Recent News

Powered by eSnips.com

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

The L Word

สองวันนี้ไม่ได้เขียนอะไรเลย อาจเพราะว่าช่วงนี้กำลัง “ติด” ดูหนัง series เรื่อง The L Word (เป็นเรื่องของ ญ รัก ญ) ก็ได้ (ดูได้ทั้งวัน และเกือบทั้งคืน)

ต้องขอขอบพระคุณ Gang Luk Dek จริงๆแล้ว เขาได้สั่งให้น้องที่ขาย DVD ส่งหนังเรื่องนี้ 3 season มาให้เราเกือบสองปีแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า “เขาไม่อยากให้เราดูหนังเรื่องนี้เวลาที่เราว่างๆ ไม่มีอะไรทำ” (เป็นเหตุผลที่เข้าท่าพอสมควร) แต่อาจสืบเนื่องจาก เรามีกิจกรรมอื่นทำเยอะแยะ ทำให้เรา “ดอง” เรื่องนี้ไว้นานมากๆ จนกระทั่งเมื่อคืนวันอาทิตย์ จึงนำมาเปิดดู พอดูแล้วก็เกิดอาการติด จนทำให้ไม่หลับไม่นอน รีบดูให้จบ

หากใครที่เคยได้ดูคงพอจะเข้าใจความหมายของเรื่องได้อย่างดี บอกตามตรงว่า การดำเนินเรื่อง และลักษณะเฉพาะของแต่ละนักแสดง (เป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นจริงในสังคมออกมาได้อย่างชัดเจน) บางตัวละครอาจจะได้บทบาทที่ดู “สับสน” , “ไม่เข้าใจตัวเอง”, “โลเล” หรือ “อ่อนแอ” ไปบ้าง แต่ก็สะท้อนอะไรได้ดีทีเดียว เอาไว้เราจะมาลงในรายละเอียดของตัวละครแต่ละตัวอีกที (ตอนที่เราได้ดูจบเรียบร้อยแล้ว)

เนื้อเรื่องของหนังค่อนข้างสะท้อนสังคมของ “เลสเบี้ยน หรือ ญ รัก ญ” ได้อย่างดีเยี่ยม กล่าวถึง ผู้หญิงแท้ที่เพิ่งจะมาค้นพบว่าตัวเองมีรสนิยมในเพศเดียวกัน หรือ มุมมองของผู้ชายที่มีต่อ ญ รัก ญ และปัญหาที่ตามมาอีกมากมาย ที่เกิดขึ้นจากความอ่อนแอ ความสับสนชั่วขณะ ของคนในสังคมเรา

หากเพื่อนๆคนไหนมี Series เรื่องนี้อยู่ในมือ ได้โปรด!!!! หาเวลา Enjoy กับมัน แล้วจะคุณจะค้นพบอีกมุมมอง และอาจเข้าใจความหมายของ ญ รัก ญ ที่แท้จริงก็ได้

ฝากไว้ให้ติดตามนะคะ เราขอตัวไปดูต่อก่อน หลับสนิทนะคะเพื่อนๆ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

กิจกรรมวันเสาร์

วันนี้เป็น “วันเสาร์” แต่เราก็ยังคงต้องตื่นแต่เช้า เพื่อไปเอา “ตั๋วเครื่องบิน” กลับมาถึงบ้านก็บ่ายๆแล้ว แต่รู้สึกว่าไม่ค่อยสบายอีกแล้ว คัดจมูก และเวียนหัวนิดหน่อย กลับมาเราทาน “ซูลิดีน” ไปหนึ่งเม็ด ตอนแรกว่าจะนอน แล้วค่อยตื่นไปโบสถ์ (เพราะต้องไปอ่านบทอ่าน และซ้อมเพลง) แต่เนื่องด้วย น้องเราต้องการที่จะลองเล่น “บอลชุด” (การพยากรณ์ผลบอลล่วงหน้า ซึ่งต้องทายอย่างต่ำ 3 คู่) เราจึงต้องสอนน้องเราให้เข้าใจถึง “อัตราต่อรอง” รวมถึงกฏเกณฑ์ต่างๆ เหลือบมองนาฬิกาอีกที ก็ห้าโมงเกือบครึ่งแล้ว เราเลยรีบขับรถไปโบสถ์

ขณะที่เราเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่หลังโบสถ์ คุณพ่อ (บาทหลวง หรือ พระสงฆ์) ที่จะทำมิสซาได้เดินมาถามเราว่า “เคยดูหนังเรื่อง “ชิงชัง” ไหม? พ่ออยากจะเทศน์เรื่องนี้ แต่พ่อไม่เคยดู” (คิดในใจ คุณพ่อนี่เกาะกระแสจริงๆเลยนะคะ) เราจึงอธิบายให้คุณพ่อฟังอย่างคร่าวๆ ต้องยอมรับเลยว่า “ด้วยข้อมูลเพียงนิดเดียว แต่คุณพ่อสามารถที่จะ “ตีความ” และ “นำไปเชื่อมโยง” จนกลายเป็น “บทเทศน์อย่างดีเยี่ยม (และสิ่งที่พ่อเทศน์ คงเป็น “พระประสงค์” ที่พระเป็นเจ้า ต้องการจะ “สื่อสาร” กับพวกเรานั่นเอง)

ก็อย่างที่เราเคยเขียนบอกว่า “จริงๆแล้ว เราตัดสินใจที่จะเลิกร้องเพลงประสานเสียงไปแล้ว แต่ก็ต้อง “ยกเลิก” การตัดสินใจนั้น เนื่องจากเสาร์ที่แล้ว เราได้มีประสบการณ์ในงานมหกรรมดนตรีศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นวันนี้เราจึงตั้งใจที่จะไปซ้อมเพลงอย่างเต็มที่ วันนี้ซ้อมแค่เพลงเดียวแต่กินเวลา ร่วม 2 ชั่วโมง เพลงนั้นเป็นเพลงภาษา Italian ที่ค่อนข้างความหมายดีมากๆ

หัวหน้าวงแจ้งว่า “เดือนหน้านอกจากงานใหญ่ประจำเดือนแล้ว วงเรายังต้องออกไปขับร้องพิเศษอีกหนึ่งงาน “งานใหญ่ระดับเขต” เชียว ต้องนัดซ้อมเพิ่ม”(เหนื่อยอีกแล้วเรา)

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน



วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

KU KU CAT

วันนี้ตั้งใจจะ “ถ่ายทอด” ตัวอย่างชีวิตของบทนึงของ “ทอมโฮส” แต่เนื่องจากเมื่อคืนแทบไม่ได้นอน ตื่นก็เช้ามากๆๆๆๆๆๆๆ วันนี้ก็ง่วงมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เพลียมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอเรื่องง่ายๆก่อนนะคะ

วันนี้เอามาเรื่องสบายๆดีกว่าเนอะ เมื่อวานตอนเย็นเราจูงจักรยาน (คันเดียวที่มี) ไปสูบลม เนื่องจากช่วง 2-3 เดือนมานี้ เราไมได้ขี่เลย แต่ก็หมั่นเข็นไปเติม 2อาทิตย์ครั้ง และหลังจากเติมลมเสร็จ เราก็เดินผ่านหน้าร้านเช่า VCD & DVD เราจึงแวะเข้าไปดูหน่อยว่า มีหนังมาใหม่เรื่องไหนที่น่าดูบ้าง เราเดินไปหยุดอยู่ที่ชั้นวางหนังใหม่ และมีกล่อง VCD หน้าปกเป็นรูปน้องแมว สะดุดตาเรา เรารีบคว้าและพลิกไปอ่านเรื่องย่อด้านหลัง หนังเรื่องนี้เป็นหนังญี่ปุ่น ชื่อ Ku Ku Cat มีคำอธิบายด้านหลังว่า เป็นเรื่องของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังของญี่ปุ่นคนนึงที่ต้องสูญเสียแมวที่รักไป และด้วยความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง เธอก็เปิดใจรับ “แมวตัวใหม่” เข้ามาในชีวิต (เมื่ออ่านเช่นนั้น เราตัดสินใจเช่าเลย เนื่องด้วยว่า เราสนใจ และอยากจะรู้ว่า ถ้าวันนึงเราประสบเหตุการณ์เช่นเธอ เราควรปฏิบัติตัวเช่นไร? (ต้องยอมรับเลยว่า ณ วินาทีนั้น เราค่อนข้างคาดหวัง และตื่นเต้นที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้มาก)

กลับมาถึงบ้านเราไม่รอช้า เปิดดูทัน หนังดำเนินเรื่องไปได้ 10 นาที แมวตัวแรกของนักเขียนก็ตาย อีกไม่กี่นาทีต่อมา เธอก็ตัดสินใจเลือกแมวตัวใหม่มา เลี้ยงโตไวมาก (ไม่ได้เห็นความน่ารักในวัยเด็กเลย) พาไปทำหมัน แล้วก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ไม่รู้ ความรักของมนุษย์ ฯลฯ (เรียกได้ว่า เราผิดหวังเต็มที่ สืบเนื่องจาก หวังมากๆ ที่จะเห็นความน่ารักของน้องแมวในอิริยาบถต่างๆ เหมือนในหน้าปก) เราจึงเอาแผ่นออก และก็ไม่ได้ดูอีก วันนี้เราก็นำแผ่นไปคืน

แต่อย่างน้อย น้องแมวในเรื่องก็น่ารัก (ดูแต่ภาพแล้วกัน ไม่ต้องไปคิดถึงสิ่งที่ผู้กำกับต้องการสื่อ เพราะอาจทำให้รู้สึกแย่ได้)

ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน



วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

ทอมโฮส

วันนี้เราจะมาขอเสนอ “การบริการในรูปแบบใหม่” เรียกสั้นๆ ว่า “โฮส (host) คือ บุคคลที่ให้บริการความสุข แก่ลูกค้าที่เหงา เปล่าเปลี่ยว โดยลูกค้าจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ก็มีกฏอยู่บ้าง เช่น ห้ามลวนลาม หรือลามปามอีกฝ่าย ถ้าอีกฝ่ายไม่ต้องการ หรือตกลงกันไว้ว่า ต้องการบริการอะไรบ้าง? (ปัจจุบันมีทั้ง ทอมโฮส, ดี้โฮส และ เลสโฮส)

ลูกค้าที่ต้องการ “โฮส” ต้องมีการติดต่อผ่านนายหน้า ซึ่งมีหน้าที่ดูแล (คล้ายๆ หัวคิว) มีการเสนอให้บริการอยู่ตามเวปต่างๆ (ใจเย็นๆนะคะเพื่อนๆ อย่าเพิ่งรีบ Search หา อ่าน Blog เราให้จบเสียก่อน)

เราขอยกตัวอย่าง คุณสมบัติของผู้ที่สามารถสมัครเป็น “ทอมโฮส” (ซึ่งเป็นข้อมูลการรับสมัครจริงๆ)ข้อแรก อายุ 18 ปีขึ้นไป เรียนระดับมหาลัย (ตอนนี้ “ทอมโฮส” ในระดับมหาวิทยาลัย กำลังเป็นที่ต้องการมากเลย) ข้อสอง พูดอ่านเขียนภาษาไทย100% ภาษาปัญญาอ่อน ป๋ม นะงับ นะค๊าฟ นะคัฟ (ไม่รับเด็ดขาด)ข้อสาม มีความตั้งใจที่จะทำอาชีพโฮสจริงๆ ไม่เหลาะแหล่ะ หรือมาแค่ไฟไหม้ฟาง แบบทำครั้ง 2 ครั้งแล้วเลิกข้อสี่ สุภาพ แฟร์กับสตรี ไม่มีคำหยาบ มีความอดทน และไม่ใช่ “ทอมหื่น”ข้อห้า จะมีแฟน หรือไม่มีก้อไม่ว่า (ตามใจไม่บังคับ) แต่อย่าให้แฟนมาวุ่นวายกับงาน จนงานเสีย

ข้อหก ไม่จำกัดอายุ หน้าตา แต่ต้องไม่ขี้เก็กจนคนที่อยู่ด้วยรู้สึกอึดอัด

ซึ่งกฏเหล่านี้ นายหน้าจะเป็นคนตั้ง ซึ่งก็ต้องมีการถามข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า

ดื่มไหม?

รับงานไปต่างจังหวัดไหม?

และอีกหลายๆคำถาม

กฏอีกข้อที่สำคัญมากก็คือ ถ้าตกลงรับงานนั้นๆแล้ว ไม่ไปตามนัด จะโดน “แบน”

“ทอมโฮส” จะเป็นแค่เพื่อนเที่ยว เพื่อนกิน หรือแอ๊ปว่าเป็นแฟนกันได้ แต่ไม่มีการหลับนอน หรือพาขึ้นเตียงโดยเด็ดขาด รายได้ค่อนข้างดี แต่จะติดอยู่ตรงที่ว่า เขาไม่สามารถเลือกได้ว่าต้องไปกับใคร (ผู้หญิงปกติ ดี้ เลส ในช่วงวัยไหน?)
นี่คือตัวอย่าง โฆษณา (จริงๆ)

“เราเป็นคลับทอมโฮสครับ ตอนนี้อยู่ในระหว่างการวางระบบ ถ้าสนใจใช้บริการติดต่อได้ครับ ทอมโฮสของเราส่วนใหญ่ที่มีตอนนี้คือ การศึกษาดีปริญญาตรีอัพ แล้วมีหน้าที่การทำงานที่โอเค แล้วยังมีเลสโฮสอีกด้วยนะครับ ราคาไม่แพงครับ เพราะเราจะมีโปรโมชั่นช่วงเปิดตัว เพื่อนเที่ยวเต็มวัน เที่ยงถึง 2 ทุ่ม ในราคา 700 บาท ใครสนใจติดต่อ XXXXXXXXX”

และนี่คืออีกเรื่องราวที่ “มีอยู่จริง” ในสังคมของเรา หลายๆคนที่อ่านอาจรู้สึกตกใจ แต่บางคนที่เคยใช้บริการอยู่แล้ว ก็อาจจะเฉยๆ เพราะในช่วงเศรษฐกิจ “ตกผลึก” แบบนี้ ทอม ดี้ เลส ในวัยเรียน คงจะต้องหาเงินเพื่อใช้เป็น “ทุนการศึกษา” กันให้วุ่นวายไปหมด

ข้อแนะนำ

ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน สำหรับพวกที่ อยากรู้ อยากลอง ชอบของแปลกใหม่ เราไม่ขอแนะนำ เพราะ “ความสนุก เพียงชั่วครู่ นำความทุกข์ถนัดมาสู่ชีวิตของใครหลายๆคนอยู่เสมอ”

เจตนาของผู้เขียน

ต้องการเปิดหูเปิดตา ตีแผ่ อีกมุมนึงของสังคมเท่านั้น ไม่ต้องการส่งเสริม หรือยั่วยุ ให้เดินตามสายงานนี้

หากพรุ่งนี้เราพอมีเวลา เราจะมา "ถ่ายทอด" ประสบการณ์จริงของ "ทอมโฮส" คนนึง ที่มีอยู่จริงในสังคมของเรา หากดี้คนไหนกำลังเหงา และสนใจที่จะลองใช้บริการ "ห้ามพลาด"

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

"ความฝัน"

“ความฝัน” ถ้าหากพูดเรื่องความฝัน ก็คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “ไม่เคยฝัน” แล้ว “ความฝัน” ในแต่ละคืนนั้น ก็ดีบ้าง ร้ายบ้าง แต่ก็มีความฝันอีกไม่น้อย ที่เมื่อเราตื่นขึ้นมา เราจำได้ลางๆว่าฝัน แต่เรากลับจำเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้เลย

หากเราตื่นขึ้นมาพบว่า “เราฝันร้าย” แต่ละคนก็มีวิธี “การแก้ฝัน” แตกต่างกันไป

บ้างก็ตื่นมาแล้ว พลิกหมอนกลับด้านแล้วนอนต่อ ด้วยความเชื่อที่ว่า ความฝันนั้นจะไม่ต่อเนื่อง และวิ่งตามมาเป็นจริงได้ในชีวิตเรา

บ้างก็ตื่นมาแล้ว วิ่งไปเข้าห้อง ปล่อยปัสสาวะ หรืออุจจาระออกมา แล้วพูดความฝันที่ร้ายนั้นพร้อมกันไปด้วย แล้วกดชักโครกทิ้ง เพื่อทิ้งความฝันเหล่านั้น

บ้างก็ตื่นมาแล้ว วิ่งไปล้างหน้า อาบน้ำ แปรงฟัน เพื่อทำให้ตัวเองตื่น และสดชื่น เพราะเชื่อว่า ความฝันจะตามมาหลอกหลอนเราไม่ได้

บ้างก็ตื่นมาแล้ว ลุกขึ้นไปเปิดหนังสือ “พยากรณ์ความฝัน” เพื่อที่จะ “ตีความฝัน” นั้นเป็น “เลข” ไว้เล่นหวย

บ้างก็ตื่นมาแล้ว คว้าโทรศัพท์ โทรไปปลุกชาวบ้านมาช่วยปลอบประโลมใจยามฝันร้าย (ไม่แน่นะคะ เสียงโทรศัพท์ของคุณ อาจสร้าง “ฝันร้าย” ให้ใครอีกหลายๆคน ที่นอนหลับยาก แต่ตื่นง่ายก็ได้)

แต่หากคืนไหน เรานอนหลับ “ฝันดี” เราก็แทบไม่อยากจะตื่นเลย (เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกตอนเช้าดังขึ้น) เนื่องด้วยว่า เรากลัวที่จะเดินหนีจากฝันเหล่านั้น เพื่อเผชิญหน้ากับชีวิตแห่งความเป็นจริง (ที่แสนโหดร้าย และไม่มีความยุติธรรม) เราอยากจะนอนฝันอยู่เช่นนี้ จนสาย บ่าย เย็น หรือฝันมาราธอน 2 คืนติดกันยิ่งดีใหญ่

การเข้าใจ “กำเนิด” ของ “ความฝัน” ก็แตกต่างกันออกไป

บ้างก็ว่า “ความฝัน” สะท้อนอะไรหลายๆอย่างใน “จิตใจของเรา” (สิ่งที่เราเก็บไว้ ไม่ว่าควรกลัว ความกังวล หรือสิ่งที่หัวใจลึกๆของเราต้องการที่จะหลีกเลี่ยง)

บ้างก็ว่า “ความฝันเป็นเรื่องลึกลับ” แต่เป็น “ปรารถนา” ของผู้ฝัน และ ฝันเป็น “ข่าวสาร” ที่ส่งขึ้นมาจาก “จิตไร้สำนึก” สู่ “จิตสำนึก” ของผู้นั้นเอง

บางคนก็เข้าใจว่า “ความฝัน” เป็นภาพเงาของตนที่จะปรากฏขึ้นในอนาคต หรือเป็นภาพเงาของโลกซึ่งวันเวลาอันไม่สิ้นสุดได้สูญสลายไปแล้ว บางคนเชื่อว่าความฝันเป็นการท่องราตรีของวิญญาณ หรือจิต (Spirit) ซึ่งออกจากร่างกายไปขณะหลับ ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ได้พบปะผู้คน และไปอย่างโลดโผนอย่างไรก็จะเป็นเรื่องราวความฝันเช่นนั้น วิญญาณ หรือจิตที่ท่องเที่ยวไป

บ้างก็ว่า ความฝันคือ ประสบการณ์ของภาพ เสียง ข้อความ ความคิด หรือความรู้สึกในขณะที่กำลังนอนหลับ โดยผู้ที่ฝันส่วนใหญ่ไม่สามารถควบคุมได้ และ ความฝัน สามารถเกิดได้ตั้งแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคม จนถึงเรื่องเหลือเชื่อ รวมไปถึงเรื่องสนุกสนาน เรื่องตื่นเต้น เรื่องน่ากลัว เรื่องเศร้า ที่เรียกว่า “ฝันร้าย” และในบางครั้งความฝันจะมีเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีผลต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการฝันเปียกในผู้ชาย หลายๆครั้งที่ความฝันเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกทั้งทางด้านจิตใจ และทางด้านศิลปะให้แก่ผู้ที่ฝัน

“ความฝัน” คือจังหวะที่ “จิตใต้สำนึก” ได้ “ปลดปล่อย” อย่างแท้จริง

แล้วไม่ว่า คืนนี้ คืนหน้า หรือคืนไหน ที่คุณต้องตื่นขึ้นมา พร้อมเรื่องแห่งการผจญภัยของจิต (ความฝัน) ไม่ว่าจะดี หรือร้ายแค่ไหน ก็สรุปได้สั้นๆว่า ณ คืนนั้น คุณได้ปลดปล่อยหน้ากาก ปลดปล่อยเรื่องราวที่ฝังลึกๆอยู่ในจิตใจออกไปแล้ว

“ความฝันจะสวยงาม หรือจะเลวร้ายแค่ไหน?” ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณได้ “นำพา” เข้าไปในจิตใจของคุณ ยามคุณรู้สึกตัว หรือตื่นอยู่

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน


วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

มหกรรมดนตรีศักดิ์สิทธิ์

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ไปเข้าร่วม “งานมหกรรมดนตรีศักดิ์สิทธิ์” ณ บ้านเณรใหญ่ แสงธรรม (อาจฟังดูชื่อ “ยิ่งใหญ่”) แต่ก็จริงๆ เพราะงานนี้ยิ่งใหญ่ และมีความสำคัญมากๆ ในเชิง “การแพร่ธรรม” เพราะหน้าที่ “การรับใช้พระเจ้า” ของคาทอลิกแต่ละคนนั้น ก็แตกต่างกันออกไป บ้างก็ถูกเรียกให้ไปเป็นพระสงฆ์ (นักบวชชาย) บ้างเป็นซิสเตอร์ หรือมาเซอร์ (นักบวชหญิง) บ้างเป็นบราเดอร์ (นักบวชที่ทำงานกับฆราวาส) บ้างเป็นสมาชิกสภาภิบาลในแตละวัด (ฆราวาสที่ทำงานเพื่อพระศาสนจักร) บ้างเป็นผู้อ่านพระคัมภีร์ (อ่านพระคัมภีร์ในพิธีมิสซา) บ้างเป็นผู้ช่วยพิธีกรรม (ช่วยพิธีในมิสซา) บ้างเป็นนักขับร้องประสานเสียง (ร้องเพลงในพิธีมิสซา) บ้างเป็นคนจัดดอกไม้ในโบสถ์ บ้างเป็นพิธีกร หรือผู้ก่อสวด บ้างเป็นพลมารี (ทหารของแม่พระ) บ้างเป็นพลศีล บ้างเป็นสมาชิกองค์กรใด องค์กรหนึ่ง ที่ช่วยเหลืองานอภิบาลในแต่ละสาขาของพระศาสนจักร แต่ไม่ว่าแต่ละคน จะได้รับพระพรในด้านไหน จะมีหน้าที่อะไร เหมาะสมกับการงานแบบไหน หรือพระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรงานใดๆ ให้ทำนั้น งานเหล่านั้นก็ “ยิ่งใหญ่ และมีความหมายที่สุดในชีวิตของเรา” (หลายๆคน อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะเกิดอาการ “งง” เล็กน้อย ดังนั้นอ่านเพื่อความรู้รอบตัวแล้วกันนะคะ)

สำหรับเรา หน้าที่แรก ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เราทำก็คือ “ผู้อ่านพระคัมพีร์” พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาเพื่อให้เรามีความเข้าใจในพระคัมภีร์ รวมถึงพระองค์เปิดโอกาสให้เรารับใช้พระองค์ในด้านนี้ เพื่อเราจะได้เป็น “ตัวกลาง” ในการ “สื่อสาร” กับพี่น้องคาทอลิกได้อย่างดี มานานกว่า สิบปี แล้ว หน้าที่อีกอย่างที่พระองค์ดลใจ และประทานพระหรรษทานเป็นพิเศษ ในการใช้เสียง (พระพรที่พระองค์ประทานมา) เพื่อร้องสรรเสริญพระองค์ อย่างสง่า ด้วยสิ้นสุดดวงใจ และสุดวิญญาณ ในพิธีมิสซา และหน้าที่นี้แหละ ที่นำเรามางานมหกรรมดนตรีศักดิ์สิทธิ์ เพื่อ “พัฒนาความสามารถ และเก็บเกี่ยวความรู้ด้านการขับร้องในพิธีกรรม”

กิจกรรมเริ่มเวลา 9.00 นอกจากการอบรมที่มีตลอดวันแล้ว ยังมีการแสดงขององค์กรต่างๆ คั่นเวลาเพื่อไม่ให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาเบื่ออีกต่างหาก มีถึง 4 การแสดงด้วยกันนั่นคือ

การแสดงแรก คือร้องเพลงของเด็กๆ เยาวชน จากวัดนักบุญอันตน เป็นการแสดงร้องเพลงประสานเสียงของเด็กช่วงวัยระหว่าง 8-12 ปี

(เป็นการแสดงแรกที่ประทับใจอย่างมาก สะท้อนให้เราเห็นความสนุกสนาน ความตั้งใจจริง ของเด็กเหล่านั้น ในการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ด้วยความเข้าใจแบบเด็กๆ)

การแสดงที่สอง เป็นการแสดงของผู้พิการทางการได้ยิน (คนหูหนวก) พวกเขาออกมาแสดงการขับร้องประสานเสียงในเพลง “ข้าแต่พระบิดา” (หลายๆคนอาจจะแปลกใจ เขาจะเปล่งเสียงออกมาได้อย่างไร?) เขาร้องเพลงนี้ ด้วย “การใช้ภาษามือ” ในการเปล่งเสียง เรานั่งนิ่งเลย เพราะความสวยงาม พร้อมเพรียง ในการร้องนั้น ออกมาจากหัวใจ เสียงร้องเหล่านี้ไม่ได้ “กึกก้อง” ด้วยเสียงที่เปล่งออกมา แต่ “ดังก้องกังวาน” ในหัวใจของเรา ด้วยจิตวิญญาณแห่งการรับใช้อย่างแท้จริง

การแสดงนี้ “กระตุก” ต่อมความคิดของเรามาก ทำให้เราได้ตอบโจทย์ความสับสน ความท้อแท้ในหัวใจ เพราะจริงๆแล้ว ในการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้านั้น ไม่ได้อ้างอิงถึง ความไพเราะของเสียงร้อง หรือความงดงามของท่วงทำนอง แต่เสียงที่เปล่งออกมานั้น ต้อง “กลั่น” ออกมาจาก “หัวใจที่เต็มเปี่ยม” ซึ่งมีเพียงคุณและพระเจ้าเท่านั้นที่สื่อสารกันได้

“ขอบคุณพระเจ้า สำหรับธรรมชาติ สิ่งสร้างทั้งหลาย ที่อยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าสิ่งนั้น จะดูสมบูรณ์ หรือพิการ แค่ไหน? (ในสายตามนุษย์) แต่นั่นคือ พระพร และใน “พระพร” พระองค์ก็ประทับอยู่เสมอ”

การแสดงต่อไป เป็นการแสดงที่ได้รางวัลชนะเลิศจากการขับร้องประสานเสียงระดับชาติ นั่นคือการแสดงจาก “วงเยรูซาเล็ม” เป็นวงที่มีบราเดอร์ (นักบวชชายที่เตรียมตัวจะบวชเป็นพระสงฆ์) ร้อง 4 เสียง เป็นการขับร้องที่ชวนให้เราขนลุกยิ่งนัก

เราได้อีกความรู้สึกนึง เมื่อได้นั่งฟังทั้ง 4 คน ร่วมกันร้องเพลง เพลงที่กลั่นออกมาจากหัวใจ ร้องด้วยหัวใจ และต้องฟังผ่านหัวใจเท่านั้น

และการแสดงปิดงาน เป็นการแสดงจาก นายแพทย์ คนนึง ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่อง Organ อย่างมาก ท่านได้กรุณามาเล่น Organ ให้เราฟังถึง 4 เพลง แต่ละเพลงนั้น ทำให้เราขนลุก และสื่อได้ถึงท่วงทำนองแห่งสวรรค์ (ท่วงทำนองที่คงไม่มีเสียง หากไม่มีการเข้าถึงผู้ฟัง)

เมื่อโชว์ต่างๆจบลง สะท้อนให้เรา (ผู้เข้าร่วมกิจกรรม) ได้เข้าถึง “จิตวิญญาณ” ของการร้องเพลง นั่นคือ (ตามความคิดของเรา)

ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร?
ไม่ว่าคุณจะทำอะไร?
ไม่ว่าคุณจะมีอะไร?
ไม่ว่าคุณจะต้องการอะไร?

หากคุณใส่ “หัวใจ และความตั้งใจ” ลงไปในกิจกรรมที่คุณทำ “เสน่ห์ และความสำเร็จ” นั้น ก็จะ “สะท้อน” ให้เห็นได้ไม่ยาก

จริงๆแล้ว ต้องยอมรับตามตรงว่า “เรากำลังมีความคิดที่จะออกจากวงนักร้องประสานเสียง อาจเพราะว่า เราคิดว่า เราไม่เหมาะสม เราร้องเพลงได้ไม่ดีเท่าที่ควร แม้ว่าเราจะพยายามแล้วก็ตาม แต่ ณ ตอนนี้ เราได้ตัดสินใจแล้ว ว่าเราจะขับร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยสุดความสามารถ ไม่ว่าผลที่ออกมาจะเพี้ยน หรือแย่แค่ไหน เราก็จะยังคงเปล่งเสียงร้องสรรเสริญพระองค์ ด้วยความตั้งใจ เพราะคงมีเพียงเรา และพระองค์เท่านั้น ที่รู้ว่า “เสียงที่เปล่งออกมานั้น มาจากหัวใจของเราจริงๆ” (ขอบคุณผู้พิการทางการได้ยิน การร้องเพลงด้วยภาษามือของพวกคุณ ทำให้เราคิดได้)

ขอบคุณวิทยากร ที่ชื่นชมว่า “โบสถ์ที่ร้องเพลงประสานเสียง เพราะที่สุดในประเทศไทย คือโบสถ์ของเรา” (ปรบมือในใจ)

“เรามีเวลาทำกิจกรรม และสร้างสรรค์ผลงานต่างๆในโลกมากมาย แต่เรามีเวลาสำหรับพระเจ้าน้อยเหลือเกิน”

Give thanks with a great full heart,
give thanks to the Holy one,
give thanks because he’s given Jesus Christ his son
(และบทเพลงนี้ เราก็ร้องด้วยหัวใจเรา เพื่อพระองค์จริงๆ)

Thanks God, for every beautiful things in this world.

Thanks God, for the life.

And Thanks God, I found you.

(เพื่อนๆคนไหนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ ในศัพท์ หรือเรื่องราว ขอให้คิดว่า อ่านเพื่อความบันเทิงเท่านั้นนะคะ)

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน





วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

True Blood ตอนจบ

มาต่อกันในเรื่อง True Blood ให้จบ ผู้หญิงในเรื่องเมื่อได้ฟัง “ผู้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย” นั้น เสนอที่จะช่วยเปลี่ยนแปลง และทำให้ชีวิตเธอดีขึ้นนั้น ด้วยการแลกกับเงิน 800 ดอลล่าห์ เธอก็นำ “คำถามนั้น” กลับไปคิดตรองไป ตรองมาอย่างละเอียด ยิ่งเธอได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของแม่เธอ หลังจากที่โดนขับไล่ความชั่วร้ายออกไปแล้ว (จากที่เคยติดเหล้าอย่างหนัก ตอนนี้ไม่ดื่มอีกเลย) เธอจึงตัดสินใจที่จะไปยืมเงินจากเจ้านายเธอ เพื่อที่จะมาขับไล่ความชั่วร้ายเหล่านั้น (ด้วยความที่เจ้านายเธอใจดี เขาจึงให้เธอยืม)

เมื่อถึงคืนวันพิธีกรรม “ผู้ขับไล่” เขาได้ให้น้ำบางอย่างเธอดื่ม เมื่อดื่มแล้ว เธออาเจียนออกมา (เขาบอกว่า นั่นคือสิ่งชั่วร้ายให้อาเจียนออกมาให้หมด) และเริ่มเห็นเงาตัวเองอยู่ไกลๆ เขาส่งมีดให้เธอ และเธอก็วิ่งไปแทงเงานั้น (ที่เธอเห็นเพียงลำพัง) พิธีเป็นอันจบ เขาบอกว่า สิ่งชั่วร้ายในตัวเธอนั้น ออกไปหมดแล้ว เธอจึงกลับบ้านอย่างสบายใจ

หลังจากนั้น เธอเริ่มมั่นใจ เริ่มรู้สึกดี และชีวิตเธอก็ดีขึ้นเรื่อยๆ (จะด้วยฤทธิ์ หรืออำนาจใดนั้น ไม่มีใครตอบได้) เธอคุยกับเพื่อนที่เธอไม่เคยคุย เธอเข้ากับเจ้านายได้ดี ขยันขันแข็ง ยิ้มแย้ม และเริ่มที่แต่งตัวมากขึ้น ทำให้เธอมีคนมาสนใจ

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ขณะที่เธอขับรถกลับบ้านพร้อมแม่ อยู่ๆ แม่ของเธอก็เริ่มรู้สึกปวดท้อง อาจจะเป็นอาการท้องอืด เธอจึงไปหยุดที่ร้านขายยาในปั้มน้ำมันข้างทาง และเธอก็วิ่งเข้าไปหาพนักงานคนนึงถามหายาแก้ท้องอืด และเธอก็พบว่า พนักงานคนนั้น มีหน้าตาคล้ายกับ “ผู้ขับไล่สิ่งชั่วร้ายของเธอมาก” เพียงแต่ว่า พนักงานคนนี้ ไม่ได้หลังค่อม และไม่ได้ผมยาวก็เท่านั้น และเมื่อมองเข้าไปลึกๆในแววตา ก็พบว่า “คือคนๆเดียวกัน” เมื่อเขาเห็นเธอ เขาก็พยายามจะวิ่งหนี เธอวิ่งไปตามจับเขามา และถามเขาว่า “ทำไม? ทำไม? ต้องหลอกฉัน และวันนั้นคุณเอาอะไรให้ฉันกับแม่ดื่ม ทำไม? เราไปทำอะไรให้คุณเดือดร้อน คุณถึงต้องมาหลอกเอาเงินเราเช่นนี้”

เขาได้แน่นิ่ง พูดแค่เพียงว่า “แล้วเธอเห็นความเปลี่ยนแปลงไหมล่ะ เขาไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวง เพียงแต่ว่า เขามีวิธีของเขาที่จะทำให้คนรู้สึกเปลี่ยนแปลง รู้สึกดีขึ้น เพราะทุกอย่างในชีวิตนั้น จะเป็นไปในทิศทางไหน ก็ขึ้นอยู่กับ “จิตใจ ความเชื่อ และความศรัทธา” ในตัวของคนแต่ละคน เหมือนที่แม่คุณเลิกเหล้าได้แหละ และชีวิตคุณก็ยังมีสิ่งดีๆเข้ามา ถ้าเขาเสนอขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้เธอฟรีๆ เธอจะมีความเชื่อไหม??????”

เธอร้องไห้วิ่งออกจากร้าน เมื่อมาถึงที่รถ แม่เธอถามว่า “ยาแก้ท้องอืดล่ะ” เธอบอกว่า “ที่ร้านไม่มีขาย” เธอสับสนในใจขณะขับรถกลับบ้านว่า “ควรจะบอกความจริงกับแม่ดีไหม?” แต่ถ้าบอกไป แม่ของเธอก็ต้องกลับมาดื่มเหล้าเหมือนเดิม แม่อาจผิดหวัง และเสียใจเหมือนกับที่เธอกำลังรู้สึก ดังนั้นเธอตัดสินใจไม่พูด เมื่อส่งแม่ถึงบ้านแล้ว เธอก็ขับรถออกไป ร้องไห้ไป (แต่เธอจะร้องด้วยความเสียใจที่ถูกหลอก หรือร้องเพราะว่าความอ่อนแอของเธอเริ่มกลับเข้ามา สิ่งชั่วร้ายที่เธอคิดว่าเธอตัดทิ้งนั้น จริงๆแล้ว ยังอยู่ และนอนหลับอยู่ลึกๆในจิตใต้สำนึกเธออยู่เสมอ)

สุดท้ายความเชื่อต่างๆที่เธอเคยคิดว่า “มี” ก็กลับไปเป็นดั่งเดิม ชีวิตเธอก็กลับไปเป็นเธอคนเดิม เศร้าหมอง วิตก และไม่เคยไว้ใจใครเลย

บางที “ความจริง” ในโลกใบนี้ ก็อาจทำให้ใครหลายๆคนปวดร้าว เพราะว่า “จริงๆแล้ว ชีวิตก็โหดร้าย สำหรับมนุษย์อ่อนแอเช่นเราๆเสมอ” คงมีวิธีเดียวที่เราจะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขนั่นคือ “เดินบนทางสายกลาง ไม่มีทิฐิ ไม่ยึดติด และไม่ประมาท” สิ่งเหล่านี้คงพอจะช่วยให้เรายืนอยู่บนแรงโน้มถ่วงของโลกได้อย่างมั่นคง และเข้มแข็ง

ฝากเรื่องนี้ไว้ให้คิดกันนะคะ

“ไม่มีใคร สิ่งใด และอำนาจใดๆ จะเปลี่ยนแปลงความเป็น “ตัวเรา” ได้ หากเราไม่เริ่มเปลี่ยนแปลงจากตัวเราเอง ชีวิตของคุณเอง มีคุณเพียงเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลง และเลือกหนทางเดินที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน



วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

สั้นๆ

สวัสดีคะ เพื่อนๆชาวอ่าน Blog ทุกๆท่าน เราไม่ได้อัพมา 2 วันเต็มๆ แล้ว สืบเนื่องจากเราค่อนข้างจะยุ่ง จริงๆแล้ว วันนี้อยากจะเขียนหลายๆเรื่อง แต่เนื่องจากวันนี้เราตื่นมาทำกิจกรรมตั้งแต่เช้า เดินเข้าเดินออกห้องแอร์เย็นๆ และเดินกลางแดดร้อนๆ ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ตอนนี้รู้สึกหนาวๆร้อนๆ (แถมง่วงอีกต่างหาก) ขอตัวไปทานยานอนพักก่อนนะคะ หากพรุ่งนี้มีเวลา เราจะมาเขียนเรื่อง true blood ให้จบ

หลับสนิทนะคะ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

True Blood ภาคต่อ

ย้อนกลับไป เรื่องของ True Blood ที่เราได้ฝากคำถามให้กับเพื่อนๆ เราจะขอย้อนคำถามนั้นอีกสักครั้งนะคะ (เผื่อว่า เพื่อนๆคนไหนคิดแล้ว ตอบแล้ว และลืมไปแล้ว) สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านนะคะ มองไปทางด้านซ้ายสุดของจอคุณ เลื่อนลงมาสักนิด จะมีหัวข้อเรื่อง True Blood คลิกเลยนะคะ (เราจะได้ดำเนินเรื่องต่อไปพร้อมๆกัน)

สมมติว่า ถ้าหากมีคนๆนึงที่คุณเคยได้ยินชื่อเสียงเขา จากคนทั่วไปว่า เขามีอำนาจขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากร่างกายคน และเขาคนนั้น มาทักคุณว่า ในตัวคุณมีสิ่งชั่วร้ายอยู่ และสิ่งนี้ก็ขัดขวางความเจริญของคุณในทุกๆด้าน

ไม่เชื่อคุณลองถามตัวเองดูสิว่า

จริงไหม? ที่ไม่ค่อยมีเพื่อน หรือหาเพื่อนจริงใจ เพื่อนแท้ยาก

จริงไหม? ที่คบกับใครไม่ได้นาน

จริงไหม? ที่มักอารมณ์เสีย โดยไม่มีสาเหตุ

จริงไหม? ที่ไม่มีใครรักคุณจริง มีความรักกี่ครั้ง ก็ต้องอกหัก เพราะมือที่สาม หรือไม่ก็โดนหลอกลวง

จริงไหม? ที่คุณทำงานที่ไหนไม่ได้นาน ต้องมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน หรือไม่ก็เจ้านาย

จริงไหม? ที่ครอบครัวมีปัญหา และคุณก็โหยหาครอบครัวที่มีความสุข

จริงไหม? ที่คุณทำงานแทบตาย ไม่เคยมีเงินเก็บ อยากได้อะไรก็ไม่เคยได้ (เหมือนคนอื่นๆเขา)

และเขาอ้างว่า ตัวเขาเอง “มีความสามารถในการขจัดสิ่งชั่วร้าย ที่เป็นตัวขวางทาง ความเป็นมนุษย์ของคุณได้” และหากคุณต้องการขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกจากตัว เพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่คุณต้องจ่ายค่าทำพิธี 800 ดอลล่าห์ หรือ 30000 บาท คุณจะยอมเสียเงิน เพื่อชีวิตที่ดีกว่าไหม?

บางคนที่มีคำตอบอยู่แล้ว

ก็จะบอกว่า “เรื่องอะไรจะเสียเงิน เพราะมั่นใจว่า สิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่นั้น คือตัวตนของตัวเอง และไม่อยากจะเปลี่ยนอะไรที่เป็นความเคยชิน ชอบที่จะเป็นตัวของตัวเองแบบนี้”

หรือตอบ “ปฏิเสธ” แบบทันที เพราะ ไม่เชื่อว่า คนๆนั้นมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงจริงๆ

หรือบอกว่า “น่าลองดูนะ เพราะว่า ถ้าเราได้ใช้ชีวิตส่วนที่เหลืออยู่อย่างมีความสุข ก็คงจะดีแน่นอน”

หรือ สำหรับคนที่ชอบความตื่นเต้น อาจจะตอบ “ตกลง” ทันที เพราะเบื่อความจำเจ และชอบการเปลี่ยนแปลง โดยมีความหวังเล็กๆว่า “ทุกอย่างจะดีขึ้น”

หรือ บางคนอาจสนใจ แต่ก็ติดอยู่จำนวนเงินที่สูงมาก น่าจะเอาไปทำอย่างอื่นได้ดีกว่านี้
นานาจิตัง สำหรับคำตอบต่างๆ (เพราะชีวิตคุณ คุณมีสิทธิ์เลือกตัดสินใจ)

คำถามนี้ ก็คงคล้ายๆ กับ “กลยุทธ” ทางการตลาด ที่สถาบันลดน้ำหนัก อย่าง Body Shape นำมาเสนอ โดยยึดหลัก “การเปลี่ยนแปลง เพื่อสิ่งที่ดีกว่า” ให้กับคนทั่วไป บางคนยอมเสียเงินเป็นแสน เพียงเพื่อต้องการลดสัดส่วนเพียงไม่กี่นิ้ว ต้องยอมเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือ ติดหนี้นอกระบบ เพื่อให้ได้มาเพื่อความสวยงาม (เพียงนอกกาย)

หากจะมาลองคิดดูดีๆ เหตุผลที่คนเหล่านั้น เลือกที่จะเสียเงิน เพื่ออะไร?

เพื่อความเปลี่ยนแปลง?

เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น?

เพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับสิ่งดีๆ เข้ามาได้ในชีวิต?

ฯลฯ

และอีกคำถาม

คุณเคยต้องเสียเงิน เพื่อไปเข้า body shape ไหม?

คุณเคยต้องเสียเงินเพื่อไปซื้อเครื่องสำอาง (ที่คนอื่นเขาว่าดี) ไหม?

คุณเคยต้องเสียเงินไปเพื่อเข้าสปาทำสวยไหม?

คุณเคยต้องเสียเงินไปทำศัลยกรรมไหม?

คุณเคยต้องเสียเงินเพื่อซื้อ กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า เพื่อวิ่งตามแฟชั่นไหม?

และคุณเคยถามตัวเองไหมว่า? เหตุผลที่คุณต้องเสียเงินนั้น คุ้มค่าสำหรับชีวิตไหม? ส่งเสริมความเป็นตัวคุณไหม? หรือ สิ่งเหล่านี้แค่ช่วยทำให้คุณมั่นใจในการเดินออกจากบ้านเท่านั้น

มีคนเคยบอกเราว่า “คนอื่นจะมองเราแล้วเห็นอะไร มาจากความจริงที่เรามีมุมมองเกี่ยวกับตัวเราเอง 95%” (คนอื่นมีอิทธิพลแค่ 5%)

หากคุณอ่านแล้วคิดตามคุณคงได้รับ “คำตอบ” ไปแล้ว

พรุ่งนี้เรามาเฉลยนะคะ ว่าผู้หญิงในเรื่อง True Blood ยอมเสียเงิน 800 ดอลล่าห์ไหม?

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน



วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

งาน Sales CROCS

ก่อนจะเข้าเรื่อง True Blood ต่อ เรามีเรื่องระบายเล็กๆน้อยๆ สืบเนื่องจากเมื่อหลายวันก่อน เราได้ไปอ่านในเวปพันทิบ และรับรู้มาว่า วันที่ 12-15 ก.ย. นี้ จะมีงาน Sale 50-70% รองเท้ายี่ห้อ CROCS (รองเท้าหัวโตๆ) ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิต์

จริงๆเราตั้งใจจะไปตั้งแต่เมื่อวาน แต่สืบเนื่องจากตื่นสาย และได้เข้าไปอ่านในหลายๆกระทู้แล้วเขาเล่าว่า งานนี้คนเยอะมากๆ เรียกว่าต้องแจกบัตรคิว บางคนไปตอนสิบโมงกว่าๆ แต่กว่าจะได้เข้าไปซื้อก็ตั้งบ่ายสองแล้ว บางคนไปบ่ายสอง กว่าจะได้เข้าไปก็หกโมงเย็น คือว่า เขาจะให้เข้าไปทีละ 100 คน มีเวลาอยู่ในนั้นแค่ 1 ชั่วโมง (นั่นคือข้อความในกระทู้ที่เขาบรรยายออกมา แต่แตกต่างจากความเป็นจริงมาก) เราตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อไปให้ทันก่อน 10.00 เราไปถึงหน้าห้องจัดแสดง 9.45 ได้บัตรคิวที่ 72 (นึกยิ้มในใจ ได้เข้ารอบแรกแล้ว) ก่อนเข้า พนักงานได้แจกถุงใสๆใบใหญ่ (ประมาณว่าใส่น้ำตาลทรายได้ 50 กิโล) เมื่อเดินเข้าไปเราค้นพบว่า ห้องเล็กนิดเดียว เราเดินไปรอบๆห้อง สักพักมีเสียงคนประกาศผ่านไมค์ว่า

“แหม วันนี้วันจันทร์ แต่ Crocs ของเรา ก็ได้รับความสนใจดีเยี่ยม Brand เราดีจริงๆ ฯลฯ >>>>> สำหรับรอบนี้นะคะ มีเวลาในเลือกซื้อกันเพียง 15 นาทีเท่านั้น (เราคิดในใจ ไหนในกระทู้บอกว่า ชั่วโมงนึงไง) เมื่อครบแล้ว กรุณามาต่อแถวชำระเงินด้วย (มีเครื่อง cashier แค่ 4 เครื่อง) ด้วยความรีบ หรือมนตร์ตราเสียงในไมค์หรือเปล่า ก็ไม่ทราบ เราเดินหยิบรองเท้าใส่มาในถุงแล้ว 4 คู่ สนนราคารวมกันก็เกือบ 4 พันบาท (เฉพาะของเรา) และเมื่อเวลา 15 นาทีใกล้หมด มีเสียงตามไมค์สั่งให้พนักงาน หยุดพูดคุยกับลูกค้า หยุดหาเบอร์ให้ลูกค้า และลูกค้าทุกคนต้องไปยืนต่อแถวจ่ายเงิน เพราะว่ามี “ฝูงชน” กำลังรออยู่ด้านนอก เพื่อเตรียม “ทะลัก” เข้ามาซื้อรองเท้า (ประหนึ่งแจกฟรี) อีกหลายร้อยคน

และคำพูดผ่านไมค์นี้ ทำให้เรานึกเคืองในใจ แต่ก็ช่วยเรียกสติกลับคืนมา (ประมาณว่า ตื่นจะภวังค์) เราจึงรีบเอารองเท้าไปคืน 3 คู่ เหลือแค่ คู่เดียว เท่านั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า ตามห้างสรรพสินค้า ก็ลด 30% นี่ลดเพิ่มมาอีก 20% แค่นั้น แต่พวกเขา “ปฏิบัติ” กับเราประหนึ่งว่า เรามาขอของ “แจกฟรี” ให้เวลานิดเดียว แค่จะลองรองเท้าก็ไม่ทันแล้ว ไปซื้อตามห้างดีกว่า ครั้นจะไม่เอาเลยสักคู่ก็คงไม่ได้ เพราะ หากเดินออกไป ต้องผ่าน cashier นั่นหมายถึงคุณต้องจ่ายเงิน (คือ เงินต้องออกจากกระเป๋าของทุกคนที่เข้ามาในห้องนี้ ก่อนไปยังประตูทางออกได้) เราเสียเงินไป 795 บาท สำหรับรองเท้าหูหนีบเพียงคู่เดียว (คุ้มหรือไม่คุ้ม ไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่คงอยู่ที่ ศักดิ์ศรี และการควบคุมสติมากกว่า เราว่านะ!!!!) เราออกจากห้องนั้นมาตอน 10.40 ทำเวลาดีมากๆ

และนี่คือเรื่องราว การ Shopping ของ Sales ที่ดูเหมือนว่า วิธีการ และเทคนิคการขายนี้ “กระตุ้น” คนแต่ละคน ให้ยอมเปิดกระเป๋าเงิน ยินยอมจ่าย ในสิ่งที่ ณ ชั่วขณะนั้น โดยที่เขาแทบไม่รู้เลยว่า “เขาต้องการของสิ่งนั้นจริงๆหรือเปล่า?”

เคยไหมคะ เพื่อนๆ ที่บางทีเราไป Shopping ซื้อของมาตั้งเยอะแยะ เสียเงิน และรูดบัตรเครดิตจนเต็มวงเงินทุกใบ เมื่อเรากลับมาถึงบ้าน มานั่งนิ่งๆ มองดูของพวกนั้น และรู้สึกว่า “นี่เราทำอะไรลงไป อีกกี่วันต่อจากนี้ เราจะเอาอะไรกิน ณ ตอนนั้น ที่เราคิดว่า สิ่งเหล่านี้จำเป็น เป็นสิ่งที่เราต้องมี ขาดไม่ได้นั้น ชั่วขณะนั้น “สมอง” เราเป็นอะไร Error ชั่วคราว หรือ บ้าไปชั่วขณะกันหรือ?”

แต่ดูเหมือน “สติ” ณ ตอนนั้น ก็ไม่สามารถเปลี่ยนไป “พฤติกรรม” ที่เราทำมาแล้วได้ ก็คงได้แต่นั่ง “ปลง” และ บอกกับตัวเองว่า “ครั้งหน้าจะอดทน และเข้มแข็งต่อของ Sales ให้ได้มากกว่านี้” แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เพราะ “สัญญา” กับตัวเองสักกี่ครั้ง คุณก็ไม่เคยทำได้เลย ใช่ไหมคะ??????

อุ๊ย!!! ขอโทษคะ ว่าจะมาเขียนเรื่อง True Blood ต่อ เขียนเรื่องนี้ซะยาวเชียว ติดไว้ก่อนนะคะ เก็บคำตอบในใจคุณไว้นะคะ แล้วพรุ่งนี้เราจะมาเขียนให้เพื่อนๆได้อ่านอย่าง “กระจ่าง” อีกที

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

True Blood

ช่วงนี้คืนวันเสาร์ เป็นคืนที่เราเฝ้ารออย่างมาก (แหม หลายคนที่ติดตามไดอารี่ของเรามานาน คงคิดว่า เราคงติด Concert ของ True AF ไม่ใช่เลยคะ Season หลังๆ เราแทบไม่ได้ติดตามเลย ดูผ่านๆ)

เหตุผลจริงๆ ก็คือ มี Series เรื่อง True blood ทาง True Visions ช่อง 14 เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Vampire และสิ่งเร้นลับ (ในรูปแบบมนุษย์อื่นๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลก) เป็นเรื่องที่ชวนน่าติดตามเสียเหลือเกิน (สำหรับเรา เราชอบแนวนี้นะ แต่สำหรับเพื่อนๆ ดูแล้วอาจไม่ชอบก็เป็นได้)

ไดอารี่วันนี้ เราขอยกตัวอย่าง ตอนนึง ที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจ และทำให้เรา “หยุดคิด” ในประเด็นที่ “เนื้อหา” ของ Series เรื่องนี้ที่ต้องการจะ “สื่อสาร” กับผู้ชม

คือในเรื่องนี้ มีสิ่งมหัศจรรย์อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เวทมนตร์ แวมไพร์ มนุษย์ที่สามารถแปลงร่างเป็นสัตว์ได้ หรือแม้กระทั่ง หัวเป็นกระทิง แต่ส่วนอื่นเป็นมนุษย์ หมอผี ฯลฯ และก็เหมือนหนังเรื่องอื่นๆ ที่ต้องมี “มนุษย์” เป็นตัวดำเนินเรื่อง

ตอนนี้เป็นเรื่องระหว่าง มนุษย์คนนึง ที่เป็น “หมอผี” ขับไล่ความชั่วร้ายในตัวมนุษย์ให้ออกไปได้ และข่าวการขับไล่สิ่งชั่วร้ายของเขา ก็ไปสะดุดหูผู้หญิงแก่คนนึงที่เป็นคนเคร่งศาสนามาก แต่ยังคงดื่มเหล้าจัด เมาได้ตลอด 24 ช.ม.

วันนึงเธอได้มีโอกาสตามเพื่อนสนิทของเธอ ไปดูเขาไล่สิ่งชั่วร้ายในตัวของคนๆนึง และอยู่ๆ เขาก็ทักว่า เธอมีสิ่งชั่วร้ายอยู่ในตัว ให้เธอมาหาเขา พร้อมนำเงิน 400 ดอลล่าห์ (เป็นเงินที่มากพอควร) เพื่อจะกำจัดสิ่งเหล่านั้นออกจากตัว

ด้วยว่า เธอไม่ได้ทำงาน เงินที่ใช้อยู่ในทุกๆวัน ก็เอามาจากลูกสาวที่ทำงานเป็นพนักงานเสริฟ์ในบาร์แห่งนึง เธอจึงเล่าเรื่องนี้ให้ลูกสาวเธอฟัง พร้อมกับขอเงินเพื่อไปประกอบพิธีไล่สิ่งชั่วร้าย

ลูกสาวเธอไม่เคยเชื่อเรื่องนี้ แต่ด้วยความรักแม่ ไม่อยากขัดใจแม่ จึงไปหาเงินมาให้แม่ รวมถึงไปประกอบพิธีไล่สิ่งชั่วร้ายกับแม่ด้วย พิธีกรรมเริ่มขึ้น โดยเขาได้นำหิน (ที่เขาบอกว่า เป็นหินวิเศษ) มาวางบนตัวเธอ แล้วก็ท่องมนตร์ เธอก็กระตุกๆ เขาบอกว่า “สิ่งชั่วร้ายในตัวเธอ ไม่ต้องการออกมา ดังนั้น หากมันออกมาแล้วต้องหาร่างใหม่ให้มันสิง” เขาจึงดึงสิ่งชั่วร้ายในตัวเธอออกมาแล้ว แล้วนำไปใส่ในหนูตัวนึง (ที่อยู่ในกรง) และเขาก็ถ่วงหนูตัวนั้นให้ตายไปในน้ำ

พิธีกรรมดำเนินไปจนจบ และเมื่อหนูตัวนั้นได้ตายไปแล้ว เขาก็ยืนยันว่า ความชั่วร้ายได้หลุดออกไปจากตัวเธอแล้ว เธอจึงกลับบ้าน ด้วยความเชื่อหรืออะไรไม่ทราบ เธอได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ดื่มเหล้าอีกเลย หน้าตา และชีวิตของเธอหลังจากนั้น สดใส สวยงาม สร้างความเบิกบาน และดีใจให้ลูกสาวเธอยิ่งนัก (จากที่ไม่เคยเชื่อเรื่องนี้ ลูกสาวเธอยอมเปิดใจเชื่อเล็กๆ)

หมอผี เขาได้ฝากทิ้งคำถามบางอย่างให้กับลูกสาวของเธอว่า

จริงไหม? ที่เธอไม่มีเพื่อน

จริงไหม? ที่เธอคบกับใครไม่ได้นาน

จริงไหม? ที่เธอมักอารมณ์เสีย โดยไม่มีสาเหตุ

จริงไหม? ที่ไม่มีใครรักเธอจริง

จริงไหม? ที่เธอทำงานที่ไหนไม่ได้นาน ต้องมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน

จริงไหม? ที่เธอโหยหาครอบครัวที่มีความสุข

จริงไหม? ที่เธอ ไม่เคยมีเงินเก็บ

รู้ไหม? เพราะอะไร? เพราะว่า มีสิ่งชั่วร้ายบางอย่างอยู่ในตัวเธอ ถ้าเธอต้องการขับไล่มันออกไป เอาเงินมา 800 ดอลล่าห์ และเขาจะประกอบพิธีกรรมให้

และเมื่อสิ่งนั้นออกจากตัวเธอไปแล้ว เธอจะค้นพบชีวิตใหม่ ชีวิตดีขึ้น มีแต่คนรัก มีหน้าที่การงานที่ดี และเงินทองก็ไหลมาเทมา

เบรคเรื่องนี้ไว้ก่อนนะคะ

และถ้าเป็นเพื่อนๆ ผู้อ่านล่ะ

จะยอมจ่ายไหม?

หรือเคยถามตัวเองไหมว่า? ทำไม? เราถึงไม่มีรักแท้ ไม่มีเพื่อนที่จริงใจ ทำงานที่ไหนไม่เคยยั่งยืน ไม่มีเงินเก็บ มีแต่หนี้ หรือแม้กระทั่ง ไม่มีความสุขในครอบครัว

ถ้าคุณเคยมีคำถามเช่นนี้อยู่ใน “หัว” คุณจะยอมจ่ายเงิน 800 ดอลล่าห์ เพื่อที่จะเปลี่ยนมันไหม? ลองตรองดูดีๆนะคะ ตอบคำถามนี้ในใจ

แล้วพรุ่งนี้มาอ่านกันต่อ เพราะ “คำตอบ” รอคุณอยู่

กิจกรรมในวันนี้ เราตื่นก็ 10 โมงเช้ากว่าๆแล้ว เนื่องจากเมื่อคืนนอนตี 3 (นั่งดูบอลอยู่) ใครที่เคยรู้จักเรา อาจจะแปลกใจว่า เดี๋ยวนี้ เราเป็นคนติดดูบอลแล้วหรือ? 55555555+ ไม่ต้องตกใจไปคะ เราดูเพราะเราได้เห็น ได้เรียนรู้ ได้แง่คิดอะไรหลายๆอย่าง จากการดูคน 22 คน พยายามอย่างยิ่งที่จะนำพา “ลูกกลมๆ ชื่อสากลเรียกว่า ฟุตบอล” เพื่อไปให้ถึงจุดมุ่งหมาย ซึ่งบางที บางคน อาจต้องทำผิดกติกา ได้ใบเหลือง ใบแดง กันไปบ้าง แต่สุดท้าย บอลทุก match ก็มี “บทสรุป” เสมอ (เอาไว้เราจะมาขยายความให้ฟังอีกทีนะคะ เดี๋ยวเขียนไปเขียนมาจะยาวเปล่าๆ) ตกบ่าย เราก็ไปว่ายน้ำ หลังจากไม่ได้ไป 2 อาทิตย์แล้ว เมื่อตัวลงน้ำ รู้สึกผ่อนคลาย และสบายใจ เราว่ายไปเรื่อยๆ ประมาณ 45 นาที เราก็รีบขึ้นจากสระ อาบน้ำ สระผม เพื่อไปทาน “คิงคอง” (เนื้อย่างเกาหลี) ที่สาขา ทาวน์อินทาวน์ (อร่อยมาก ขอบอก) ใครที่เป็นแฟนของปิ้งๆย่างๆ ไม่ควรพลาดเด็ดขาด

ย้อนไปเมื่อวาน เนื่องจากกระแส ขนมคัสตารด์ญี่ปุ่นมาแรง และร้าน custard nakamura ดังมาก เราจึงขับรถ ฝ่าฟันรถติดไปซื้อมา ด้วยความลำบากในการไปถึงร้าน ทำให้เราซื้อมาเพียบ ไม่ว่าจะเป็น คัสตารด์ ชูครีม ชูพาย แซนวิชหมูทอด แซนวิชสลัดมันฝรั่ง แซนวิชเนื้อย่าง โคโรเกะ ขนมไข่ ฯลฯ อื่นอีกมากมาย มารู้ตัวอีกทีก็ตอนคิดเงิน หมดไป 657 บาท (ตอนนี้สิ่งที่ซื้อมายังคง “นอน” รอเราอยู่ในตู้เย็น)

พอแล้ว ไดอารี่วันนี้ยาวเกินควรแล้ว ขอตัวไปดูบอลต่อนะคะ ช่วงนี้พักครึ่งอยู่ หลับสนิทนะคะทุกท่าน

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน






ชัยชนะ

ถ้าหากจะกล่าวถึง เรื่อง “แพ้-ชนะ” เราเชื่อว่า หลายๆคน คงต้องการให้ครั้งนึงในชีวิต ของตัวคุณเองเป็น “ผู้ชนะ” ไม่ว่าจะเรื่องอะไร (การเรียน การงาน ความรัก ฐานะทางสังคม หรือ การยอมรับ)

“ชัยชนะ” เป็นแค่ “นามธรรม” (เป็นสิ่งที่ “จับต้องไม่ได้” แต่ “รู้สึก และรับรู้ได้” รวมถึงเราต้องการที่จะ “ค้นพบ” มันสักครั้งในชีวิตด้วย) ดังนั้น คงไม่แปลก หากคนส่วนใหญ่ “ต่อสู้ ฟาดฟัน” เพื่อให้ได้มันมา โดยไม่สนใจหน้าอินทร์ หน้าพรหม ที่ไหน?

“ไม่อ้างอิงกติกา ไม่ย่อท้อต่อคำสบประมาท” เพราะหากจะได้มา แม้ต้อง “สูญเสีย” ความเป็นตัวตน หรือทรัพยากรที่สะสมมาตลอดทั้งชีวิต มนุษย์เช่นเราๆ ก็ต้อง “กระเสือกกระสน” เพื่อให้ได้ “เป็น” ผู้ชนะสักครั้งในชีวิต

เราได้มีโอกาสดูละครเรื่อง “ไฟโชนแสง” ระหว่างที่เราดูเพื่อความบันเทิงอยู่นั้น ในใจของเราก็ “วิเคราะห์” บทบาทของ “เมย์ เฟื่องอารมณ์” ตัวเด่นของเรื่อง คนเขียนบท เขียนให้เธอเป็น หญิงสาวผู้เพียบพร้อมไปด้วย รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ แต่สิ่งที่เธอ “มีอยู่” นั้น ดูเหมือนจะ “หล่อหลอม” ให้เธอ “คิดไปเอง” ว่า ทุกๆสิ่งในโลกนี้ ไม่มีอะไรที่เธอจะไม่ได้มา “เธอคือผู้ชี้เป็นชี้ตาย ชี้นิ้ว ชนะได้ทุกอย่างในโลกนี้” จนกระทั่ง เธอ “ค้นพบ” ว่า ชายผู้เดียว (พระเอก) เป็นคนเดียวที่ “ปฏิเสธ” เธอ

ด้วยความ “กระหายอยากจะเอาชนะ” และเป็น “ผู้ครอบครอง” จึงทำให้เธอ “สรรหา” วิธีการ “สร้างสรรค์” สถานการณ์ ยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้มา ซึ่งชายคนที่เธอต้องการจะเอาชนะ เธอยอมตบตี ยอมอับอาย ยอมคิดหนัก ยอมให้คนอื่นมองว่า “บ้าผู้ชาย” เพียงเพราะเหตุผลเดียว นั่นคือ “ต้องการจะเอาชนะ และได้ผู้ชายคนนี้มาครอบครอง” (โดยที่เธอหลอกตัวเองว่า เธอรักเขา แต่จริงๆ ลึกๆในใจของเธอนั้น เธอรักตัวเธอเอง และทำทุกอย่างเพื่อตัวเธอเองทั้งนั้น)

หากใครได้ดูละครเรื่องนี้ ก็คงจะพอเข้าใจว่า “ชัยชนะ” สำหรับบางคนแล้วนั้น อาจเป็น “จุดมุ่งหมายแห่งชีวิต” ที่ต้อง “แข่งขัน” แบบเอาเป็นเอาตาย ถึงแม้บางครั้งอาจจะสงสัยในบางขณะว่า “เรากำลังทำอะไรอยู่นะ? หรือสิ่งที่เราบากบั่น วิ่งไล่ตามอยู่นั้นมีจริงหรือเปล่า” (แต่ไม่ว่า คำถามเหล่านั้น จะแวบเข้ามาในหัวเท่าไหร่?) ก็ “สายเกินไป” แล้ว ที่จะ “ถอยหลัง” สุดท้ายก็ต้อง “เดินหน้า” ต่อไป “ถลำลึก” หลงเข้าไปในวนเวียนของ “การหมกมุ่น”

คุณเคยไหมคะ? ที่ “ต้องการ” บางสิ่งบางอย่าง แบบไม่มีเหตุผล?

คุณเคยไหมคะ? ที่ “ยอมทุ่มเท” ทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อบางสิ่ง แบบไม่มีเหตุผล?

คุณเคยไหมคะ? ที่ “คิดแผนการณ์” เพื่อบางสิ่งบางอย่าง แบบไม่มีเหตุผล?

คุณเคยไหมคะ? ที่ “ยอมผิดใจกับคนอื่น” เพื่อบางสิ่งบางอย่าง แบบไม่มีเหตุผล?

คุณเคยไหมคะ? ที่ “วิ่งไล่ตาม” บางสิ่งบางอย่าง แบบไม่มีเหตุผล?

คุณเคยไหมคะ? ที่ “มุ่งมั่น ยอมทำทุกอย่าง” เพื่อบางสิ่งบางอย่าง แบบไม่มีเหตุผล?

หากคุณเคย หรือคิดที่อยากจะเป็น “ผู้ชนะ” ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม คุณเคยย้อนถามตัวเองไหม? ว่า “ชัยชนะ” ที่คุณวิ่งตามหาอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น “คุณต้องการมันจริงๆหรือเปล่า?”

ฝากไว้ให้คิดกันเล่นๆนะคะ

เกือบตีสองแล้ว ตอนนี้เรากำลังดูบอล “เอสปันญ่อล เตะกับ เรอัล มาดริต” กำลังสนุกเชียว ขอตัวไปดูบอลต่อก่อนนะคะ

หลับสนิทนะคะเพื่อนๆ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

Final destination 4 (ว่าด้วยเรื่อง "ความตาย")

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เราไปดูหนังเรื่อง final destination 4 มา หนังเรื่องนี้ต้องแน่มากๆ ที่ถ่ายทำมาถึง 4 ภาคแล้ว (เราไม่เคยพลาด ต้องติดตามดูทุกภาค) หากเพื่อนๆคนไหนที่ติดตามหนังเรื่องนี้มาตลอดทุกภาค ก็น่าจะพอรู้ว่า หนังเรื่องนี้มี pattern เดิมๆ แต่จะแตกต่างกันก็ตรงวิธีที่ "ยมฑูตแห่งความตาย" มาเรียกความยุติธรรมคืน จากผู้ที่โกงความตาย (ด้วยความตั้งใจ หรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม) และวิธีเหล่านี้แหละ ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ ท้าทายความอยากรู้อยากเห็นของผู้รับชมได้มาก (และเราก็เป็นพวกอยากรู้อยากเห็นด้วย)


ยิ่งดูหนังเรื่องนี้ ทำให้เราได้เข้าใจ และมองเห็น "สัจธรรมที่แท้จริงของชีวิต" นั่นคือ "ไม่มีใครหนีความตายได้ ไม่ว่าคนๆนั้น จะรู้ล่วงหน้า จะระมัดระวังในการใช้ชีวิตแค่ไหน หรือแม้กระทั่งเทคโนโลยีสมัยใหม่ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ "หนีจากความตาย" ได้ เมื่อถึงเวลา "ตาย" ทุกคนก็ต้อง "ตาย" ไม่สามารถหนีพ้น ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐีหมื่นล้าน ยาจก คนตัวเล็กๆ หรือ ใหญ่โตแค่ไหน ในโลกใบนี้ สุดท้ายก็ต้อง "ตาย" อยู่ดี"


และที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ "ความตาย" หรือ "วิธีการตาย" ของแต่ละคนนั้น ไม่มี pattern ที่แน่นอน แต่ละคนจะมีวิธีการจบชีวิต และลาจากโลกนี้ แตกต่างกันไป และความมหัศจรรย์ของธรรมชาตินี้แหละ ที่ทำให้ "ชีวิตดูมีความหมาย และความน่าตื่นเต้นที่แตกต่างกันไป"


สำหรับหนังเรื่องนี้ "กระตุ้น และเตือน" ให้เรามองเห็นวิถีความไม่แน่นอนของชีวิต และธรรมชาติมากขึ้น เพราะในทุกๆวินาทีของอนาคต อะไรก็เกิดขึ้นได้ บางทีเราอาจคิดว่า เรายังเด็กอยู่ สาวอยู่ อายุยังน้อย ยังมีโอกาสได้ใช้ชีวิต และสนุกกับชีวิตได้เยอะ แต่เปล่าเลย "ความตาย" ไม่เคยมีกฏ ไม่เคยคำนึงถึงอายุ แต่ความตาย จะเดินมาหาคนที่ไม่เตรียมตัวเองให้พร้อม เราพูดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า ทุกๆวันเราต้องใช้ชีวิตแบบซังกะตาย หรือรอเวลาตายมากเกินไป 


กฏข้อเดียวก็คือ 


"หากเราต้องการชนะ ความตายให้ได้ เราควรดำเนินชีวิตในแต่ละวันอย่างไม่ประมาท


เช่น ไม่โกรธใครข้ามวัน (เพราะเราไม่รู้ว่า พรุ่งนี้เราจะมีโอกาสให้อภัยเขาไหม?) 


ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง (เพราะเราไม่รู้ว่า พรุ่งนี้เราจะมีโอกาสได้ทำอะไรไหม?) 


พึงกระทำดี ต่อคนที่คุณรัก และเขารักคุณให้มากๆ (เพราะเราไม่รู้ว่า พรุ่งนี้เราจะมีโอกาสเสพความสุขเช่นนี้อีกไหม?)


และเหตุผลอื่นๆที่มากมาย


เมื่อกล่าวถึง "ความตาย" ทำให้เราย้อนมองถึง "การมีชีวิต" และ "เหตุผล" ที่มนุษย์แต่ละคน "กล่าวอ้าง" เพื่อให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเพียงวันเดียว เดือนเดียว หรือปีเดียว แต่ก็มีคนบางประเภท ที่ไม่พอใจกับการมีชีวิต และต้องการจะ "จบชีวิต" ของตัวเองซะ ด้วยเหตุผลเพียงเล็กๆว่า "ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม โลกนี้ไม่เหมาะสำหรับเขาหรือเธอแล้ว ฯลฯ" สารพัดจะอ้างมาเพื่อ "ดับชีวิต" ของตัวเอง 


นี่แหละหนาโลกมนุษย์ "คนอยากตายก็อยากเหลือเกิน สารพัดหาวิธีมาดับชีวิตของตัวเอง คนอยากอยู่ก็อยากเสียเหลือเกิน ยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ตัวเองได้อยู่ต่อในโลกใบนี้"


และนี่คือ "ความไม่สมดุลของโลกใบนี้" และปัญหาเหลานี้นี่แหละ ทำให้โลกมนุษย์ใบนี้ มีสิ่งดึงดูด น่าสนใจ และน่าค้นหา "เหตุผล และคำตอบ" ใน "คำถาม" ที่เราไม่รู้ด้วยว่่า "จริงๆแล้ว คำตอบมีอยู่จริงไหม?”


และนี่คือ "อัศจรรย์ของชีวิต" ฝากไว้ให้คิดเล่นๆกันนะคะ


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน










วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

tag ล่าสุด

คำถามชุดที่ 1

1. วันนี้วันที่เท่าไหร่? (เอาแต่วันที่อย่างเดียว เดือนไม่เอา)

9 เดือน 9 ปี 09


2. เวลาเห็นคะแนนสอบของตัวเองแล้วคุณรู้สึกยังไง?

ก็โอเคนะ


3. คุณมีเพื่อนกี่คน?

ไม่เยอะมากนะคะ ไม่กี่คนเท่่านั้น


4. วันนี้ว่างจัง คุณจะทำอะไรดี?

ไปว่ายน้ำ เล่นโยคะ หรือไม่ก็นอนอ่านหนังสือที่มีอยู่เต็มตู้ แต่อ่านไม่เคยจบ


5. ถ้าพรุ่งนี้โลกจะแตกแล้วทุกคนตายหมด วันนี้คุณจะทำอะไร?

ก็คงอยู่บ้าน นั่งน่ิงๆอยู่กับตัวเอง และคนที่รัก


6. คุณชอบสีอะไรมากที่สุด?

สีเขียว


7. ตอนนี้กี่โมงแล้ว?

สามทุ่มสองนาที


8. ตอนนี้ในกระเป๋าตังค์คุณมีเงินอยู่เท่าไหร่? (หยิบขึ้นมานับเดี๋ยวนี้!)

เจ็ดพันห้าร้อยสี่สิบบาท


9. คุณชอบไปเที่ยวที่ไหน?

ทะเล และน้ำตก


10. ของราคาเกิน 100 บาทชิ้นล่าสุดที่คุณซื้อคือ?

กางเกงเดินชายหาด 149 บาท


11. มีผู้ชายแต่งตัวสกปรกเดินมาหาคุณ บอกว่าเขาทำกระเป๋าตังค์หาย

ก็ช่วยเขาตามความเหมาะสม


12. ถ้าคุณเห็นคนแปลกหน้าโดนชนแล้วหนี นอนเลือดท่วมอยู่บนถนน คุณจะทำยังไง?

โทรเรียกรถพยาบาล


13. ถ้าวันนึงคุณตื่นเช้ามาพบว่าตัวเองมีหูแมวงอกขึ้นมาบนหัว คุณจะตะโกนว่า?

วอดก้า ทำอะไรกับพี่อ่ะ


14. เขียนประโยคภาษาอังกฤษ 1 ประโยคที่มีมากกว่า 3 คำ

Please HEAR!!!! what's I am not saying


15. เพื่อนสนิทของคุณเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย?

ผู้ชาย


16. คำพูดสั้น ๆ ที่อธิบายความเป็นตัวคุณ?

ดื้อเงียบ


หมวดอาหาร


น้ำสลัดที่ชอบ

: ซีซ่าร์สลัด

 

 ร้านอาหารแบบนั่งกินในร้านที่ชอบ

: อู้ดดี้เพลส (เกาะช้าง)

 

 อาหารอะไรที่คุณจะกินติดต่อกันได้ถึง 2 สัปดาห์โดยไม่เบื่อซะก่อน

: สลัดมันฝรั่ง

 

 หน้าพิซซ่าที่ชอบ?

: ฮาวายเอี้ยน และ อูกราแตง

 

 ชอบทาอะไรบนขนมปังที่กิน

: เนยถั่ว


หมวดเทคโนโลยี


ที่บ้านมีโทรทัศน์กี่เครื่อง

: ข้างล่าง 4 ข้างบน 4


โทรศัพท์มือถือที่ใช้สี

: สีดำ


หมวดชีววิทยา


 ถนัดขวาหรือซ้าย

: ถนัดขวา

 

 มีส่วนไหนของร่างกายที่เคยถูกเอาออกไปรึเปล่า

: ถ้าอวัยวะภายในไม่เคย ส่วนเส้นขน เส้นผม หรือเล็บภายนอก ก็ตัดตามความเหมาะสม

 

 ของหนักชิ้นล่าสุดที่ยก

: ถุง shopping

 

 เคยโดนซัดจนสลบมั้ย

: ไม่เคย


หมวดเพ้อเจ้อ


 

 ถ้าเป็นไปได้ จะอยากรู้วันตายของตัวเองมั้ย

: ไม่อยากรู้

 

 ถ้าเปลี่ยนชื่อได้ จะเปลี่ยนเป็นอะไร

: คิดว่าไม่มีทางเปลี่ยนแน่นอน

 

 จะยอมดื่มซอสพริกหมดขวดมั้ย ถ้าจ้าง 4 หมื่น

: ไม่ดีกว่า


 

 รอบงี่เง่า


 

 มีรองเท้าแตะกี่คู่

: หลายคู่มากมาย (แต่ที่ใส่ประจำก็ scholl คู่เดียวเลย)

 

 ครั้งล่าสุดที่มีเรื่องกับตำรวจ

: โดนแจกใบสั่ง

 

 คนที่คุยด้วยล่าสุด

: พี่ยุ พี่ที่เกาะช้าง

 

 คนที่กอด ล่าสุด

: ไม่บอก แต่ต้องกอดทุกๆ สิบนาที


 รอบของโปรด


 

 ฤดูโปรด

: หน้าหนาว 

 

 วันหยุดโปรด

: วันคริสต์มาส และปีใหม่ (หยุดยาว)

 

 วันในสัปดาห์

: วันเสาร์

 

 เดือนโปรด

: เดือนธันวาคม (สิ้นปีเสียที)

 

 

 รอบตอนนี้


 

 คิดถึงใครอยู่ป่าว

: คิดถึง.... (แม้จะอยู่ห่างกันแค่เอื้อม) แต่ความคิดถึงไม่เคยปราณีใคร

 

 นี่อารมณ์ไหน

: อารมณ์ลุ้นบอล แทง (ในใจ) ไปหลายคู่อยู่

 

 ฟังเพลงอะไรอยู่

: Heal the world

 

 ดูอะไรอยู่

: ดูไฟโชนแสง

 

 

 กังวลอะไรอยู่

: ไม่มีเลย ว่างเปล่า


 

 รอบมั่วๆ ไป

 

 

ที่แรกที่ไปมาเมื่อเช้านี้

: Katsu King ที่สยาม

 

 หนังเรื่องสุดท้ายที่ดู

: Final Destination 4 เมื่อวานนี้

 

 ยิ้มบ่อยมั้ย

: เกือบตลอดเวลา


ว๊า คำถามหมดแล้ว ชอบจังเลย เล่น tag แบบนี้ ขอตัวไปกินข้าวก่อนนะคะ


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน




         



TAG

ขออนุญาติ เล่น tag บ้างดีกว่า (ชอบจริงๆเลย การตอบคำถามเนีย ยิ่งไม่ต้องคิดคำถามเองแล้วล่ะก็ ชอบสุดๆ เพราะแต่ละวัน เราแต่ละคนก็ตั้งคำถามให้กับตัวเองเยอะแล้ว ขอแบบ "คำถามสำเร็จรูป" บ้างดีกว่า)



รอบคำถาม

QUESTION-ROUND


....

1) รับโทรศัพท์ทุกครั้งรึเปล่า

โดยปกติแล้ว เราก็รับโทรศัพท์ทุกเบอร์นะ ยกเว้นเวลาอาบน้ำ หรือกินข้าวเท่านั้นที่เรามักจะพลาดไป 

....

2) ถ้าตอนตี 4 มีคนส่ง Msg มา คิดว่าเป็นใคร

คงเป็น sms ประมาณว่า "ตรวจสอบดวงชะตาของคุณได้ก่อนใครได้แล้ววันนี้ ที่ 1900 1900....................”

....

3) ถ้าเปลี่ยนสีตาได้ อยากได้สีอะไร

: ข้างละสีเขียว

....

4) เคยเลี้ยงปลามั้ย

: เคยเลี้ยง แต่ตายหมด (ค่อยๆตายทีละตัว จนหมดตู้ ฝังไม่ทันกันเลยทีเดียว) เราเลยเลิกเลี้ยง ดูท่าแล้ว จะเลี้ยงแล้วไม่รุ่ง)

....

5) เพลงคริสต์มาสที่ชอบ

: Hard, the Herald angels sings and when u believe

....

6) วันเกิดอยากได้อะไร

: อีกตั้ง 10 เดือนแน่ะ ค่อยๆคิดก็ได้ (แต่โดยปกติแล้ว ไม่ค่อยอยากได้อะไรวันเกิด แค่เค้กสักก้อน อยู่กับคนที่เรารักก็พอแล้ว) 

....

7) วิดพื้นได้มั้ย

: ไม่เคยลองอ่ะ ไปลองก่อนนะ แล้วจะมาบอก

....

8) ยกตัวได้มั้ย

: เล่นโยคะเขาเรียกว่า "ยกตัว" ได้ป่ะ

....

9) กังวลหรือตื่นเต้นกับอนาคต

: ไม่กังวล หรือตื่นเต้นอะไรเลยกับ "อนาคต" (ที่ยังมาไม่ถึง) เพราะ "ปัจจุบัน" ในแต่ละวันก็มีเรื่องให้กังวล และตื่นเต้น แทบจะทุกจังหวะของชีวิตแล้ว

....

10) มีข้อความที่เก็บไว้รึเปล่า

: ถ้าหมายถึง sms เป็นคนชอบสะสม รวมๆกันหลายๆเครื่อง ก็เป็นหมื่นได้แล้วมั้ง 

....

11) เคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์รึเปล่า

: ไม่เคยนะ เพราะเราขับรถช้ายิ่งกว่าเต่า คงไม่ไปชนคนอื่น แต่ถ้าคนอื่นขับเร็วมาชนไม่แน่นะ 

....

12) มีสำเนียงในการพูดมั้ย

: ก็สำเนียงปกตินะ 

....

13) เพลงล่าสุดที่ฟังแล้วร้องไห้

: อยากรู้แต่ไม่อยากถาม (เพิ่งจะเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของ "คนฟังเพลงนี้")

....

14) มีแผนอะไรคืนนี้มั้ย

: ดูบอลโลกรอบคัดเลือก (กลายเป็นคนดูบอลตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?) ถ้าเราอยากอยู่กับคนดูบอลอย่างสันติวิธี เราต้องปรับตัว

....

15) เคยรู้สึกเหมือนว่าชีวิตมันย่ำแย่สุดๆ มั้ย

: เคยสิ แต่ทุกๆครั้งที่เราเชื่อว่ามัน "ย่ำแย่ที่สุด" แล้ว สุดท้าย เราก็ผ่านมันมาได้ทุกที เพราะจริงๆแล้ว อะไรจะห่วย? อะไรจะย่ำแย่? หรือชีวิตจะหมดความหมายยังไง? ก็ขึ้นอยู่กับ "ความคิดของตัวเรา" เท่านั้นแหละ (มองให้ใหญ่ก็ใหญ่ มองให้เล็กก็เล็ก) งั้นพวกเรามา "หยีตา" มองปัญหากันเถอะ

....

16) บอกมา 3 อย่างที่เพิ่งซื้อในสัปดาห์ที่ผ่านมา

: ซื้อหลายอย่างอ่ะ 

....

17) เคยมีคนมาให้ดอกกุหลาบรึเปล่า

: มีคะ

....

=> ข้อ 18 หายไปไหน - -" << -*-?

: ไปส่ง SMS 09/09/09

....

19) ตอนนี้เกลียดอะไร

: ไม่เกลียด หรือไม่พอใจอะไรนะ ชีวิตปกติ  


20) เคยเจอใครที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนเลยมั้ย

: การที่ได้แค่เจอ หรือรู้จักใครสักคน แล้วทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปคงไม่มี หากจะเปลี่ยนก็อาจด้วยการปรับตัว เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนๆนั้นได้ต่างหาก

....

21) เริ่มต้นปีใหม่ยังไง

: เริ่มต้นด้วย การมองพลุบนฟ้าเพียงลำพัง และตอนเที่ยงคืน ก็มีโทรศัพท์จากคนที่รัก และเรารอเขามาตลอดโทรมา แต่สุดท้ายก็เริ่มต้นปี ด้วยการทะเลาะ และร้องไห้อย่างรุนแรง (แต่เราก็ผ่านมันมาได้) เพราะหลังจากวันนั้น เราและเขาก็...

....

22) เพลงไหนบ่งบอกความเป็นคุณได้ดี

: stay the same

....

23) บอกมาซัก 3 คนที่น่าจะเล่นอันนี้ต่อ

: น้องเบียร์, คุณวะวาย และคุณพิม

....

24) เมื่อคืนตอนเที่ยงคืนทำอะไรอยู่

: นอนดูทีวีไปเรื่อยๆ (เพราะช่วงนี้นอนดึก)

....

25) สิ่งแรกที่คิดเมื่อตื่นนอน

: ยิ้มไว้ วันนี้เป็นวันที่วิเศษสุดที่สุด


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน (สนุกมากเลย) ใครมี tagแบบนี้ มาแบ่งปันกันอีกนะคะ ชอบๆอ่ะ