให้เขานั้น จะ “สร้างปัญหา” ให้กับเขามากแค่ไหน

สำหรับใครหลายคน ที่ไม่กล้า เพราะกลัว ที่จะบอกเหตุผลจริงๆในการจากลา จึง “สรรสร้างและปั้นแต่ง” เหตุผลที่ “งี่เง่า” และ “ไร้สาระ” พวกนี้ขึ้นมา เพื่อทำให้คุณดูดี ไม่ผิด ที่จะตัดสินใจเดินจากไปนั้น คุณช่างเป็น “คนที่เห็นแก่ตัว ฉิบ lost” เลยคะ เวรกรรมสมัยนี้ติดจรวดนะคะ ทางที่ดี ถ้าหมดรักกันแล้ว ก็พูดออกมาตรงๆ เพราะไม่ว่าจะเป็นเหตุผลไหน คนที่ถูกบอกเลิก ก็เจ็บเหมือนกัน ดังนั้น ก็คงไม่ผิดใช่ไหมคะ ที่จะพูดความจริง อย่างน้อยก็เป็นความจริง “ครั้งสุดท้าย” ของคุณทั้งสอง

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

Sex ตอนที่ 5

เพื่อนๆหลายคนที่อ่านไดอารี่เรา อาจจะคิดกันไปเองว่า เรา “แฉ” เป็นแค่เฉพาะเรื่อง “ทอมกับดี้” แล้วเรื่องเลสล่ะ แฉไม่เป็นเรอะ (เราไม่อยากจะพูด เรามีเรื่องเลส เต็มหัวไปหมด ใจเย็นๆนะคะ คุณเลส เดือนหน้าแน่นอนคะ) วันนี้เราจะมาปิดฉากเรื่องราวประสบการณ์ความรักของ “ยิ้ม” กัน ณ ตอนนี้ เธอ ได้กลายเป็นเลสไปแล้ว แต่เพราะอะไรนั้น เพื่อนๆคงต้องเสียสละเวลาอ่านจนจบไดอารี่เรานะคะ ถึงจะรู้

ยิ้มได้ยอมรับว่า เรื่องราวที่เธอนำมาเล่านั้น ไม่ได้เสี้ยวของประสบการณ์ชีวิตของเธอ (บางทีเราก็แอบอิจฉา เธออายุเพียง 24 แต่มีประสบการณ์มากมาย) เธอมีจุดเปลี่ยนในสถานะทางเพศของเธอหลายจุด ไม่ว่าจากผู้หญิงปกติกลายเป็นดี้ หรือดี้กลายเป็นเลส แต่ในบรรดาจุดเปลี่ยนทั้งหมด ตอนนี้เธอเชื่อว่า “เธอ born to be Les ไม่ใช่ดี้หรือผู้หญิง” “แขก” สาวเรียนพยาบาลมหาวิทยาลัยแถวรังสิต ได้เป็นคนทำให้เธอได้พบกับตัวตนที่แท้จริงของเธอ แขกเป็นคนเหนือจังหวัดเดียวกับเธอ รู้จักกันบนรถทัวร์ ทั้งสองได้นั่งจากแม่ฮ่องสอนมากรุงเทพ รถเที่ยวกลางคืน เธอได้ที่นั่งหลังสุด (เป็นปกติของคนที่ต้องเดินทางโดยสารรถทัวร์คนเดียว ที่จะต้องแอบลุ้นเล็กๆในใจว่าคู่นั่งของเราเป็นหญิงหรือชาย) เธอก็เช่นกัน เมื่อเธอมาถึงที่นั่ง เธอก็ได้พบเขา (แขก) สาวผิวขาว จมูกเขาสวยมาก เธอรู้สึกชอบเขาขึ้นมาในใจ (เธอแอบคิดในใจว่า ทำไม เธอมามองผู้หญิง จริงๆแล้วเธอน่าจะมอง ผู้ชาย หรือ ทอมมากกว่า หรือเธอเบื่อรสชาติ sex ของพวกนั้น แต่ก็อย่างว่า แต่ละประสบการณ์ที่เธอเจอมา ยอดแย่จริงๆ) เธอและเขาสบสายตากัน รถแล่นไปเรื่อยๆ เธอสังเกตุว่าเขามองมาที่ต้นขาเธอ (เธอใส่กางเกงขาสั้น) เธอก็แอบมองที่ซอกคอเขาเช่นกัน เธอได้เริ่มบทสนทนากับเขาถึงเรื่องทั่วๆไป รอยยิ้มและความอ่อนโยนของเขาทำให้เธอรู้สึกดีมากมาย ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันนั้น โทรฯเขาก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรฯขึ้นมา เธอได้เห็นสายห้อยโทรฯเขาเป็นสัญลักษณ์ผู้หญิงสองคนไขว้กัน เธอก็เลยรู้ได้ในทันทีว่า เขาเป็น “หญิงรักหญิง” เธอได้คิดอยู่นานก่อนจะตัดสินใจถามเขาว่า “เป็นทอมหรือดี้” เขาตอบว่า “เป็นเลส” เธอยังไม่เข้าใจว่า “เลสคืออะไร?” เขาอธิบายให้เธอฟัง เธอได้บอกกับเขาว่า “เธอเป็นดี้” เขาบอกว่า “ไม่เป็นไรนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาและเธอก็ต่างคนต่างหันไปนอน แล้วอยู่ๆในใจลึกๆของเธอ ก็ร้องโหยหา sex อีกครั้ง (จะว่าเธอเป็นดี้ก็ไม่อาจเรียกได้ เพราะว่าครั้งนึงเธอก็เคยทำให้ทอม two-way เสร็จมาแล้ว) เธอได้หันไปหาเขา เอามือเธอวางบนตักเขา เธอได้กระซิบกับเขาว่า “เราอยากลองเป็น เลส ดูสักครั้ง” เขายิ้ม ก่อนที่จะกระซิบข้างหูเธอกลับว่า “ไว้ถึงกรุงเทพก่อนนะ แล้วจะอธิบายให้อย่างละเอียดเลย” เธอยิ้ม ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “ไม่เอา ไม่รอ จะเอาตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ไม่มีใครเห็นหรอกน่า ตื่นเต้นดี” (เพื่อนๆหลายคน อาจจะไม่เคยมี sex ในรถ เราก็ไม่เคยลอง แต่หลายๆคน confirm มาว่า เจ๋งมากๆ ตื่นเต้นที่สุด เพื่อนๆคนไหนจะนำไปลอง เราก็ไม่ว่ากันนะคะ แต่ก็อย่าลืม “เมาไม่ขับ ถ้าเสียวเกินควบคุมให้เหยียบเบรค”) เขาทำให้การเดินทางมากรุงเทพของเธอครั้งนั้นตื่นเต้นมาก ลีลา ความละเอียดละอ่อนทางด้านอารมณ์ และการสัมผัสของเขา มันทำให้เธอเคลิ้ม เขาได้ทำลาย standard ของทอมเด็ก ม.1 (ครั้งแรกของเธอ) ไปอย่างหมดสิ้น เขาและเธอผลัดกันหยิบยื่นสัมผัสให้แก่กัน สัมผัสที่เธอไม่เคยได้จากการมี sex กับทอมที่ผ่านมาครั้งไหนๆ กว่ารถทัวร์เดินทางมาถึงกรุงเทพ เธอและเขาก็สูญเสียน้ำในร่างกายไปหลายลิตรแล้ว (มิน่าล่ะ เดี๋ยวนี้ประชากรเลส เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะสัมผัสนี้นี่เอง น่าลองจริงๆ พรุ่งนี้เปลี่ยนเป็นเลสเลยดีกว่า)

เธอเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม สดใส ปัจจุบันเธอและเขาก็ยังคบกันอยู่ (ทั้งสองคบกันมาได้ 2 ปีแล้ว) เธอฝากเรามาบอกเพื่อนๆด้วยว่า “ความรักมันจะเดินเข้ามาหาเราเอง อย่าพยายามไขว่คว้าหาเลย ยิ่งหายิ่งจมลึกลงไปในห้วงแห่งกรรม”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

เสียงหัวใจ วันไร้เธอ

เนื้อเพลง เสียงหัวใจวันไร้เธอ

ต้องอยู่ยังไง ต้องทนต้องทำอะไรยังไง
ชีวิตที่มีแต่ลมหายใจ มืดมน อ้างว้างและว่างเปล่า
ยิ่งนานยิ่งเคว้ง ทุกครั้งที่กอดตัวเองยิ่งหนาว
แค่ลมพัดเบา ๆ ร้าวหัวใจ
ดั่งเหมือนจะดับไปกับแสงตะวัน

เธออยู่ที่ไหน ความรักเราตายแล้วหรือ
ไขว่คว้าไม่เจอสักมือ
เฝ้ารออย่างท้อใจ ทำได้เพียงเท่านั้น
เรียกเธอซ้ำ ๆ หมื่นแสนล้านคำทุกวัน
เผื่อเธอซึ้งถึงความร้าวราน เธอจะเดินกลับมา

หายใจช้า ๆ หัวใจเต้นเบากว่าเดิมช้า ๆ
ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะเช็ดน้ำตา ฉันทำได้เพียงแค่ร้องไห้
ยิ่งลืมยิ่งช้ำ สุดท้ายคำตอบคือทำไม่ไหว
ได้ฟังเสียงในใจ เสียงหัวใจดั่งเหมือนจะดับไปกับแสงตะวัน

เธออยู่ที่ไหน ความรักเราตายแล้วหรือ
ไขว่คว้าไม่เจอสักมือ
เฝ้ารออย่างท้อใจ ทำได้เพียงเท่านั้น
เรียกเธอซ้ำ ๆ หมื่นแสนล้านคำทุกวัน
เผื่อเธอซึ้งถึงความร้าวราน เธอจะเดินกลับมา

เธออยู่ที่ไหน ไม่สงสารใจชั้นหรือ
ไขว่คว้าไม่เจอสักมือ
เฝ้ารออย่างท้อใจ ทำได้เพียงเท่านั้น
เรียกเธอซ้ำ ๆ หมื่นแสนล้านคำทุกวัน
เผื่อเธอซึ้งถึงร้าวราน เธอจะเดินกลับมา

เผื่อเธอสงสารคนไร้ค่า เธอจะมาก่อนฉันตาย

http://www.imeem.com/aomme/music/RKRggOP1//?d=1

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

Sex ตอนที่ 4

ไม่ทราบว่า เพื่อนๆ (ผู้อ่าน) มีสถานที่ ที่เป็น “อดีต และความทรงจำ” ไหม? ถึงแม้ว่า เวลาผ่านมานานมากแล้ว คุณก็ยังไม่กล้าพอที่จะไป “เหยียบ” สถานที่นั้นอีก

สำหรับเรา “Central ลาดพร้าว” เป็น “สถานที่ต้องห้าม” หลังจากวันนั้น เมื่อ 4 ปีที่แล้ว เราก็ “หลีกเลี่ยง” ที่จะไปอีก แต่วันนี้นึกอย่างไรก็มิทราบได้? เราอยากจะไปสถานที่นั้นอีกครั้งนึง (เพียงลำพัง) เราไปนั่งทาน Zen โต๊ะเดิมกับวันนั้น สั่งอาหารต่างจากวันนั้น (เมื่อก่อน Zen จะมีชุด Bento แต่ ณ ปัจจุบัน ได้เลิกทำไปนานแล้ว) และวันๆนี้ ก็ช่างเหมือนกับวันๆนั้นเมื่อ 4 ปีก่อน ความรู้สึกในอดีตบางอย่าง ได้ไหลย้อนกลับมา (คนบนฟ้าต้องการจะ “เตือนใจ” อะไรเราหรือเปล่านะ?)

มาต่อกันที่เรื่องประสบการณ์ที่ 4 ของ “ยิ้ม” ดี้หลายๆคน อาจจะเดินหลงเข้าไปใน “เขาวงกตของความรัก” ท่ามกลางหนทางที่สับสน มืดมนและ วกวนนั้น พวกเราก็จะมีแสงสว่างเล็กๆที่เข้ามาคอยนำทาง เป็นความหวังของดี้เช่น “ยิ้ม” และอีกหลายๆคนว่า “พวกเราจะเจอ และใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนตลอดไป ในสักวัน” หลายคนก็จำเป็นต้องมี “ตัวช่วย อุปกรณ์เสริม เพื่อที่จะประหยัดเวลาในการเดินทางตามหาความรัก” เธอก็เช่นกัน

เธอเดินรอบมหาลัยหลายรอบแล้ว เดินตามห้างหลายชม.ต่อวันก็แล้ว “ทอม” ก็ยังไม่ตกถึงท้อง แต่แล้ว “พระเจ้าแห่งโลก Cyber” ก็ได้ประทาน “Pirch” โปรแกรม shortcut ให้กับพวกเราทอมดี้ ได้รู้จักกัน แบบไม่ต้องเสียเวลา เป็นวันๆ เดินตามหา แค่ Click เข้าไป ก็จบ

เรื่องราวในวันนี้ก็มีจุดเริ่มต้นที่ Pirch นี่แหละคะ

ยิ้มมาอยู่กรุงเทพโดยปราศจากเพื่อนฝูง เมื่อเธอได้รู้จักโปรแกรม Pirch ก็ทำให้เธอติด Chat ผ่านโปรแกรมนี้โดยง่าย สองอาทิตย์ผ่านไป นิค “สาวไฮโซ อยากลอง” ของเธอ ก็เป็นที่คุ้นหูของคนห้องทอมดี้ ใน Pirch เธอได้สนิทกับทอมคนนึง ใช้นิคว่า “ลองของ” เขาและเธอคุยกันผ่าน Pirch จนกระทั่งมีการแลกเบอร์โทรกัน เขาบอกเธอว่า “ตัวเขามีแฟนแล้ว แต่เขามีเพื่อนหล่อๆ รวยๆมากมาย” คำพูดของเขาทำให้เธอสนใจ เขาบอกว่า “ทุกๆเดือน กลุ่มเพื่อนเขาจะมาสังสรรค์กันที่ คอนโดของเขาย่านสุขา 3 จะมีทอมดี้หลายคู่ มา Party กิน ดื่ม และสนุกกัน (โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร)” เธอเริ่มสนใจ และมองเห็น “ลู่ทาง” ระบายออกซึ่งความเสียว เธอจึงถามเขาอย่างสนใจว่า “จะมีครั้งต่อไปอีกเมื่อไหร่” เขาบอกว่า “ศุกร์นี้” เธอไม่จำเป็นต้องคิดทบทวน เธอตอบตกลงที่จะไปโดยทันที

เขาและเธอได้นัดแนะเจอกันที่ Fashion Island วันนั้นเธอแต่งตัวด้วยเสื้อยืดตัวเล็กๆแนบเนื้อ และกางเกงขาสั้น ไปยืนรอเขาที่สถานที่นัดพบ (Fashion Island) เขาได้มาสะกิดเธอ เธอหันไป สิ่งที่เธอเห็นเบื้องหน้าก็คือ ทอมตัวเตี้ย สูงประมาณ 150 หัวหยิก ตัวดำ อ้วนมาก ดูสกปรก ริมฝีปากดำ แต่งตัวได้ทุเรศมาก (เธอเล่าไปพลางทำปากเบะไป ทำให้เรารู้สึกว่า ต้องน่าเกลียดมากแน่ๆ) แต่เธอก็โอเค ไม่ได้สนใจ ก็เธอรู้อยู่แล้วนี่น่า ว่าเขามีแฟนแล้ว (ถ้าให้เธอคบเขาเป็นแฟน ขอโทษ ยากส์มาก) เขาบอกว่า “ต้องรอดี้จาก pirch อีก 3 คนก่อน แล้วจะนั่ง taxi ไปพร้อมกัน คืนนี้สมาชิกจะมารวมตัวกันเยอะมาก ต้องสนุกสุดเหวี่ยงแน่” เมื่อดี้ทั้งหมดมาถึง ก็ Move ไปยังคอนโดย่านสุขา 3 ของเขา เมื่อเข้ามาในห้อง เธอต้องพะงัก เมื่อบรรยากาศในห้องที่มีแต่กลิ่นบุหรี่ สกปรก และรกมาก ไม่ต่างอะไรกับร่างกายเขา (เจ้าของห้อง) เขาขอร้องให้เธอและดี้อีก 3 คน ช่วยกันทำความสะอาดห้อง เพราะคืนนี้จะมีสมาชิกมาไม่ต่ำกว่า 20 คน ส่วนเรื่องอาหาร และเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอลล์ เพื่อนเขาอีกคนหนึ่งจะรับหน้าที่นำมาเอง นาฬิกาตีบอกเวลา สองทุ่ม พวกเธอก็ทำความสะอาดห้องเสร็จ (เขาไม่ช่วยเลย นั่งเล่น Pirch อยู่คนเดียว) เธอและเพื่อนดี้อีก 3 คนหิวน้ำเพราะเหนื่อยจากการทำความสะอาด เขาชี้ไปที่ตู้เย็นบอกว่า “ดื่มน้ำในขวดจากตู้เย็นได้ตามสบายเลยนะ เขากำลังติดพันกับการ chat อยู่” เธอเดินไปหยิบน้ำมา รินใส่แก้วแล้วส่งต่อให้ดี้อีก 3 คน เมื่อพวกเธอดื่มน้ำเสร็จก็ล้มตัวลงนั่งที่โซฟา สักพักเขาเดินเอา VCD หนังโป๊มาเปิดให้พวกเธอดู ใจเธออยากจะสั่งให้ปิด แต่ไม่รู้เป็นไง เหงื่อเริ่มออกตามตัวเธอ รู้สึกร้อน วูบ หวาบ ยิ่งได้เห็นภาพใน VCD ยิ่งแล้ว ยิ่งรู้สึกมากขึ้นไปอีก คอเธอเริ่มแห้งผาก เธอหันไปสังเกตุ ไม่ใช่เธอคนเดียวที่เหงื่อแตก ดี้อีก 3 คนก็เช่นกัน เธอเดินไปหยิบน้ำขวดเดิม มาดื่มแล้วส่งให้ดี้อีก 3 คน แต่ดูเหมือนยิ่งดื่ม เธอยิ่งมีความรู้สึกต้องการทางเพศ (น้ำนั่นต้องผสมอะไรแน่ๆๆ เพื่อนๆคิดถูก น้ำนั่น ผสมน้ำยาปลุก sex เป็นแผนที่เขาเตรียมไว้ก่อนแล้ว ให้พวกเธอจัดห้อง แล้วต้องหิวน้ำ และดื่มเองในที่สุด) เธอเริ่มมีความรู้สึกต้องการมากขึ้น ต่อมอารมณ์ถูกกระตุ้นด้วยยาปลุก sex และ VCD Sex ที่เปิดอยู่ เมื่อเขาเห็นว่า พวกเธอมีความต้องการได้ที่แล้ว เขาก็เดินเข้าไปจูบพวกเธอทีละคน เธอเล่าว่า “เธอไม่ได้ชอบเขาเลย แต่ด้วยอารมณ์ร้อนผ่าวในกายเธอ เธอต้องปลดปล่อย ไม่ได้สนว่าเขาจะทุเรศแค่ไหนแล้ว” ไม่นานนัก เสื้อผ้าของเธอและดี้อีก 3 คน ก็หลุดออกจากร่างกาย เขาให้พวกเธอนอนเรียงกัน เขาเอาลิ้นลากไปที่หน้าอกของแต่ละคน ลากลิ้นวนไปเรื่อยๆ เขาขอให้พวกเธอเต้นยั่วยวนเขา (เธอไม่ได้อยากทำ แต่อารมณ์มันพาไป) พวกเธอแต่ละคนเต้นยั่วเดินไปหาเขาทีละคน คนไหนเต้นถูกใจเขา เขาก็จะจับคนนั้นนอนหงาย ถ่างขาออกแล้วก็ oral ให้ น้ำพวกเธอแต่ละคนแตกออก (แต่ไม่ได้ทำให้เสร็จนะ เขาอยากให้พวกเธอทรมาน) แต่ละคนผลัดกันเต้น ผลัดกันโยกย้ายส่ายสะโพก เพื่อให้ลิ้นและนิ้วเขาได้มาแวะเวียนหา เธอเล่าว่า “เธอเสียวสุดๆๆ ไม่เคยเสียวแบบนี้เลย ถึงแม้หน้าตาจะทุเรศ แต่เพราะยาปลุก sex และบรรดาดี้คนอื่น เต้นยั่วด้วยแล้ว เธอกลับมีอารมณ์มากมาย” เขาเวียนไปดื่มน้ำสวาทของพวกเธอ แต่ด้วยอารมณ์ที่พุ่งพร่าน เธอและดี้อีกคนหนึ่งก็หันมาทำกันเอง ทำให้เธอเสร็จไปหลายรอบ และแล้วก็ถึงคิวเธอเสียว เขาจับเธอยืนพิงกำแพง เขาได้เอาลิ้นเลียตั้งแต่ปลายเท้าเธอขึ้นมา เขาจับขาเธอยกขึ้นพาดบ่า แล้วเงยหน้าขึ้นไปเลีย เขาเลียไปสลับกับเอานิ้วสอดใส่ไป เธอเสียวมากมาย ไม่ช้าเธอก็เสร็จเป็นของเขา (ยังมีอีกหลายท่า จินตนาการต่อกันนะคะ) ในคืนนั้น เธอและดี้อีก 3 คนเสร็จไปหลายสิบยก พวกเธอตื่นมาตอนบ่ายสองของอีกวันหนึ่ง เธอและดี้ทั้งหลายอยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่า

เราถามเธอว่า “เมื่อตื่นมาแล้วโกรธเขาไหม” เธอตอบว่า “โกรธสิ แต่ด้วยความสุขเมื่อคืน ทำให้โกรธเขาไม่ลง เธอมารู้ความจริงว่า จริงๆแล้ว ไม่มีใครมา party ที่ห้องเขาหรอก พวกดี้อีก 3 คน ก็ถูกเขาหลอกมาจากใน pirch เหมือนกัน แต่ก็นะ เมื่อแลกกับความเสียวที่ได้รับแล้ว ก็ไม่มีใครจะติดใจเอาความ ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ถือว่าเป็น “คืนแห่งความสุข” ก็แล้วกัน”

เพื่อนๆอ่านแล้ว “น้ำ” เริ่ม “ซึม” อ่ะดิ (หยิบ!!! กระดาษทิสชู่ซับด่วนพี่น้อง) เรื่องนี้อยากให้เพื่อนๆได้อ่านไว้เป็นประสบการณ์ ทอมที่หน้าตาไม่ดี พออ่านเรื่องนี้แล้ว อยากจะมีประสบการณ์แบบนี้ ก็อย่าไปใช้วิธีนี้ล่ะ (หน้าตาไม่ดี แต่จิตใจดี ก็ชนะใจดี้ได้แล้ว) ไม่ดีนะคะ ไม่ดี เดี๋ยวนี้สังคมเราพัฒนากันมากขึ้นแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ก็เลยยังไม่มีใครได้จับทอมคนนั้นลงโทษ แต่ถ้าเอามาทำตอนนี้ ทอมคนนั้น ก็คงจะโดนพวกดี้อย่างเรา รุมประชาทัณฑ์ด้วยแส้, เทียนพรรษา, รังมดแดง, ด้าม Hammer, และพืชผักสวนครัวอีกหลายอย่าง (พริก ข่า ตะไคร้ มะระ ฯลฯ) ที่จะหาได้ตามครัวเรือน

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551

Sex ตอนที่ 3

หลังจากที่เธอได้ผ่านประสบการณ์ การมีแฟนเป็นทอมที่เด็กมาก และมีอายุมากแล้ว เธอได้เรียนรู้มากมายถึง ความเปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาที่ต่างของอายุของพวกเขา (วันนี้จะเกริ่นน้อยหน่อยนะ เรื่องยาวนิดนึง)

เมื่อเธอเข้าเรียนมหาลัยแล้ว เธอเป็นเพียง freshy รุ่นน้องปีหนึ่ง เป็นธรรมดาที่เธอจำเป็นต้องเข้าชมรม เธอได้เลือกเข้าชมรม “ดนตรีไทย” (ที่เธอเลือกชมรมนี้ ไม่ใช่เพราะต้องการไปตีฉิ่งหรอกนะคะ แต่เธอเคยถนัดตีขิม ตั้งแต่เรียน ม.ปลายแล้วต่างหาก) โชคชะตานำพาให้เธอมาพบกับประธานชมรม “ดนตรีไทย” พี่ “Q” (ย่อมากจาก Quantity หรือ Quality กันแน่คะ) พี่ Q อายุมากกว่าเธอ 4 ปี เป็นทอมที่มีบุคลิกเหมือนผู้ชายมาก เขาใส่ชุดนักศึกษาชาย หน้าอกแบนราบ สะโพกก็ไม่มี เธอประทับใจในหน้าตา และเรือนร่างของเขานัก (ช่างแมนอะไรเช่นนี้) ที่ผ่านมาเธอมักจะมองเจอแต่ทอมที่มีสะโพกงอน มีเอวคอด มีหน้าอกตูมๆ เห็นแล้วทำให้เธอสับสนว่า นี่ทอม หรือผู้หญิงห้าวกันแน่ (คุณทอมคะ เรารู้ว่าทอมหลายๆคนต้องการทำให้ตัวเองดูดีเป็นที่สนใจของสาวๆ แต่ทอมหลายคนไปให้ความสำคัญกับการทำผมให้ “ตั้ง” มากเกินไป จนลืมละเลยที่จะมาสนใจ “หน้าอก” ของพวกคุณ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะมองดูหน้าอกของพวกคุณก่อน ประเภทมีหน้าอกโตไม่เท่าไหร่ แต่มีหน้าอกแล้วมันไม่กระชับนี่สิ จะกลายเป็น “ทอมป้า” ไม่รู้ตัวนะคะ พวกคุณควรจะไปหาเสื้อในแบบ sport มาใส่บ้างนะคะ บางทีเราเดินตามห้างแล้วเห็นทอมประเภทนี้ เรายังเบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน) เธอยอมรับว่า เธอเล่นหูเล่นตาใส่เขา แหม ทอมดูแมนอย่างนี้ ยากนะที่จะปล่อยให้หลุดมือ หลังจากนั้นไม่กี่วัน เธออยู่ซ้อมดนตรีจนดึก เขาในฐานะประธานชมรม จึงกล่าวชวนเธอไปค้างที่ห้องเขา ใจของเธอโลดเต้นอีกครั้ง ถึงแม้จะตอบ “ตกลง” แต่ก็อดที่จะกลัวไม่ได้ เพราะประสบการณ์ที่เธอได้เรียนรู้จาก พี่ปอ (ทอมมีอายุ เรื่องเมื่อวาน ใครที่เพิ่งมาอ่าน เลื่อนลงไปอ่านนะคะ) ทำให้เธอจำเป็นต้องถามเขาก่อนว่า “พี่คะ ขอถามตรงๆนะคะ ว่าเวลาพี่มี sex กับใครก็ตามพี่ใช้ sex toy ไหม” เขาหันมายิ้มกับเธอ แล้วตอบว่า “ไม่หรอก พี่ใช้ลิ้น” เขาอ้าปาก พลางตวัดลิ้นไปมาให้เธอดู เธอเสียวและแอบคิดในใจว่า “คืนนี้แหละ เธอจะมีความสุขอีกครั้งหนึ่ง อดอยากมานานแล้ว”

เมื่อเธอมาถึงห้องเขา เขาผลักเธอไปที่เตียง บรรจงจูบเธอตั้งแต่หน้าผากไล่ลงมา มือก็ปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของเธอออก ปลดเสื้อใน เขาใช้นิ้วและลิ้นตวัดลงมาที่อกของเธอ เธอร้อง “ครางเบาๆ” แต่ก็ต้องเงียบเสียงเพราะว่าเขาร้อง “ครางดัง” กว่าเธออีก เขาไซร์ซอกคอจนเธอเสียวสะท้าน พลางจับมือเธอไปถอดเสื้อเขาและปลดผ้ารัดหน้าอกของเขาออก เขาร้องขอให้เธอ ลูบไล้หน้าอกเขา (เธอไม่คิดอะไร คิดว่าเขาต้องการให้เธอกระตุ้นอารมณ์เขาบ้าง) แล้วเขาก็พลิกตัวลงนอน เธอนอนบนตัวเขา เขาขอให้เธอไซร์คอเขา รวมถึงดูดหน้าอกเขาอีก (เธอทำไป แต่ก็แอบงงอยู่ในใจ เพราะเธอเคยรับรู้ว่าทอมจะไม่ให้สาวแตะตัว หรือล่วงเกินไม่ใช่? หรือว่าทฤษฎีที่เธอมีผิด) เขาขอให้เธอลูบไล้ ขยำ และดูดหน้าอกเขาต่อไป เขาร้องอย่างมีความสุข (เธอเริ่มคิดหนัก อะไรกันนี่) เขาจับตัวเธอพลิกมาอีกครั้ง แล้วบรรจงถอดกางเกงในเธอแล้ว oral ให้เธออย่างอ่อนโยน (เธอเสร็จไปหนึ่งยก ความรู้สึกถึงสวรรค์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง) แต่แล้วเธอก็ต้องตกใจ เมื่อเขาถอดกางเกงเขาออกแล้วลงไปนอนแหกขา แล้วกดหัวเธอลงไปตรงนั้นของเขา เธอถามว่า “จะให้เธอทำยังไง” เขาบอกว่า “ก็ทำแบบที่พี่ทำกับหนูไง oral ให้พี่ เร็วเข้าตรงนั้นพี่แฉะแล้ว” เขากดหัวเธอลงไป เธอ oral ไปพลางคิดในใจว่า “เขาเป็นทอมประเภทไหนนะ จริงๆแล้ว เธอต้องการทอมประเภท one way ที่ทำให้เธอคนเดียวมากกว่า เธอสนุกกับการเป็นผู้รับมากกว่า” เธอ oral ให้เขา จนลิ้นเธอจะเคล็ดแล้ว เขาได้แต่ส่ายสะโพกไปมา ร้องครวญครางลั่นห้อง (เสียงร้องของเขานั้น เหมือนแม่วัวกำลังถูกเชือดก็ไม่ปาน) แต่ไม่มีวี่แววจะถึงสวรรค์สักที เธอเริ่มเมื่อยกราม ลิ้นชา หายใจเริ่มไม่ออก ไม่นานปากเธอต้องเปื่อยแน่ๆ (เธอด่าเขาในใจว่า “เป็นทอมประเภทไหน มาให้เธอทำให้ แล้วยังจะอึดอีก อยากจะบ้าตาย”) เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า เขาก็ถึงสวรรค์จนได้ (ลุ้นแทนเลยนะเนี่ย) เขาชวนเธอไปชำระร่างกายในห้องน้ำ แล้วเธอก็ตกเป็นของเขาอีกหนึ่งยกจนได้ เขาขอร้องให้เธอช่วยให้เขาถึงสวรรค์แบบเมื่อกี้อีกยก (เธอยิ้มแบบแหวะๆ ปากเธอใกล้เปื่อยแล้ว ลิ้นเธอก็เมื่อยจะแย่แล้ว มีคนเคยบอกว่า “ลิ้น” เป็นกล้ามเนื้อในร่างกายที่แข็งแรงที่สุด แต่ด้วยอึดของพี่ Q อาจทำให้ลิ้นของน้องยิ้มเรา ต้องนำไปให้หมอเข้าเฝือกแน่นอน) แต่เธอก็ตอบรับไป (อยากจะรู้นักคราวนี้จะอีกกี่ชั่วโมง) ยกที่สองของเขา ปาเข้าไป ชั่วโมงครึ่ง เขาบอกว่า “พี่เก่งไหม อึด (พี่อึด แต่หนูจะตายเอาสิ) หนูเก่งนะ กระดกลิ้นไม่หยุดเลย จะต่ออีกยกไหม เดี๋ยวพี่ทำให้” ถึงแม้ใจเธอจะตอบว่าอยาก แต่ด้วยสังขารลิ้นของเธอแล้ว ขอพอแค่นี้ดีกว่าพี่ เข็ดจะแย่แล้ว (ครั้งนั้นเป็นครั้งเดียวที่เธอมีโอกาสได้สัมผัสกับพี่ Q “Tom two-way” เพราะเธอจะจำไว้จนตาย)

เธอถามเราว่าพี่ Q เป็นอะไร ผิดปกติไหม เป็นโรคจิตหรือเปล่า ทำไมต้องให้เธอทำให้ด้วย เราก็เลยให้ definition ไปว่า ทอมแบบพี่ Q ชาวเราจะเรียกเขาว่า Tom two-way คือเป็นทอมที่เป็นทั้ง “ฝ่ายรับและฝ่ายรุก” ในเวลาเดียวกันนะจ๊ะ ส่วนทอมมีอายุกับทอมเด็ก สองคนแรกที่เธอได้มี sex ด้วย เรียกว่า Tom one-way คือจะเป็นฝ่ายรุกอย่างเดียว แค่เห็นผู้หญิงถึงสวรรค์เขาก็มีความสุข (ช่างเป็นความประเสริฐแท้ๆ) ส่วนเธอ เราเรียกเธอภาษาชาวบ้านว่า “ดี้ขี้เกียจ”

ดี้ทั้งหลายที่ได้อ่านเรื่องราวนี้แล้ว พวกคุณต้องเห็นใจทอมนะคะ เพราะพวกเขายอมปากเปื่อย ยอมลิ้นเคล็ด ยอมเมื่อยกราม เพื่ออะไร? ถ้าไม่ใช่เพื่อความสุขของพวกคุณ

“ใช้ทอมอย่างรู้คุณค่า เพื่อวันข้างหน้าทอมไม่ขาดแคลน”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551

sex ตอนที่ 2

เพื่อนๆ หลายคนอารมณ์ค้างกับเรื่องราวเมื่อวาน หลายคนไม่รีรอที่จะไปลงกระทู้เพื่อหาทอมเด็ก (ใจเย็นๆไว้นะคะ บางทีอาจเป็นแผนของเรา ล่อให้เพื่อนๆไปหาทอมเด็กๆ เราจะได้ไปคบกับทอมมีอายุแทน ล้อเล่นนะคะ) ต้องขออภัย พี่ทอมอายุมากด้วย ที่เรื่องเมื่อวานอาจจะทำให้พวกพี่ๆ ว้าวุ่นใจ หลายท่านอาจกำลังก้มลงมองดู “นิ้วมือ” ที่เริ่มจะเหี่ยว และเสื่อมสภาพตามกาลเวลา (hand cream หลอดละล้าน ก็คงช่วยเรียก “ความเต่งตึง” กลับมาไม่ได้) แต่เรื่องวันนี้ก็อาจจะทำให้พี่เครียดหนักไปอีก (อย่าคิดมากนะคะ แค่ประสบการณ์ของดี้คนหนึ่งก็เท่านั้น มั่นใจในตัวเองไว้แล้วกัน)

“ยิ้ม” (นามสมมติ) ที่เราตั้งให้กับเพื่อนเรา ผู้ที่ยินยอมมา share ประสบการณ์กับเรา (ขอบคุณนะจ๊ะ) เรื่องเมื่อวานที่เราลงไป เธอเล่าไป ยิ้มไป เสียวไป (อ่ะนะ แอบเสียวด้วย) เราได้ถามเธอว่า “ไม่มีเรื่อง Sex แบบที่ไม่ประทับใจเลยเรอะ” เธอบอกว่า “ก็หลายเรื่อง เรื่องที่จะเล่านี้ เอาแบบ เบาะๆ ก่อนแล้วกันนะ ยังไม่ถึงกับไม่ชอบที่สุด แต่ก็ไม่ Happy น่ะ” ประสบการณ์เรื่องนี้ของเธอ เกิดขึ้นช่วงเวลาสั้นๆก่อนที่มหาวิทยาลัยจะเปิดภาคเรียน

เธอเข้ามากรุงเทพ เพื่อเรียนต่อ เธอมาหาเช่าหอพัก อยู่ตรงข้ามมหาวิทยาลัย ตอนแรกคนดูแลหอ บอกว่าห้องเต็ม เธอจึงหันหลังเดินกลับ แต่ก็มีมือข้างหนึ่งมาคว้าเธอไว้ “ปอ” ทอม อายุ 40 กว่าๆ เจ้าของหอพักสตรี ได้เสนอให้เธอไปเช่าอยู่ห้องน้องสาวเขาไปก่อน (น้องสาวเขาย้ายออกไปดูแลหอพักอีกที่หนึ่ง) เธอได้ตกลง ทำสัญญาเช่าห้อง เขาคือเพื่อนคนแรกที่เธอรู้จักในกรุงเทพ เขาแสดงท่าทีสนใจเธออย่างมาก เธอก็กำลังอยากจะมี Sex อยู่พอดี (อดอยากมาหลายวันแล้ว) เมื่อความต้องการของทั้งสองคนตรงกัน คืนนั้นเธอก็เชื้อเชิญให้เขามานอนเป็นเพื่อนเธอ (มีดี้มา offer ให้แบบนี้ มีหรือที่ทอมจะไม่สนอง) เขาได้มาหาเธอที่ห้องตามคำเชิญ เธอเดินไปเปิดประตู เขายื่นดอกกุหลาบแดงหนึ่งดอกให้เธอ แล้วถามเธอว่า “จะรังเกียจทอมมีอายุอย่างเขาไหม เขาอยากจะคบกับเธอเป็น มากกว่าเพื่อน (แฟน)” เธอยิ้มเอียงอายแล้วก็ พยักหน้าตกลง เธอเชิญเขาเข้ามาที่ห้อง เขามองเรือนร่างของเธอ ที่มีแค่ชุดนอนบางๆปกคลุมร่างกายไว้ ชวนให้เขามีอารมณ์ยิ่งนัก เขาไม่รอช้า ก้าวเข้าไปกอดเธอ และบรรจงโน้มริมฝีปาก (ที่หนามากๆๆ) kiss เธอ สักพัก เธอก็เบือนหน้าหนีการ Kiss ที่หยาบคาย และกระหื่นหายในกาม เขาไม่ได้ใช้ริมฝีปากที่นุ่มนวลบรรจงถ่ายทอดลงไป เหมือนที่ทอมเด็กได้เคยทำไว้กับเธอ แต่ใช้ปากทั้งปาก เขมือบริมฝีปากเธอ (ดังจ๊วบๆๆ) ทำให้ปากเธอชุ่มช่ำไปด้วยน้ำลายของเขา (แหวะ เราฟังแล้วนึกภาพตาม แล้วจะอาเจียน) เธอก็สะอิดสะเอียน เธอค่อยๆถอดเสื้อออก เพื่อจะให้เขาลงไปสนใจส่วนอื่นของร่างกายเธอบ้าง เขาได้เลื่อนหน้าลงมาที่หน้าอกเธอ แทนที่จะค่อยๆไซร์ให้เธอเสียวแบบที่ทอมเด็กเคยทำ แต่เขากลับดูด และขยำแบบไม่มีความนุ่มนวลเอาเสียเลย เธอเกือบจะหมดอารมณ์ แต่ด้วยความเชื่อที่ว่า “ทอมทุกคนเก่งเรื่อง sex” (ทำให้เธอแอบมีความหวังเล็กๆว่าเขาจะทำให้เธอถึงสวรรค์ได้ในไม่ช้า) เขาเลื่อนหน้าลงมาที่หว่างขาเธอ ก่อนจะดึงกางเกงในตัวน้อยออก เขาถ่างขาเธอให้กว้าง เธอคิดว่าเขาจะต้อง Oral ให้เธอแน่แล้ว (เธอเตรียมตัวเสียวรอไว้) แต่แล้ว เขากลับลุกขึ้นเดินไปหยิบของที่เขานำมาด้วย OH God!!!! สิ่งที่เขาไปหยิบมาคือ “อุปกรณ์เสริมทุ่นแรง (sex toy)” เขายื่นให้เธอดูพร้อมบอกกับเธอว่า “อันนี้เคยผ่านการใช้กับคนๆเดียวเอง เป็นแบบใหม่ สั่นได้หลายระดับ พี่ทำความสะอาดแล้ว ใช้เสร็จ ก็เก็บไว้ที่ห้องหนูนะ เวลาพี่แวะมาอีก จะได้ไม่ต้องถือไปถือมา นี่พี่คิดจะคบหนูจริงจังนะเนี่ย ถึงได้เอามาฝากไว้เลย” (เราเริ่มจะเวียนหัวแล้วคะเพื่อนๆ ฟังเรื่องราวนี้แล้วทำให้ขยาดเลย) ต่อๆๆนะ เธอมองเขาทาอะไรบางอย่างรอบๆ sex toy อันนั้น เขาบอกว่า “ยอมพี่นะ แล้วหนูจะมีความสุข” ด้วยความอยากรู้ อยากลอง เธอก็ให้เขาทำกับเธอโดยใช้ sex toy จนเสร็จหนึ่งยก (ดีนะ ที่เธอเคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาแล้ว ไม่งั้นเจอ toy เข้าไปครั้งแรก ก็อาจจะเลือดออกได้) เมื่อเสร็จแล้ว เขากอดเธอแล้วกระซิบข้างหูว่า “เป็นของพี่แล้วนะ” แล้วเขาก็ล้มตัวลงนอนข้างเธอ เธอออกอาการ “งง” เล็กน้อย คิดในใจว่า “เขาพักแปปนึงแล้วเดี๋ยวจะมาต่อกับเธอใหม่ เพราะเธอกำลังมัน (ไม่ค่อยเสียวเท่าไหร่ แต่ก็แก้ขัดไปก่อนได้)” ที่ไหนได้ เขาหลับไปจริงๆ คืนนั้นเธอนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา จนในที่สุดตัดสินใจไปสะกิดเขาแล้วบอกว่า “ขออีกสัก 2 ยกนะคะ แล้วค่อยนอน” เขาหันมาตอบเธอด้วยน้ำเสียงที่เพลียๆว่า “คืนนึงแค่ยกเดียวก็พอแล้ว พี่เหนื่อยแล้ว จะทำอะไรกันนักกันหนา” เธออึ้งและโกรธเขามาก ที่เขาบอกว่า “เหนื่อย แค่นั่งขยับ sex toy แค่นี้เหนื่อย อะไรกันเนี่ย คืนละยก จะเพียงพอไหมล่ะ (คนเก่ายังอย่างต่ำเกือบ 10 ยกเลย)” ถ้าคบกับทอมมีอายุแล้วต้องอดอยากเรื่อง sex แบบนี้เธอขออยู่คนเดียวดีกว่า แต่เธอก็อดทนคบและมี sex กับเขา (ยังคงคืนละยกเหมือนเดิม) ได้เกือบ 2 เดือน เธอหาหอพักใหม่ได้ เธอก็ย้ายออกไป พร้อมกับตั้งใจแน่วแน่ว่า จะไม่คบทอมมีอายุอีก ประสบการณ์ครั้งนี้ สอนให้เธอรู้ว่า “อะไรก็ไม่ดีและไม่เสียวเท่า ลิ้น และความอ่อนโยนของผู้ร่วมกิจกรรม”

เพื่อนๆ เรื่องในวันนี้เป็นเรื่องจริงจากประสบการณ์ ดี้คนหนึ่งเท่านั้น ที่อาจจะเจอประสบการณ์ที่ไม่ค่อยจะดี จากทอมมีอายุท่านนึง ไม่ได้หมายความว่า ทอมที่มีอายุทุกคนจะเป็นแบบนี้นะคะ (โปรดใช้สติในการอ่านด้วย) ทางที่ดี เพื่อนๆ ควรถามและทำความเข้าใจกับพี่ๆทอมมีอายุดูก่อนว่า “ลิ้นพี่ใช้งานได้หรือเปล่า เป็นตะคริวตามตัวบ่อยไหม เหนื่อยง่ายหรือเปล่า คืนหนึ่งได้กี่ยก” ถามก่อนแล้วค่อยตัดสินใจคบ ก็จะดีไม่ใช่น้อย (ว่าไหมคะ?)

ข้อชี้แจง ทอมชรา หรือทอมมีอายุส่วนใหญ่ อาจจะ มองแต่เรื่องของการงาน ความมั่นคงของชีวิตคู่ คือง่ายๆ มองผ่านเรื่อง Sex ไปแล้ว จนอาจจะทำให้ละเลย ที่จะเหลียวมามองจุดเล็กๆของกิจกรรมหลัก “Sex” ทอมมีอายุหลายคน ที่กำลังอ่านเรื่องราวของเราในวันนี้ อาจจะรู้สึกไม่พอใจ อย่าร้อนตัวนะคะ ถ้าคุณมี “ทีเด็ด” ก็ไม่ต้องกลัวอะไร จริงไหม? ดี้ทั้งหลายคะ ถ้าเรามองอีกมุม ไม่แน่นะคะ ทอมมีอายุ อาจมีชั่วโมงบินที่สูงมากกว่า ทำให้รู้จุดมากกว่าก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะมีชั่วโมงบินสูงมากไป ทำให้เริ่มจะเบื่อแล้วก็ขี้เกียจที่จะทำก็ได้ (ทุกสิ่งทุกอย่างมีสองด้านเสมอนะคะ) อย่าตัดสินอะไรเพียงด้านเดียว

ถ้าสิ่งที่เราเขียน ไปกระทบต่อมกระตุกของใคร ก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยคะ พรุ่งนี้มาต่อประสบการณ์เรื่องที่ 3 รับรองเรื่องราวอาจตรงกับหลายๆคู่แน่นอน

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน ขอบคุณสำหรับทุก comment (เป็นกำลังใจให้เราเขียนต่อ)

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

Sex ตอนที่ 1

วันนี้เป็นอีกวัน ที่เรา “ป่วยเฉพาะกิจ” ลาหยุดอีกแล้วเพื่อนพี่น้อง ไม่ได้ขี้เกียจอะไรหรอกนะ เพียงแต่ว่า ไม่ค่อยสบายนิดหน่อยจริงๆ ตื่นมาตั้งแต่ 8 โมงเช้า แต่นอนพลิกไปพลิกมา กว่าจะได้ “ฤกษ์” ลุกจากที่นอน ก็ปาเข้าไปเกือบ 10 โมงเช้าแล้ว สาว hyper อย่างเรา นอนมากกว่านี้คงไม่ได้ (เดี๋ยวจะหงุดหงิด ของขึ้น) ลุกขึ้นมาที่โต๊ะทำงาน เหลือบไปเห็นปฏิทิน ช่วงนี้มี “งานไทยเที่ยวไทย และงาน health cuisine & beauty festival” ที่ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์นี่นา ไม่รอช้า ออกไป “ส่องทอม” ดีกว่า แต่กว่าเรา จะอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็ปาไปเกือบเที่ยงแล้ว (วันนี้ขอ “งด” ขับรถสักวัน นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปดีกว่า) เดินตั้งแต่ บ่ายโมง ถึง สี่โมงเย็นกว่าๆ เดิน “สวน” กับคุณทอมๆ (หน้าตาหล่อบ้าง หน้าตาเหี่ยวบ้าง แต่งตัวดีบ้าง แต่งตัวยอดแย่บ้าง เดินมาคนเดียวบ้าง ควงแฟนมาด้วยบ้าง ผ่านมาตรฐานบ้าง เกือบผ่านมาตรฐานบ้าง หรือตกต่ำจน “จม” มาตรฐาน Reveal บ้าง) ก็เพื่อความบันเทิงของเราทั้งนั้น ต้องขอบคุณทอมทั้ง 39 ท่าน สำหรับการทำให้ “ทัวร์ส่องทอม ของ Reveal” ในวันนี้ มีทั้งรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ (ในใจคนเดียว) ตลอดวัน

Blog วันนี้เป็นเรื่อง ที่เอมเคยเขียนแล้ว ใน Lesla Diary แต่วันนี้เอมจะนำมา ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน (สำหรับผู้อ่านหน้าใหม่ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า เราเขียนได้ทุกแนว ไม่ใช่เฉพาะแนว “ประสบการณ์” เพียงอย่างเดียว) เป็นเรื่องแนว Sex นิดหน่อย (อยากจะเขียนใหม่อีกสักเรื่องนะคะ แต่สภาวะปัจจุบันของ “คนโสด” เช่นเรา คงจะหาประสบการณ์ยาก)

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ Sex ของดี้คนหนึ่ง จะมี 5 ตอน 5 เรื่องราว (ไม่ยาวเกินไปนะ ถ้าเพื่อนๆ อยากจะเรียนรู้ประสบการณ์ ที่คุณไม่จำเป็นต้องลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง เพราะมีคนลองให้แล้ว ก็ต้องอดทนอ่านนะจ๊ะ) เรื่องราวนี้ต้องขอบคุณในความร่วมมืออย่างดีเยี่ยมจาก “ยิ้ม” (นามสมมติ) ดี้วัย 24 ปี ที่ยอมมา share และเล่าประสบการณ์ Sex ที่เธอได้เคยผ่านมา (เห็นวัยแค่ 24 เนี่ย ก็โชกโชนเหมือนกันนะ เรื่องที่เธอผ่านมา เพื่อนๆบางคนผจญภัยมาทั้งชีวิต ก็ยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง) มารู้จักเธอกันคร่าวๆก่อนนะ เธอหุ่นดี สวย ขาว อึ๋ม นิสัยส่วนตัวเธอไม่ชอบการผูกมัด เธอมักจะคบคนไปเรื่อยๆ เธอติด Sex ชอบเรียนรู้และลองของ ปัจจุบัน เธอก็มีตัวตนอยู่ในสังคมเรา แวะเวียนเดินทางตามหาประสบการณ์แปลกๆใหม่ไปเรื่อยๆ เริ่มเรื่องของเธอเลยดีกว่านะคะ

เธอเป็นเด็กต่างจังหวัด เธอเคยมีแฟนเป็นผู้ชาย คบกันตั้งแต่เรียนม.ปลาย แต่ผู้ชายก็ต้องทำให้เธอ “ผิดหวัง” ไม่ใช่ที่นิสัยเข้ากันไม่ได้หรอกนะ แต่เพราะผู้ชายส่วนใหญ่ที่เธอเคยผ่านมา Sex ไม่ได้เรื่อง ไม่ถูกจุด ไม่ถูกใจ เห็นแก่ตัวเอง พอแข็งตัวปั๊ป ก็จะเอาใส่อย่างเดียว โดยไม่รู้ว่าเธอพร้อมที่จะรับหรือยัง (วันนี้ทะลึ่งนิดๆนะคะ ใครที่อายุเด็กหรือแก่เกินไป รบกวนปรึกษาผู้ปกครองก่อนอ่านด้วย) เพื่อนของเธอที่เคยมีแฟนเป็นทอมมาโม้ให้ฟังว่า “เพิ่งจะรู้ว่า จุดสุดยอดที่เขาเรียกๆกันเป็นอย่างไร? มีแฟนเป็นทอมดีที่สุดเลย” ด้วยความที่เธออยากรู้อยากลอง เธอจึงไหว้วานให้เพื่อนเธอติดต่อทอมคนหนึ่งให้ “นุ๊ก” (ทอมมัธยมต้น) ทอมเด็กผู้โชคดีที่ได้เป็นแฟนทอมคนแรกของเธอ ตอนนั้นเธอเรียน ม.6 เขาเรียน ม.1 (อ่ะนะ ทำให้เรารู้ว่า สมัยนั้น ม.1 ก็อ่ะนะแล้ว) ปัจจัยในการคบของเธอไม่ใช่แค่หน้าตาที่ทำให้เธอประทับใจของเขา ถ้าจะให้ดีต้องลอง sex ของเขาก่อน ว่าจะผ่าน standard ของเธอไหม? เขาได้พาเธอไปที่ห้องรายวันแห่งหนี่งในตัวเมือง เขาบอกให้เธอไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวเขาจะสั่ง Spy มาดื่มย้อมใจ เธออาบน้ำไป คิดไปว่า “จะไหวเรอะ? เด็กขนาดนี้” เธอแอบกังวลในใจลึกๆ ว่า “เขาจะทำให้เธอเสร็จได้ไหม แต่เอาล่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ลองสักทีจะเป็นไรไป” เมื่อเขากลับมา เขาก็ดันเธอให้ไปนอนที่เตียง ดึงผ้าเช็ดตัวเธอออก ดึงเธอเข้ามาแนบกาย แล้ว kiss หลังจากนั้น ก็บรรจงกดริมฝีปากไปตามร่างกายเธอ เธอสั่นสะท้านแล้ว........โอ๊ย เขาช่างรู้จุดเสียวของเธอ เขาช่างโอ๊ว..... สุดยอด ( เซ็นเซอร์ เดี๋ยวจะโดนแบน จินตนาการต่อกันเอาเองนะคะ) เอาเป็นว่า คืนนั้นเธอตกเป็นของเขา 10 รอบ เขาทำให้เธอแบบ non stop เธอยอมรับว่า “เขาสุดยอดจริงๆ ตั้งแต่เธอมี sex มา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอเสร็จสุดๆๆๆๆ เธอเป็นฝ่ายรับความสุข โดยไม่ต้องให้ความสุขนั้นกลับไปหาเขาเลย” เธอติดใจในรสชาติ sex ของเขามาก เธอประกาศก้องว่า “จะขอมีแฟนเป็นทอมไปจนตาย ผู้ชายไม่เอาแล้ว มีแต่เห็นแก่ตัว (เอ๊ะ แล้วที่เธอเป็นฝ่ายรับอย่างเดียวแบบนี้ เรียกว่า เห็นแก่ตัวหรือเปล่า)” ทุกเย็นหลังเลิกเรียน เขาและเธอจะมาเปิดห้องเช่ารายวันเพื่อจะบรรเลง sex กัน จากการเปิดห้องเช่ารายวัน เธอก็ตัดสินใจ เช่ารายเดือนซะเลย เพราะไหนๆก็เข้าทุกวันอยู่แล้ว (ระหว่างที่เธอเล่าเรื่องราวกับเรา เธอกระซิบกับเราว่า “ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยลืมความเสียวของลิ้นน้องคนนั้นได้ ช่างมีความสามารถในการใช้ลิ้นซะนี่กระไร ลิ้นที่เป็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรง เมื่อ “ตวัด” อย่างมีจังหวะ ช้าบ้าง เร็วบ้าง ตามการโยกของสะโพกเธอ”) แต่ความสุขของเธอและเขาก็มีอันต้องจบลง เพราะเธอได้เรียนจบ ม.6 แล้วต้องเข้ามาต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ เธอคิดว่า “ไม่เป็นไร เธอไปหาทอมเอาในกรุงเทพก็ได้ เพราะเธอก็เริ่มเบื่อรสชาติ sex เขาแล้วเหมือนกัน” เมื่อเธอมากรุงเทพ เธอและเขาก็ต้องแยกทางกันไป

ดี้คนไหนที่เคยมีแฟนเป็นทอมเด็กๆๆๆ คงจะบ่งบอกความรู้สึกกระชุ่มกระชวย และเสียวซาบซ่านได้ดี (จริงเรอะเนี่ย เขียนเสร็จไปมองหาทอมเด็กๆบ้างดีกว่า) สำหรับคนอ่านที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ได้ลิ้มลองรสรักของทอมเด็กๆ (อย่ามัวไปตั้งกระทู้หาทอม 30 up อยู่เลย หันมาหาทอมเด็กดีกว่า) เปลี่ยน trend มาบริโภคของเด็ก และสดกันดีกว่า เพราะพวกเขาทดแทนอายุที่น้อยของเขาด้วยลีลารัก ที่ขอบอกว่าถึงพริก ถึงขิง ถึงใจ จน....... ดี้ทั้งหลายคะ ไหนๆพวกเราก็เลือกที่จะคบทอมกันแล้ว ต้องลองให้ครบคะ ลองให้ทุกอย่าง

พรุ่งนี้จะเป็นประสบการณ์ sex เรื่องที่ 2 ของเธอ ใจจดใจจ่อมารออ่านได้เลย รับรองเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นี่แค่เรียก “น้ำย่อย” สุดท้ายอยากฝากไว้ Save Sex นะคะ มี Sex อย่างปลอดภัย

ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

ก้อนหินสีขาว

Blog วันนี้ เราอยากจะนำเสนอ เรื่องราวที่จะมอบ “แง่คิด และสร้างสรรค์มุมมอง” กับ คนที่อ่าน (อย่างตั้งใจ)

ชายคนหนึ่ง เดินทางเข้าไปในเมืองแห่ง “หัวใจ” เขาประหลาดใจมาก เพราะหัวใจทุกดวงปิดสนิท ไม่มีหัวใจดวงไหนเปิดประตู รับเขาเข้าไปเลย เขาจึงไปหาปราชญ์ผู้รู้ และถามว่า “เป็นไปได้อย่างไร? ที่หัวใจทั้งหลาย “ปิด” สำหรับเขา แม้ว่าเขาจะเคาะเท่าไร ก็ไม่มีหัวใจดวงไหนเปิด” ผู้รู้ส่งก้อนหินสีขาวให้เขา และกล่าวว่า “เอาเครื่องรางนี้ติดตัวไว้ ก้อนหินนี้จะสามารถเปิดหัวใจทุกดวง แม้แต่หัวใจที่ดื้อรั้นที่สุด”

ชายคนนั้นนำก้อนหินขาวกลับไปที่เมืองแห่งหัวใจ ขณะที่เขาเดินไปตามถนน เขาแปลกใจอย่างยิ่ง ประตูแห่งหัวใจทุกดวงเปิดออก แม้เขายังไม่ได้ทันได้เคาะ และยังเชื้อเชิญให้เขาเข้าไปข้างใน ด้วยความดีใจ เขารีบวิ่งไปหาปราชญ์ที่ให้อาวุธวิเศษ และบอกว่า “ก้อนหินขาวนี้ช่างวิเศษจริงๆ มันสามารถเปิดหัวใจทุกดวงได้อย่างง่ายดาย”

“จงเก็บรักษามันไว้ตลอดไป แล้วจะไม่มีหัวใจดวงไหน ปิดสนิท สำหรับเจ้าอีกต่อไป” ปราชญ์กล่าว

“ก้อนหินสีขาววิเศษนี้ชื่ออะไร?” เขาถามต่อ

“ความรัก” ปราชญ์เน้นอย่างหนักแน่น

“ความรัก มีอานุภาพมากเพียงนั้นเลยหรือ?” เขาถาม

“ความรักที่จริงใจนั้น มีพลังที่จะทลายกำแพงหัวใจที่ปิดกั้น ปิดตายเพราะ อดีตและความทรงจำได้เสมอ” ปราชญ์พูดก่อนจะเดินหันหลังจากไป

หลายครั้งที่คนเรามักจะมองคนที่เขามีเสน่ห์ และแอบอิจฉาอยู่ในใจ เฝ้าถามตัวเองว่า ทำอย่างไร? เราถึงจะมีเสน่ห์ และมีคนรักอยู่รอบตัวได้เหมือนเขา คำตอบไม่ได้อยู่ที่ว่า “คนที่มีเสน่ห์นั้น เขาร่ำรวย เกิดมาหน้าตาดี รูปร่างดี มีการศึกษา หรือมีโอกาสที่ดีกว่าคุณ พวกเขามีเพียง “ความรัก” ที่ให้กับคนรอบตัวอย่างจริงใจ และ “ความรัก” นี่แหละ ที่สามารถ ใช้เปิดหัวใจของใครหลายๆคนได้อย่างน่าอัศจรรย์

จงให้ความรัก และความจริงใจ กับคนทุกๆคนรอบตัวคุณ และคุณจะพบ “อัศจรรย์แห่งชีวิต” ที่แท้จริง

เรามีความหวังอย่างยิ่งว่า “เรื่องราวข้างบนนี้ จะให้แง่คิด และกระตุกต่อมความคิด ให้กับใครสักคนที่กำลังเดินวนเวียนตามหา “ความรักแท้” อยู่ เป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆทุกคนนะคะ”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน


วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

หาหมอฟัน

ย้อนไปเมื่อวานตอนเย็น ขณะที่กำลังนั่งเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ อยู่ๆเราก็มีอารมณ์อยากจะเจ็บตัว จึงตัดสินใจว่า “ลุกไปทำฟันดีกว่า” ร่างกายจึงautomatic แปรงฟัน ไปหาหมอฟันเลย เมื่อไปถึง พนักงานต้อนรับก็ได้นำ “Menu ในช่องปาก” มาให้เลือกสรร มีตั้งแต่รายการที่เจ็บมาก ไล่ลงไปจนถึงเจ็บเสียวเล็กๆ หลังจากพลิกไป พลิกมาอยู่หลายหน้า เราจึงตัดสินใจเลือก menu “ขูดหินปูนทั้งปาก” ดีกว่า (เสียวปานกลาง ไม่โลดโพนนัก) นั่งรอสักพัก ก็มีเสียงสวยๆเสียงหนึ่ง ขานเรียกชื่อเรา เราเดินเข้าไปในห้องสีขาว ที่มีเครื่องมือเรียงราย มีตั้งแต่เข็มปลายเรียวแหลม ไล่ size ไปอย่างน่าขนลุก (คำเตือน!!! ห้องนี้ ถ้าไม่จำเป็น หรือไม่ปวดฟันเจียนตาย ไม่ควรย่างกายเข้าไป จะดีกว่า)

คุณหมอเชิญให้เรานอนลงอย่างสบาย และร้องขอให้เราอ้าปาก (คุณหมอคนนี้ ช่างทำเวลาเสียจริงๆ จะไม่ทักไม่ทายคนไข้หน่อยเลยหรือคะ?) คุณหมอเริ่ม check ฟันเราทีละซี่อย่างละเอียด ก่อนที่จะบอกว่า “ฟันกรามโยกแล้ว ควรจะถอนนะครับ? จะถอนไปพร้อมขูดหินปูนเลยหรือเปล่า?” เราพยักหน้า ทั้งๆที่ในใจกลัวอยู่ลึกๆ (ไหนๆ ก็อยากเจ็บแล้ว เจ็บให้สุดๆไปเลยวันนี้) และหมอก็ฉีดยาชาลงไปที่เหงือกอย่างช้าๆ และให้เราลุกขึ้นบ้วนปาก ก่อนที่จะเอ่ยว่า “ฟันกรามซี่ในสุดของคุณต้องถอนนะครับ? ไม่งั้นฟันอีกซี่จะขึ้นไม่ได้? วันนี้จะถอนไปเลยไหมครับ?” จังหวะนั้น เราไม่ได้คิดอะไรจึงตอบว่า “ได้คะ แล้วแต่คุณหมอเลย” และคุณหมอก็เริ่มที่จะฉีดยาชาเพิ่มเข้าไปอีก ขูดหินปูน และโยกฟันกราม (ที่แสนจะแข็งแรงของเรา) ออกอย่างลำบาก 2 ซี่ คุณหมอถามเป็นระยะ ว่าเจ็บไหม เราได้แต่ยกมือบอกว่า “ไม่” เมื่อเสร็จแล้ว คุณหมอให้เรากัดผ้าก๊อตเอาไว้ เราคิดในใจว่า “คุณหมอคนนี้มือเบามาก ไม่รู้สึกอะไรเลย เอ๊ะ! หรือว่าเพราะเขาฉีดยาชาให้เราก่อนที่จะทำ แล้วถ้ายาชาหมดฤทธิ์ล่ะ? ความเจ็บปวดจะมาเยือนไหม?”

เมื่อกลับมาถึงบ้าน สิ่งที่ทำได้ก็คือ ต้องกัดผ้าก๊อตที่ดูเหมือนจะชุ่มไปด้วยเลือด เราเปลี่ยนผ้าก๊อตชิ้นแล้วชิ้นเล่า แต่ดูเหมือนเลือดยังคงจะหลั่งออกมาไม่ยอมหยุด และแล้ว เวลาที่ยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ก็มาถึง เราเริ่มรู้สึกปวดตุ๊บๆ ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนทนไม่ไหวต้อง Take ยาไป 2 เม็ด สรุปต้องนอนปวด และกัดผ้าก๊อตทั้งคืน พูดก็พูดไม่ได้ (อึดอัดใจจัง) เราลุกขึ้นมา take ยา สลับกับเปลี่ยนผ้าก๊อตตลอดคืน (ทรมานจริงๆ)

และเช้านี้ ร่างกายเราขยับตัว เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ปลุก ถึงแม้ว่าจิตใจอยากจะตื่นมาดู “ฟ้าที่สดใส” แต่ร่างกายไม่ไหวจริงๆ ขอนอนต่อแล้วกัน วันนี้จึงขอ “ลาป่วย” ดีกว่า ตื่นมาอีกทีก็เก้าโมงกว่าแล้ว คุณแม่แนะนำให้เราไปหาคุณหมอเพื่อเช็คแผลอีกที เผื่อว่าจะอักเสบ (เพราะเลือดควรจะหยุดไหลตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ) พอไปเช็ค คุณหมอก็บอกว่า “ไม่เป็นไรมากแล้ว ปลอดภัย แต่ไม่ควรทานอาหารรสจัดประมาณ 1 อาทิตย์ ทุกอย่างก็คงกลับสู่สภาวะปกติ” (อยากจะถามคุณหมอจริงๆ ว่า “เมื่อวานใส่อารมณ์มากไปหรือเปล่าคะ ตอนถอนฟันหนูออก” แต่บางทีการสงบเสงี่ยมคำพูด ก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ)

วันนี้ “ลาป่วย” จึงมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น ขับรถพาคุณแม่ไปเที่ยว shopping ดีกว่า (สุขอุราจริงๆเลย วันหยุดนี่) มื้อค่ำวันนี้ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะพาคุณแม่ น้องสาว น้องเขย ไปทานข้าวนอกบ้านกัน (เนื่องจากคุณพ่อขับรถไปต่างจังหวัด) วางแผนกันเสียอย่างดี ก็ต้อง “ยกเลิก” เพราะคุณพ่อโทรมาบอกว่า “ให้หุงข้าวสวยไว้รอเลย วันนี้จะมี party ปู กัน”

“Party ปู” คือ การทานอาหารร่วมกันในครอบครัว ที่มีอาหารจานหลักเป็นปูทะเล หรือปูม้า ที่สดๆ เนื้อหวาน และแน่นมากๆ (ไม่ต่ำกว่า 5 กิโล) ทานคู่เคียงกับน้ำจิ้ม seafood รสเด็ด และจัดมาก โดยปกติ ที่บ้านเราจะมี party แบบนี้บ่อยครั้ง (ขึ้นอยู่กับอารมณ์เรียกร้องของคุณแม่)

เมื่อวานเช้า ขณะขับรถ สายเราก็สอดส่องไปเห็น ทอมหลากหลายบุคลิก เดินอยู่ตาม footpath จนอยากจะขับรถขึ้นไปบน footpath ถึง 2 ครั้ง 2 คราว ครั้งแรกมีวัตถุประสงค์ เพื่อ "เฉี่ยว" ทอมน่ารัก น่ากอดใส่รถกลับไปนอนกอดที่บ้าน อีกครั้งก็เพื่อ "ชน" ทอมที่แต่งตัวออกจากบ้านมา โดยไม่ปรึกษาสถาบันเสริมสร้างบุคลิกภาพเลย จับโน่นมา match นี่ ได้อย่าง "น่ากลัว" มาก

Thanks God สำหรับ “ความรัก ที่มีอิทธิพลเหนือ ความกลัว ทั้งปวง”

ขอบคุณ คุณแม่ ที่คอยโทรมาถามอาการอยู่บ่อยครั้ง (ทั้งๆที่รู้ว่าลูก กัดผ้าก๊อตอยู่ แต่คุณแม่ก็ยังคงต้องการให้ลูกเปล่งเสียงบอกเล่าอาการ) น่ารักมากคะ

ขอบคุณ น้องมอมแมม ที่ “จุ๊บ” หน้าผากพี่ก่อนนอน

ขอบคุณ น้องวอดก้า ที่คอยนอนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง และไม่สร้างวีรกรรมกับพี่มอมแมม (ยอมสงบศึกชั่วคราวเพื่อพี่)

ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนนะคะ ที่ติดตามอ่าน

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

จุดศูนย์กลาง

สิ่งที่เราชอบ คนอื่นอาจไม่ชอบ
สิ่งที่เราไม่ชอบ คนอื่นอาจชอบ
สิ่งที่เราทำได้ คนอื่นอาจทำไม่ได้
สิ่งที่เราทำไม่ได้ คนอื่นอาจทำได้

เนื่องจากเพราะ คนเรามีความแตกต่าง อย่าคิดให้ตนเองเป็น “จุดศูนย์กลาง หรือมาตรฐาน” ใดๆเลย เพราะนั่นช่างเป็นความคิดที่คับแคบเหลือเกิน

“ฝน” (ทอมหน้าตาหล่อมาก ไฮโซมาก อายุเกือบ 30) เฝ้าแต่ถามตัวเองว่า “ทำไม” ถึงไม่มีใครที่เขาคบได้นานเกิน 2 เดือน (เพื่อนๆเคยมีคำถามแบบนี้กับตัวเองบ้างไหมคะ? ทำไมคบกับใครไม่เคยยืด? ไม่เขาทิ้งคุณ คุณก็ต้องทิ้งเขาไป เพราะความเบื่อหน่าย?) ย้อนกลับไปตั้งแต่ 3 ปีที่แล้วถึงตอนนี้ เขามีแฟนมาทั้งหมด 22 คน (เขาใช้แฟนเปลืองมากๆเลย)

“การไม่เข้าใจกัน เข้ากันไม่ได้ การขัดแย้งทางความคิด การอดทนกันไม่ได้ ล้วนเป็นสาเหตุใหญ่ และสาเหตุหลัก ที่ทำให้เขาต้องเลิกกับบรรดาแฟนๆ” เขาเปลี่ยนแฟนไปเรื่อยๆ ตัวเขาเองก็มองไม่ออกว่า “เพราะเหตุผลที่แท้จริงอะไรกันแน่ ที่ทำให้ต้องเปลี่ยนแฟนเยอะขนาดนี้” เขาไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้ เขาจึงอยู่ด้วยความหวังที่ว่า “จะเจอคนที่ใช่เข้าสักวัน คนที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป” เขามาหวนคิดว่า “ที่ผ่านมาเขาก็ทำดีที่สุด และก็ไม่มีนิสัยอะไรในตัวเองเขาที่ไม่ดีเลย (แค่ความคิดไม่ย้อนมองตัวเอง และยอมรับข้อเสียของตัวเอง นั่นก็ไม่ดีแล้วนะจ๊ะ) หรืออาจเพราะแฟนทั้ง 22 คนของเขา ล้วนอายุน้อยกว่าเขาเกิน 5 ปีทุกคน นั่นสินะ สาเหตุที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแฟนบ่อย อาจเพราะเขาคบเด็กก็ได้ (นั่นจะใช่สาเหตุหรือเปล่า มาอ่านกันต่อนะคะ)” เขาตั้งใจว่านับตั้งแต่นี้ต่อไปจะคบแต่ดี้ที่อายุมากกว่า

เมื่อ 4 เดือนก่อน เขาก็ได้เจอ ดี้ (มีอายุแก่กว่าฝน 10 ปี) “มนต์” ทั้งสองคบกันปกติ แต่ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือนดี ทั้งสองก็มีอันต้องแยกทาง เธอซึ่งทนเขาไม่ไหวก็ได้บอกเลิกเขาเหมือนกับอดีตแฟนเก่าคนอื่นๆ (เพื่อนๆคงเห็นใจเขา เพราะคิดว่าเขาเป็นคนอาภัพรัก หล่ะสิ ผิดถนัด) เธอได้ฝากแง่คิด ที่เขาไม่เคยได้รับฟังจากใครๆ (ก่อนที่เธอจะเก็บเสื้อผ้าออกจากห้องเขาไป) ว่า

“สาเหตุที่เลิกกัน ไม่ใช่เพราะเราเข้ากันไม่ได้ แต่เพราะคุณคิดเสมอว่า คุณเป็นศูนย์กลางของชีวิตคู่ การดำเนินชีวิตคู่ ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งต้องเปลี่ยนอีกคนให้มาอยู่ในจุดศูนย์กลางของตัวเอง ไม่ใช่คนใดคนหนึ่งต้องบังคับ หรือ control การใช้ชีวิตของอีกคนหนึ่ง แต่หมายถึง เราสองคน ต้องมา share และ ร่วมกันตั้งจุดศูนย์กลางของชีวิตซะใหม่ ชีวิตคู่สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ ต่างฝ่ายควรจะเข้าใจในกันและกัน ขณะที่เราตะโกนร่ำร้องว่า “ไม่มีใครเข้าใจเรา” แต่เรากลับไม่เคยถามตัวเองบ้างเลยว่า “เคยเข้าใจผู้อื่นบ้างหรือไม่ เคยนึกถึงความรู้สึกของเขาขณะที่เราแสดงออกไปบ้างหรือไม่” บางทีหากคิดจะให้ผู้อื่นมาเข้าใจเรา เราก็ต้องจำเป็นเข้าใจผู้อื่นก่อน เมื่อนั้น เราอาจค้นพบว่า ที่เคยคิดไปว่าคนอื่นไม่เข้าใจเรา จริงๆแล้ว เราเองต่างหากที่ไม่เคยเข้าใจคนอื่น หรือแม้กระทั่งเข้าใจตัวเองด้วยซ้ำ”

(โปรดอ่านคำพูดเธอซ้ำหลายๆรอบ และคุณจะได้ข้อคิดที่คุณคาดไม่ถึง ไม่แน่อาจจะมีคนอยากจะส่งต่อข้อความนี้ถึงคุณก็ได้ “ใช้ชีวิตคู่อย่างมีสติ และไม่ประมาท” นะคะ)

คำพูดของเธอวันนั้น ทำให้เขาได้มาย้อนคิด “ที่ผ่านๆมา เขาต้องการให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้มาตรฐานของตัวเอง แต่ไม่เคยถามหรือสนใจคนอื่นเลยว่า พวกเขาเต็มใจที่จะเปลี่ยนไหม”

บทเรียนเรื่องราวของเขา ในวันนี้ อาจจะช่วยให้เพื่อนๆได้คิดว่า

“คุณเลือก ที่จะเป็นคนแบบไหน? จะตั้งตัวเองเป็น “จุดศูนย์กลาง” เพื่อเปลี่ยนคนอื่น? สะกิดต่อม “การยอมรับในตัวเอง” กันเถอะคะวันนี้ ก่อนที่จะมีคนมา “สะดุดและล้มลง เพราะความรักของคุณ”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่านกัน

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

อิ่ม "เอม" ใจ

หาก “ผู้อ่าน” ท่านใด เข้ามาอ่าน Blog เราในช่วงนี้ อาจจะพบว่า “อารมณ์ของผู้เขียน” นั้น ขึ้นๆ ลงๆ (ตามราคาทองคำในตลาดโลก) สำหรับ “ตัวอักษร” ในวันนี้ เราอยากจะ “เรียบเรียงอารมณ์ลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใน” ออกมา “จัดเรียง” ลงบนพื้นที่ว่างๆแห่งนี้

วันนี้ตื่นมาแต่เช้า ด้วย “รอยยิ้ม” ที่แจ่มใส ไม่มี “ความกังวล หรือทุกข์ใดๆ” จะสามารถมาทำลาย “ความเต็มอิ่ม” ในบรรยากาศที่แสนอบอุ่นนี้ได้ ช่วงเวลาที่ “สมอง และหัวใจ” ว่างเปล่านั้น ช่างเป็นช่วงเวลาที่ “สงบสุข” เสียจริงๆ

เคยมีคนบอกไว้ว่า “ฟ้าหลังฝนสวยงามเสมอ” แต่เราขอเพิ่มเติมว่า “ฟ้าในทุกๆวัน ไม่ว่าจะมีฝนตก ฟ้าร้อง หรือไม่นั้น จะสวยงามแค่ไหน? ก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง และทัศนคติของเราทั้งนั้นแหละ”

นับจากวันนี้ “ชีวิต และหัวใจ (ของเรา)” จะเต้นไปพร้อมๆกัน โดยไม่มีเหตุให้ “สะดุด หรือหยุดชะงัก” ไปกับความกังวล หรือความกลัวใดๆอีก (เหตุว่า หัวใจของเราตอนนี้ “ชุ่มชื่น” ไปด้วย “ความรัก” ของใครบางคน)

นับจากวันนี้ จะขอ “รัก และดูแลใครสักคน” ให้ดีที่สุด (จะพยายาม “เติมเต็ม” ทุกอณูที่ขาดหายไปของชีวิตคุณ ด้วยความรักทั้งหมดที่มี)

นับจากวันนี้ จะมีแต่ “รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ” ดังกึกก้องในทุกๆครั้งที่หายใจ (When I begin to fear, In You will I trust.)

นับจากวันนี้ พร้อมแล้ว ที่จะ “หยิบยื่น” ความละเอียดอ่อนในหัวใจที่มี ให้กับ ใครสักคนที่คู่ควร และเหมาะสม

คงจะไม่สายเกินไป ที่จะบอกว่า

“Thanks GOD, I found you.
Thank you for being you, and
Thank you for being here with me, my soulmate.”

ใครที่รอตามอ่าน เรื่องราว “เด็ดๆ มันส์ๆ” อยู่ล่ะก็ พรุ่งนี้แล้วกันนะคะ รับรองเด็ดแน่นอนคะ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน