“ความฝัน” ถ้าหากพูดเรื่องความฝัน ก็คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “ไม่เคยฝัน” แล้ว “ความฝัน” ในแต่ละคืนนั้น ก็ดีบ้าง ร้ายบ้าง แต่ก็มีความฝันอีกไม่น้อย ที่เมื่อเราตื่นขึ้นมา เราจำได้ลางๆว่าฝัน แต่เรากลับจำเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้เลย
หากเราตื่นขึ้นมาพบว่า “เราฝันร้าย” แต่ละคนก็มีวิธี “การแก้ฝัน” แตกต่างกันไป
บ้างก็ตื่นมาแล้ว พลิกหมอนกลับด้านแล้วนอนต่อ ด้วยความเชื่อที่ว่า ความฝันนั้นจะไม่ต่อเนื่อง และวิ่งตามมาเป็นจริงได้ในชีวิตเรา
บ้างก็ตื่นมาแล้ว วิ่งไปเข้าห้อง ปล่อยปัสสาวะ หรืออุจจาระออกมา แล้วพูดความฝันที่ร้ายนั้นพร้อมกันไปด้วย แล้วกดชักโครกทิ้ง เพื่อทิ้งความฝันเหล่านั้น
บ้างก็ตื่นมาแล้ว วิ่งไปล้างหน้า อาบน้ำ แปรงฟัน เพื่อทำให้ตัวเองตื่น และสดชื่น เพราะเชื่อว่า ความฝันจะตามมาหลอกหลอนเราไม่ได้
บ้างก็ตื่นมาแล้ว ลุกขึ้นไปเปิดหนังสือ “พยากรณ์ความฝัน” เพื่อที่จะ “ตีความฝัน” นั้นเป็น “เลข” ไว้เล่นหวย
บ้างก็ตื่นมาแล้ว คว้าโทรศัพท์ โทรไปปลุกชาวบ้านมาช่วยปลอบประโลมใจยามฝันร้าย (ไม่แน่นะคะ เสียงโทรศัพท์ของคุณ อาจสร้าง “ฝันร้าย” ให้ใครอีกหลายๆคน ที่นอนหลับยาก แต่ตื่นง่ายก็ได้)
แต่หากคืนไหน เรานอนหลับ “ฝันดี” เราก็แทบไม่อยากจะตื่นเลย (เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกตอนเช้าดังขึ้น) เนื่องด้วยว่า เรากลัวที่จะเดินหนีจากฝันเหล่านั้น เพื่อเผชิญหน้ากับชีวิตแห่งความเป็นจริง (ที่แสนโหดร้าย และไม่มีความยุติธรรม) เราอยากจะนอนฝันอยู่เช่นนี้ จนสาย บ่าย เย็น หรือฝันมาราธอน 2 คืนติดกันยิ่งดีใหญ่
การเข้าใจ “กำเนิด” ของ “ความฝัน” ก็แตกต่างกันออกไป
บ้างก็ว่า “ความฝัน” สะท้อนอะไรหลายๆอย่างใน “จิตใจของเรา” (สิ่งที่เราเก็บไว้ ไม่ว่าควรกลัว ความกังวล หรือสิ่งที่หัวใจลึกๆของเราต้องการที่จะหลีกเลี่ยง)
บ้างก็ว่า “ความฝันเป็นเรื่องลึกลับ” แต่เป็น “ปรารถนา” ของผู้ฝัน และ ฝันเป็น “ข่าวสาร” ที่ส่งขึ้นมาจาก “จิตไร้สำนึก” สู่ “จิตสำนึก” ของผู้นั้นเอง
บางคนก็เข้าใจว่า “ความฝัน” เป็นภาพเงาของตนที่จะปรากฏขึ้นในอนาคต หรือเป็นภาพเงาของโลกซึ่งวันเวลาอันไม่สิ้นสุดได้สูญสลายไปแล้ว บางคนเชื่อว่าความฝันเป็นการท่องราตรีของวิญญาณ หรือจิต (Spirit) ซึ่งออกจากร่างกายไปขณะหลับ ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ได้พบปะผู้คน และไปอย่างโลดโผนอย่างไรก็จะเป็นเรื่องราวความฝันเช่นนั้น วิญญาณ หรือจิตที่ท่องเที่ยวไป
บ้างก็ว่า ความฝันคือ ประสบการณ์ของภาพ เสียง ข้อความ ความคิด หรือความรู้สึกในขณะที่กำลังนอนหลับ โดยผู้ที่ฝันส่วนใหญ่ไม่สามารถควบคุมได้ และ ความฝัน สามารถเกิดได้ตั้งแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคม จนถึงเรื่องเหลือเชื่อ รวมไปถึงเรื่องสนุกสนาน เรื่องตื่นเต้น เรื่องน่ากลัว เรื่องเศร้า ที่เรียกว่า “ฝันร้าย” และในบางครั้งความฝันจะมีเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีผลต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการฝันเปียกในผู้ชาย หลายๆครั้งที่ความฝันเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกทั้งทางด้านจิตใจ และทางด้านศิลปะให้แก่ผู้ที่ฝัน
“ความฝัน” คือจังหวะที่ “จิตใต้สำนึก” ได้ “ปลดปล่อย” อย่างแท้จริง
แล้วไม่ว่า คืนนี้ คืนหน้า หรือคืนไหน ที่คุณต้องตื่นขึ้นมา พร้อมเรื่องแห่งการผจญภัยของจิต (ความฝัน) ไม่ว่าจะดี หรือร้ายแค่ไหน ก็สรุปได้สั้นๆว่า ณ คืนนั้น คุณได้ปลดปล่อยหน้ากาก ปลดปล่อยเรื่องราวที่ฝังลึกๆอยู่ในจิตใจออกไปแล้ว
“ความฝันจะสวยงาม หรือจะเลวร้ายแค่ไหน?” ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณได้ “นำพา” เข้าไปในจิตใจของคุณ ยามคุณรู้สึกตัว หรือตื่นอยู่
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
หากเราตื่นขึ้นมาพบว่า “เราฝันร้าย” แต่ละคนก็มีวิธี “การแก้ฝัน” แตกต่างกันไป
บ้างก็ตื่นมาแล้ว พลิกหมอนกลับด้านแล้วนอนต่อ ด้วยความเชื่อที่ว่า ความฝันนั้นจะไม่ต่อเนื่อง และวิ่งตามมาเป็นจริงได้ในชีวิตเรา
บ้างก็ตื่นมาแล้ว วิ่งไปเข้าห้อง ปล่อยปัสสาวะ หรืออุจจาระออกมา แล้วพูดความฝันที่ร้ายนั้นพร้อมกันไปด้วย แล้วกดชักโครกทิ้ง เพื่อทิ้งความฝันเหล่านั้น
บ้างก็ตื่นมาแล้ว วิ่งไปล้างหน้า อาบน้ำ แปรงฟัน เพื่อทำให้ตัวเองตื่น และสดชื่น เพราะเชื่อว่า ความฝันจะตามมาหลอกหลอนเราไม่ได้
บ้างก็ตื่นมาแล้ว ลุกขึ้นไปเปิดหนังสือ “พยากรณ์ความฝัน” เพื่อที่จะ “ตีความฝัน” นั้นเป็น “เลข” ไว้เล่นหวย
บ้างก็ตื่นมาแล้ว คว้าโทรศัพท์ โทรไปปลุกชาวบ้านมาช่วยปลอบประโลมใจยามฝันร้าย (ไม่แน่นะคะ เสียงโทรศัพท์ของคุณ อาจสร้าง “ฝันร้าย” ให้ใครอีกหลายๆคน ที่นอนหลับยาก แต่ตื่นง่ายก็ได้)
แต่หากคืนไหน เรานอนหลับ “ฝันดี” เราก็แทบไม่อยากจะตื่นเลย (เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกตอนเช้าดังขึ้น) เนื่องด้วยว่า เรากลัวที่จะเดินหนีจากฝันเหล่านั้น เพื่อเผชิญหน้ากับชีวิตแห่งความเป็นจริง (ที่แสนโหดร้าย และไม่มีความยุติธรรม) เราอยากจะนอนฝันอยู่เช่นนี้ จนสาย บ่าย เย็น หรือฝันมาราธอน 2 คืนติดกันยิ่งดีใหญ่
การเข้าใจ “กำเนิด” ของ “ความฝัน” ก็แตกต่างกันออกไป
บ้างก็ว่า “ความฝัน” สะท้อนอะไรหลายๆอย่างใน “จิตใจของเรา” (สิ่งที่เราเก็บไว้ ไม่ว่าควรกลัว ความกังวล หรือสิ่งที่หัวใจลึกๆของเราต้องการที่จะหลีกเลี่ยง)
บ้างก็ว่า “ความฝันเป็นเรื่องลึกลับ” แต่เป็น “ปรารถนา” ของผู้ฝัน และ ฝันเป็น “ข่าวสาร” ที่ส่งขึ้นมาจาก “จิตไร้สำนึก” สู่ “จิตสำนึก” ของผู้นั้นเอง
บางคนก็เข้าใจว่า “ความฝัน” เป็นภาพเงาของตนที่จะปรากฏขึ้นในอนาคต หรือเป็นภาพเงาของโลกซึ่งวันเวลาอันไม่สิ้นสุดได้สูญสลายไปแล้ว บางคนเชื่อว่าความฝันเป็นการท่องราตรีของวิญญาณ หรือจิต (Spirit) ซึ่งออกจากร่างกายไปขณะหลับ ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ ได้พบปะผู้คน และไปอย่างโลดโผนอย่างไรก็จะเป็นเรื่องราวความฝันเช่นนั้น วิญญาณ หรือจิตที่ท่องเที่ยวไป
บ้างก็ว่า ความฝันคือ ประสบการณ์ของภาพ เสียง ข้อความ ความคิด หรือความรู้สึกในขณะที่กำลังนอนหลับ โดยผู้ที่ฝันส่วนใหญ่ไม่สามารถควบคุมได้ และ ความฝัน สามารถเกิดได้ตั้งแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคม จนถึงเรื่องเหลือเชื่อ รวมไปถึงเรื่องสนุกสนาน เรื่องตื่นเต้น เรื่องน่ากลัว เรื่องเศร้า ที่เรียกว่า “ฝันร้าย” และในบางครั้งความฝันจะมีเหตุการณ์เกี่ยวกับเรื่องทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีผลต่อเนื่องอาจทำให้เกิดอาการฝันเปียกในผู้ชาย หลายๆครั้งที่ความฝันเป็นตัวกระตุ้นความรู้สึกทั้งทางด้านจิตใจ และทางด้านศิลปะให้แก่ผู้ที่ฝัน
“ความฝัน” คือจังหวะที่ “จิตใต้สำนึก” ได้ “ปลดปล่อย” อย่างแท้จริง
แล้วไม่ว่า คืนนี้ คืนหน้า หรือคืนไหน ที่คุณต้องตื่นขึ้นมา พร้อมเรื่องแห่งการผจญภัยของจิต (ความฝัน) ไม่ว่าจะดี หรือร้ายแค่ไหน ก็สรุปได้สั้นๆว่า ณ คืนนั้น คุณได้ปลดปล่อยหน้ากาก ปลดปล่อยเรื่องราวที่ฝังลึกๆอยู่ในจิตใจออกไปแล้ว
“ความฝันจะสวยงาม หรือจะเลวร้ายแค่ไหน?” ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณได้ “นำพา” เข้าไปในจิตใจของคุณ ยามคุณรู้สึกตัว หรือตื่นอยู่
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน