Recent News

Powered by eSnips.com

วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เสพติดเทคโนโลยี

ปี 2010 ที่ผ่านมา ต้องยอมรับเลยว่า เป็น “ปีแห่งเทคโนโลยี” สำหรับประเทศไทย เพราะทุกอย่างดูก้าวกระโดดไปหมด แม้ว่าจะกระโดดพ้นบ้าง หรือกระโดดไม่พ้นบ้าง (เช่น 3G) เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสังคม ให้ “เสพติดเทคโนโลยี” มากขึ้นจริงๆ


ของขวัญยอดฮิตในช่วงปีใหม่ ในเกือบทุกประเทศ ก็คงไม่พ้น “Gadget ตระกูล Apple และ Blackberry” ที่ไม่ว่าวัยไหนก็ต้องการมีไว้ในครอบครอง


เครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กๆ ได้กลายเป็นปัจจัยที่ 7 ของชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว เพราะเราสามารถติดต่อสื่อสารโดยไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็น Blackberry Messenger, Facebook, Twitter, Foursquare etc.


คงไม่น่าแปลก!!! ที่บ่อยครั้งคุณจะสังเกตุเห็น


รถคันข้างๆกำลังกด BB อยู่ ในขณะที่ขับรถด้วยความเร็วพอสมควร (พร้อมๆกันไปด้วย)


ครอบครัวที่มาทานข้าวพร้อมเพรียงกัน แต่คนบนโต๊ะทุกคน สนใจแต่ เล่นเกมส์ ใน iPhone


วันนัดเลี้ยงรุ่น แต่เพื่อนๆทุกคนมัวแต่สาละวนกับการถ่ายรูป เพื่อลง Facebook


เดิน shopping กับแฟน ผู้หญิงเล่น skype ส่วนผู้ชาย เล่น Twitter


คนในสังคม ก้มหน้าก้มตา อัพโหลดรูป, แชทพูดคุยกันผ่านโปรแกรมต่างๆ


จนภาพที่เราเห็นส่วนใหญ่ก็จะเหมือนคนแต่ละคนติดอยู่กับโลกใบเล็กๆบนมือของพวกเขา จนลืมสังเกตุคนรอบๆข้าง และเพราะเหตุนี้เอง ที่ทำให้คนให้ความสำคัญกับคนใกล้ตัวน้อยลง จนมีปัญหาที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีให้เห็นอยู่ร่ำไป ไม่ว่าจะเป็น คุยโทรศัพท์จนขับรถไปชนคันอื่น, แฟนบอกเลิก เพราะติดบีบี จนไม่มีเวลาให้เขา, เล่น Facebook จนถูกลวงไปข่มขืน ฯลฯ (แต่ทั้งนี้ทั้่งนั้น ก็ต้องอยู่ที่การควบคุมตนเองของคนแต่ละคนด้วย เทคโนโลยีมีผลดีเสมอ สำหรับคนที่มีสติ และใช้มันในทางที่ถูกวิธี และถูกช่วงเวลา)


“เทคโนโลยี ทำให้โลกแคบลง อยู่ไกลแค่ไหน ก็เหมือนอยู่ใกล้ และตรงกันข้ามกลับทำให้ความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัวกว้างขึ้น และไกลออกไป”


“เสพติดเทคโนโลยี” อย่างมี “สติ” อย่าถูกเทคโนโลยีครอบงำ แต่จงใช้มันอย่างถูกวิธี และให้ได้ประโยชน์สูงสุด


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน



วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Merry X'mas








Merry X'mas นะคะทุกคน วันนี้เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซู พระผู้ไถ่ของชาวโลก
มีความสุขกับวันนี้นะคะ

ผ่านเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองนี้ไป เรามีเรื่องราวดีๆมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันแน่นอนคะ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Merry X'mas Eve










Merry X’mas Eve. เมื่อเราได้ดูน้อง 7 ขวบร้องเพลง O Holy Night ที่เปล่งเสียงออกมาจากหัวใจของเธอ น้ำตาของเราซึมออกมาเล็กๆ บทเพลงที่เปล่งออกเพราะที่สุด ที่เด็กคนนึงจะร้องได้

ย้อนไปเมื่อสมัยวัยเด็ก เราเป็นคนนึงที่ไม่มีความมั่นใจเลยเรื่องการร้องเพลง เรียกว่า “เพี้ยน” ตลอด แต่ทุกๆครั้งที่เราเข้าโบสถ์ เราก็จะเปล่งเสียงร้องออกมาอย่างสุดหัวใจ ด้วยหัวใจ เพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง ถึงแม้บางครั้งจะร้องถูกคีย์บ้าง ผิดคีย์บ้าง เพี้ยนสูง เพี้ยนต่ำ ก็ว่ากันไป

จนกระทั่งวันนึงเราได้มีโอกาสเข้าร่วมร้องเพลงกับวงนักร้องประสานเสียง (ที่ดีที่สุด วงหนึ่ง) เราใช้เวลาฝึกฝนอยู่นานเกือบ 2 ปี เราได้ร้องเพลง X’mas บนเวที 2 ปีติดต่อกัน แต่ปีนี้เนื่องจากเราไม่มีเวลาซ้อม เราจึงไม่ได้ขึ้นร้อง (ในใจลึกๆก็เสียใจนะ เพราะเราอยากจะร้องเพลง เปล่งออกมาให้สุดเสียง เพื่อต้อนรับการประสูติมาขององค์พระคริสตเจ้า) แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานที่ไหน จะร้องบนเวที หรือที่ไหน เราก็สามารถร้องเพื่อเฉลิมฉลองการประสูติของพระองค์ได้เช่นกัน

Merry X’mas Eve อีกครั้งนะคะ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มุมมอง "ทางออก" ของ "ปัญหา"


หากจะพูดถึง “ปัญหา” คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “ไม่เคยประสบพบเจอปัญหาในการดำรงชีวิตเป็นมนุษย์” เพราะตราบใดที่คุณยังมีลมหายใจ และยังต้องอยู่ในสังคม ที่ต้องอยู่ร่วมกับบุคคลอื่น ก็คงยากที่จะหลีกเลี่ยง


สำหรับบางคน อาจจะเก่งในเรื่อง “หาทางออกให้กับปัญหา” (มาแบบไหน เมื่อไหร่? จัดการได้หมด)

แต่บางคนอาจจะยอดเยี่ยมในเรื่อง “ตัดปัญหาเหล่านั้นทิ้งไป” (จะไปต่อสู้กับปัญหาทำไม ในเมื่อทางนี้เดินไม่ได้ ก็เปลี่ยนเส้นทางเสียเลย)


แต่ก็มีบางคนที่อาจจะใจสู้พอที่จะ “วิ่งเข้าชนกับปัญหา ตายเป็นตาย” (ไม่คำนึงถึงความเสียหาย เอาความสะใจเป็นหลัก)


“ทุกปัญหาย่อมมีทางออก” แต่ทางออกที่เราเลือกนั้น จะเหมาะสมกับปัญหาเหล่านั้นหรือไม่ ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่า เราจะเลือกหาวิธีใดมาแก้ปัญหาเหล่านั้น (ซึ่งทางออกในแต่ละปัญหา บางทีก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่เป็นทางออกที่ทำร้ายทุกคนน้อยที่สุด หรือทำร้ายเราได้น้อยที่สุด ก็แล้วแต่จะพิจารณากันไป)


เมื่อปัญหานั้นเกิดขึ้น ก็ต้องเป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่จะต้องสรรหาคำตอบ (ซึ่งแต่ละคนก็จะมีวิธีที่แตกต่างกันไป ตามเหตุผลส่วนตัว, อารมณ์ ณ ช่วงนั้น และอื่นๆอีกมากมาย)


ยกตัวอย่างเช่น


หากมีปัญหาเรื่องงาน งานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย, มีเรื่องผิดพลาด, โดนเพื่อนร่วมงานเหม็นขี้หน้า หรือต้องทนกับเจ้านายที่มากเรื่อง แต่ละคนก็จะมีวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกันออกไป


สำหรับคนที่มีความอดทนสูง ก็เลือกที่จะปล่อยวาง อดทน ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด (เพราะไม่อยากเปลี่ยนงาน ไม่อยากมีปัญหา)


สำหรับคนที่มีความอดทนต่ำ ก็เลือกที่จะตั้งสมาคมนินทาเจ้านาย นินทาเพื่อนร่วมงาน (เม้าส์กันได้เป็นวันๆ) หรือไม่ก็ลาออกไปซะ (เพราะคิดว่าตัวเองแน่ ตัวเองเก่ง เลือกงานได้)


หากมีปัญหาเรื่องครอบครัว พ่อไม่เข้าใจ, แม่ไม่ยอมรับ, ญาติผู้ใหญ่ไม่สนับสนุน และครอบครัวที่เราอยู่นั้นทำให้เรารู้สึกร้อนใจ เกิดเรื่องต่างๆมากมายในบ้าน (บ้านลุกเป็นไฟ โดยไม่รู้ว่าต้นเหตุเกิดจากคนในครอบครัว หรือทัศนคติของตัวเอง)


สำหรับคนที่เข้าใจอะไรง่ายๆ อาจจะมองเห็น อีกมุมของปัญหาที่เกิดขึ้น มองความสำคัญของสถาบันครอบครัว และปรับเปลี่ยนทัศนคติไปในทางที่ดี (ในเมื่อเราไม่สามารถเปลี่ยนความคิด หรือขัดขืนคำสั่งของคนในครอบครัวได้ ก็ยอมรับทุกอย่างซะ และค่อยๆใช้เวลาและจังหวะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น) อาจใช้เวลานานหน่อย แต่ก็อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุดก็ได้


สำหรับคนที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ เอาแต่ใจ มองอะไรเป็นเรื่องยากๆ คิดแค่ว่าตัวเองคือ “ศูนย์กลางของจักรวาล” ก็อาจเลือกทางที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด เดินหนีออกมาจากปัญหา ในเมื่อบ้านร้อนก็ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกซะ มามีอิสระเป็นของตัวเอง จะได้ทำอะไรได้ตามใจตน ไม่ต้องมีใครมาบังคับฝืนใจให้เสียอารมณ์ (ไม่เห็นต้องแคร์ใคร ไม่มีสถาบันครอบครัว เราก็มีสังคมอีกหลายสังคมในโลกใบนี้)


หากมีปัญหากับแฟน หรือคู่รัก เขาทำอะไรไม่สบอารมณ์เรา, ความรักเริ่มจืดจาง, เริ่มจับได้ว่าเขานอกใจ, ช่วง Promotion ในความรักเริ่มหมดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ, เขาไม่ได้ทำให้ยิ้มได้อย่างเคย, ไม่รู้สึกหวือหวากับเขาเหมือนแต่ก่อน หรืออยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข (นั่นเป็นความคิดที่ถูกจัดเรียงเหตุผลด้วยตัวคุณเองทั้งนั้น)


สำหรับคนที่ทางเลือกเยอะ (หล่อ สวยเลือกได้) ก็อาจจะตัดสินใจ มองหาทางเลือกอื่น เพื่อบรรเทาความขี้เบื่อของตัวเอง หรือไม่ก็หาเรื่องทะเลาะ ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ จะได้มีการปะทะ จนทำให้รอยร้าวเล็กๆ ลามไปจนต้องยุติความสัมพันธ์ พวกไม่ตั้งคำถามให้กับตัวเอง แต่เชี่ยวชาญเรื่องถามชาบ้าน ตัดสินแทนชาวบ้าน (ไม่ต้องบอกว่า “จุดจบ” ของเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร?) เพราะหลายๆคน ก็อาจเคยผ่านช่วงเวลานี้มา


สำหรับคนที่เข้าใจในความรัก และรู้คุณค่าของคนรัก (กว่าจะหาใครสักคนที่ match กับเราได้นั้น ช่างยากเย็นเหลือเกิน รอนานเหลือเกิน) ก็อาจจะใช้ “สติ” ตรึกตรองเรื่องราวที่เกิดขึ้น มองหาต้นตอของปัญหา และคิดหาทางแก้อย่างชาญฉลาด เพื่อจะรักษาชีวิตคู่ไว้ให้นานที่สุด (อาจดูเหมือนเป็นคนที่ไม่เด็ดขาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า “โง่” เสียหน่อย)



วิธีการแก้ปัญหา (ตามตัวอย่าง) ข้างต้น เราไม่ได้มีเจตนาที่จะสื่อ หรือชักนำทางความคิด เป็นเพียงแค่ตัวอย่าง ให้เพื่อนๆได้เห็นภาพตามเท่านั้น ก็อย่างที่เราเขียนบอกข้างบน “ทางออกที่คุณเลือกที่จะแก้ปัญหา ไม่มีวิธีใดดีที่สุด หรือแย่ที่สุด ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่า ได้เลือกทางออกทางไหน และยอมรับผลที่จะตามมานั้นได้หรือเปล่า?



ฝากไว้นะคะ ทุกๆครั้งที่เกิดปัญหาอะไรขึ้นในชีวิต “สติ” เป็นอาวุธที่ดีที่สุด ที่เราจะนำมาใช้ “อารมณ์” เป็นตัวถ่วงที่แย่ที่สุด (ปรับเปลี่ยนไปตามความเหมาะสม) ไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือนร้อนก็เป็นพอ


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน


วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Yes Or No

เมื่อวานได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่อง “Yes or No” มา ตามกระแสของคนรอบตัวที่บอกว่า “สนุกมาก ซึ้งมาก ดูแล้วน้ำตาซึม ทอมที่ร้องไห้ไม่เป็น ดูหนังเรื่องนี้แล้วน้ำตาไหลเลย” เมื่อเราได้ฟังเช่นนี้ ความคิดแวบแรกที่พุ่งขึ้นมาคือ “อาจเป็นเรื่องราวความรักที่ไม่สมหวัง หรือต้องมีใครสักคนที่ต้องตาย” ด้วยความอยากรู้เราก็เลยตัดสินใจรีบไปดูทันที


ต้องขอบคุณผู้เขียนบท ผู้กำกับและนักแสดงทุกคน ที่ถ่ายทอดเรื่องราวนี้ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม เราขอแนะนำ (อย่างสุดหัวใจ) ว่า “ต้องไปดูหนังเรื่องนี้ให้ได้” สนุกและซึ้งมาก


แต่เราอยากจะถ่ายทอดอีกมุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ (นี่ไม่ใช่บทวิจารณ์แต่เป็นเหมือนการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น) โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน

หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีมากๆเรื่องนึง เรารู้สึกคล้อยตามอารมณ์ของคนเขียนบท เข้าใจมุมมองที่ผู้กำกับต้องการสื่อออกมา รวมถึงนักแสดงที่แสดงได้ดีมากด้วย


หนังเรื่องนี้อาจจะสามารถช่วยปรับทัศนคติของผู้ปกครองให้ดีขึ้นเกี่ยวกับสังคม ญ รัก ญ


หนังเรื่องนี้อาจจะสามารถช่วยเพิ่มมุมมองให้กับผู้หญิง ที่กำลังถูกทอมตามจีบ หรือลังเลว่าจะตกลงคบกับทอมดีหรือเปล่า? ให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะเรื่องราวในหนังสวยงามเหลือเกิน


หนังเรื่องนี้อาจจะสามารถช่วยเพิ่มความกล้า และความมั่นใจให้กับทอมมากขึ้น ในการที่จีบคนใกล้ตัว หรือคาดหวังว่า “ความรักจะสวยงาม และสมหวัง”


แต่ก่อนที่จะเคลิ้มตาม เราอยากให้คุณลองใช้สติคิดกันสักนิดนึงว่า “โลกแห่งความเป็นจริงทุกๆอย่างจะสวยงาม ลงตัวไปทั้งหมดเช่นนี้ เป็นไปได้หรือ?” (เป็นทัศนคติส่วนบุคคล)


คำถามแรกที่วิ่งเข้ามาในสมองของเราก็คือ “จะมีทอมที่หล่อ รวย นิสัยดี ดูซื่อๆแบบน่ารัก อยู่ในโลกแห่งความจริงมากแค่ไหนนะ? (คุณผู้อ่านที่เป็นทอม อย่าเพิ่งโกรธกัน แค่ลองตั้งคำถามเล่นๆ)


จะมีทอมเช่นนี้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงหรือเปล่า?


ผู้หญิงทุกคนในโลก จะสามารถเปลี่ยนมาเป็น “ดี้” แค่ one night เลยหรือ?


Happy Ending จะเกิดขึ้นไหมหนอ?


และอีกหลากหลายคำถามที่วิ่งเข้ามา และรอคำตอบ???


หลายๆคนที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ และยังระบุเพศให้กับตัวเองไม่ได้ ก็คงเตรียม “เกิดใหม่” ในสังคม ญ รัก ญ (แน่นอน)


“เรายินดีด้วย สำหรับสมาชิก ทอม ดี้ ท่านใหม่ๆ”


แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจ mutant ตัวเอง เรามีคำถามที่ต้องการคำตอบ


อยากจะถามคนที่เตรียมจะมาเป็น “ทอม”


คุณอาจคิดว่า มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะ “ขยายเครือข่าย” ไปคบกับผู้หญิงปกติ เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากหนังเรื่องนี้ ทำให้มีความกล้ามากขึ้น (แต่คุณเคยตั้งคำถามให้ตัวเองไหมว่า “ความเป็นไปได้ที่คุณคาดหวังนั้น จะเป็นจริงไหม? ในโลกแห่งความเป็นจริง” หรือถ้าเป็นไปได้ ผู้หญิงเหล่านั้นจะคบกันเราได้นานแค่ไหน และมีอะไรมาเป็นหลักประกันว่า “เธอจะไม่กลับไปเป็นปกติ”)


คุณจะเลียนแบบพฤติกรรมของทอมในเรื่องนี้หรือเปล่า ในความกล้าบ้าบิ่น เช่นความกล้าที่จะไปพูดตรงๆกับผู้ปกครองของฝ่ายหญิง (เพราะในชีวิตจริง ตอนจบอาจไม่สวยเช่นนี้ก็ได้)



อยากจะถามคนที่เตรียมจะมาเป็น “ดี้”


คุณอยากมีแฟนเป็นทอมด้วยเหตุผลอะไร? ถ้าด้วยเหตุผลว่า ชอบคาแรกเตอร์ทอมในเรื่องนี้ และคาดหวังว่า จะได้รับบท เป็น “นางเอก” ในชีวิตจริง (เราอยากขอ ให้คุณคิดดูใหม่อีกรอบ)


หากคุณคาดหวังว่า ทอม ในสังคมนี้ จะ ดี รวย หล่อ perfect อย่างในหนังหรือเปล่า? เพราะถ้าคุณคาดหวังเช่นนั้น เราบอกได้เลยว่า “ในสังคมมีทอมที่นิสัยดีอยู่ มีทอมที่สูง หล่ออยู่ มีทอมที่รวย หน้าที่การงานดีอยู่ มีทอมที่ perfect อยู่ แต่จะหาทอมที่ “ถูกทุกข้อ” นั้น ก็ยากสักนิดนึง” (แต่จะไกลเกินเอื้อมหรือไม่ ก็ต้องเล่น “เกมวัดดวง” กว่าจะหาคนๆนั้นเจอ)


คุณอยากมีแฟนเป็นทอม โดยที่ “หัวใจไม่ได้เรียกร้อง แต่เป็นเพียงค่านิยมของสังคม” หากถึงวันนึงที่คุณรู้ว่า ชีวิตจริงๆ และหัวใจคุณต้องการอะไร? ชอบเพศไหน? คุณต้องเสียเวลาไปเปล่าๆกว่าจะหาตัวตนของคุณเจอ คุณอาจต้องทำร้ายทอมที่บริสุทธิ์ที่เดินเข้ามาในชีวิตคุณอีกหลายต่อหลายคน (โดยไม่ได้ตั้งใจ)


สื่อเกี่ยวกับ ญ รัก ญ ไม่ว่าจะเป็น หนัง ละคร หนังสือ หรือสื่อต่างๆ มีน้อยเหลือเกิน จึงเป็นธรรมดาที่สังคมของเรามีสถานะ “ไม่เปิดเผยตัวมากนัก” ทำให้หลายๆคนใคร่อยากจะรู้ อยากลอง แวะเวียนเข้ามา “ล้อเล่น” อยู่ร่ำไป ต้องยอมรับว่า ทุกสังคมมีทั้งด้านที่สวยงาม และด้านที่หายนะ การนำสิ่งที่ดี หรือไม่ดี เข้ามาและออกไปนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาของ “วัฏจักรสังคม”



ฝากไว้สำหรับหลายๆคนที่กำลังคิดว่า “ชีวิตเปรียบเสมือนนิยายรักโรแมนติก ที่ไม่มีวันที่ความเสียใจ และความผิดหวังจะเกิดขึ้น” (อย่าจมปลักกับอ้างอิงในนิยายมากจนเกินไป เพราะอาจทำให้คุณหวังสูงเกินไปในโลกแห่งความเป็นจริง หมดยุค Snow White, Cinderella and Sleeping Beauty แล้ว ยุคนี้ มีแต่ โอชิน และแดจังกึม)


เขียนมาทั้งหมดนี้ หลายๆคนอาจสรุปว่า “ผู้เขียน” ช่างเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย (ก็อาจจะใช่นะคะ เพราะทุกสิ่งในโลกนี้มักมี 2 ด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะอยากรับรู้ด้านไหนมากกว่ากัน)


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทอมแก่เลือกได้

Revealtomdy has just come back. ต่อไปเรามีจุดมุ่งหมายว่า จะเขียนให้ได้อย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 เรื่อง (นี่คือสิ่งที่ตั้งใจ แต่ไม่รู้ความเป็นจริงจะได้สักเท่าไหร่กัน จะพยายามแล้วกันนะคะ)



ต้องยอมรับว่า เวลานี้ หมั่นไส้คนใกล้ตัวมาก เรื่องราวในวันนี้ขอเขียน “แฉ” คนใกล้ตัวสักครั้งเถอะ แต่ไม่รู้ว่าเขาจะรู้ไหมนะ? ว่าเรารำคาญ เพราะเราไม่เคยได้พูดไป (ไม่อยากจะพูดให้ใครเสียใจ) ได้แต่ปลอบ และหลอกด่าไปวันๆ (แต่ She ก็ยังไม่รู้ตัว เหอๆๆ)


งานเขียนวันนี้ มีอารมณ์ส่วนตัวล้วนๆ เป็นตัวขับเคลื่อน ใครจะว่าอะไรเราไม่รู้ ไม่ได้แหกกรอบงานเขียน เพียงแต่อยากจะระบายอารมณ์ผ่านทางตัวอักษรเท่่านั้น


“ตอง” ทอมวัย 45 ปี ด้วยหน้าที่การงาน มีธุรกิจเป็นของตัวเอง ฐานะค่อนข้างจะดีมากๆๆๆ เขาเลยเป็น “ทอมแก่เลือกได้” มีสาวๆมากมายมาให้เขาได้ชี้นิ้วเลือก แต่ก็ไม่รู้นะคะ ว่าลึกๆในใจสาวๆพวกนั้น ยืนนิ่งให้เขาเลือกเพราะอะไร? อาจเพราะอยากลองของแปลก? หรืออาจเพราะอยาก up ชีวิตของตัวเองให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น (ประมาณว่า ทอมแก่หลอกง่าย หรือเปล่า? เราขอ no comment) แต่ช่วงวัยไม้ใกล้ฝั่งอย่างเขานี้ ก็ยังไม่ละทิ้งตัณหา ไม่หยุดขบวนสุดท้ายไว้ที่ใครสักที ยังคงจะหาสาวๆมาควงอยู่ร่ำไป เขาใช้ชีวิตอย่างทอมเจ้าสำราญมาหลายปี โดนหลอก (แบบเต็มใจ หลักหมื่น หลักแสนบ้าง ก็เฮฮากันไป)


จนกระทั่งเขาได้มาเจอ “ปิ่น” ดี้วัย 38 สวยอย่างกระดังงาลนไฟ ซึ่งเธอเป็นแนวเดียวกับเขา นั่นคือ ชอบคบคนที่อายุน้อยกว่า ณ เวลาที่ “บุพเพอาละวาด” ให้เขาและเธอมาเจอกันนั้น เธอก็กำลังคั่วอยู่กับทอมวัย 23 คนนึง อาจเพราะด้วยความช่างเอาใจของเธอ หรือเพราะเธอไม่มีทีท่าจะสนใจเขาเหมือนสาวคนอื่นก็ไม่ทราบ หรืออาจเพราะเธอมีแฟนอยู่แล้วก็ไม่ทราบ เขาจึงรู้สึกตื่นเต้น และอยากจะเอาชนะเพื่อให้ได้เธอมาครอบครองเสียเหลือเกิน


เขาเริ่มหมกมุ่นความคิด และเวลาอยู่กับเธอ จนกระทั่งค่อยๆปล่อยสาวที่มีอยู่ใน stock หลุดออกไปทีละคนสองคน (โถ่ พี่คะ ที่พี่ต้องปล่อยหลุด เพราะพี่อายุมากขึ้นหรือเปล่า? ความจำไม่ค่อยดีใช่ป่ะ) จนสุดท้ายก็เหลือเธอเพียงคนเดียว


เรื่องราวดูเหมือนจะมาถึงจุด happy ending แต่เปล่าเลย? นี่เป็นแค่ละครฉากใหม่ ที่กำลังจะเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อเขายอมทิ้งสาวทุกคน เพื่อจะมาเริ่มต้นกับเธอ แต่เธอยังไม่ยอมเลิกกับทอมเด็กของเธอสักที ยิ่งทุ่มเทมาก ก็คาดหวังมากเป็นธรรมดา (เพราะเหตุนี้เขาจึงเริ่มต้นมีอาการประสาทอ่อนๆ) เธอแค่หลอกให้เขามารับมาส่ง ซื้อโน่นซื้อนี่ให้เธอเท่านั้น แต่ไม่เคยเปิดใจเธอให้เขาเลย (มีเพียงเขาเท่านั้นที่คิดไปเอง)


และแล้วการคร่ำครวญฉากแรกก็เริ่มขึ้น เมื่อเขารู้ความจริงว่า เธอยังไม่เลิกกับแฟนเก่า ส่วนเขาก็ได้เป็นแค่ “คนคอย support ทุกเรื่องเท่านั้น” เขาเริ่มสติแตก แต่ด้วยการรักษาฟอร์ม เคราะห์กรรมจึงต้องตกมาสู่คนรอบข้างที่ต้องมาทนฟังเรื่องราวรักไม่สมหวังของเขา (แหม อยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า คุณโง่เองนี่!)


ระลอกแรกยังไม่จบ ก็มีความเสียใจโถมกระหน่ำ เข้ามาหาเขาอีกรอบ เมื่อเธอต้องการยืมเงินเขาเป็นล้าน เพื่อไปต่อยอดธุรกิจที่เธอหุ้นทำกับแฟนเก่า ไม่ต้องถามก็พอรู้ เขาก็โง่ให้อีกจนได้ โดยคาดหวังว่า เธอจะรับรัก เลิกกับแฟน และมาคบกับเขา แต่สุดท้าย อานุภาพของเงินก็ไม่สามารถบังคับความรักได้ เธอก็ยังคงคบกับแฟนเก่า นอนกับแฟนเก่า เขาขับรถมาส่งได้แค่ข้างล่างคอนโด ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่พอใจสักเท่าไหร่นัก สุดท้ายก็ต้องมาระบายกับคนใกล้ตัวฟัง (แต่ไม่เคยถามเลยว่า มีใครอยากจะฟังไหม? ไม่ใช่ว่าใจร้ายใจดำหรอกนะ แต่เมื่อบอกแล้ว เตือนแล้วไม่เชื่อ โง่แบบเต็มใจ ใครจะช่วยได้อ่ะ)



อีกไม่กี่วัน ความจริงอีกเรื่องก็ถูกเปิดเผย เมื่อเขาจับได้ว่า เธอเอาเงินไปดาวน์รถให้กับทอมเด็ก (แฟนของเธอ) ไม่ได้ทำธุรกิจแต่อย่างใด เขาก็เหมือนคนโง่ในสายตาของทุกคน เพราะญาติพี่น้องของเธอรู้เรื่องหมด มีเขาคนเดียวที่โง่อยู่เพียงลำพัง (เขาไม่กล้าที่จะเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ได้แต่เก็บความโง่ไว้เตือนใจแต่เพียงลำพัง) เก็บได้ไม่นาน คนรอบข้างก็ต้องมารับรู้ความโง่ของเขาในครั้งนี้ จากปากของเขาเอง (ไม่ต้องถามว่า คนรอบข้างจะพูดว่าอะไร นอกจาก ส่ายหัว และส่ายหัว)


ต้องยอมรับว่า เธอฉลาดที่รู้ว่า ต้องพูดอย่างไร? ทำอย่างไร? ที่จะคุมเขาให้ support และตกอยู่ในสภาพ “ธนาคาร” ของเธอต่อไป แต่ปรบมือข้างเดียวก็ไม่ดังหรอก ถ้าหากเขารู้จักรัก โดยไม่ต้องการแย่งคนของใคร ใช้หัวใจแทนเงินตรา เขาคงไม่ตกเป็น “เหยื่อ” แบบทุกวันนี้


นี่ยังไม่จบ “มหากาพย์เรื่องราวของทอมแก่คนนี้ ที่พยายามจะใช้เงินซื้อความรัก ความสุข เหมือนที่เขาเคยทำได้ในอดีต แต่ครั้งนี้เขาไม่สามารถทำได้ จนทำให้เขาถลำลึกเข้าไปอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์” ความรักที่เริ่มต้นด้วยการเอาชนะ ไม่มีวันมีปลายทางที่สุขสมหวังได้หรอก (เพื่อนๆว่า จริงไหมคะ?)


ก็ต้องมาลุ้นกันต่อไปว่า “เขาจะค้นพบทางสว่างในชีวิตเมื่อไร?” (และคนรอบตัวจะหมดเวรหมดกรรมเมื่อไหร่)


เราค่อนข้างจะเชื่อมั่นว่า มีเพื่อนๆ ผู้อ่านหลายๆคน ที่เคยรับฟัง และรับปรึกษาปัญหาทำนองนี้ ปัญหาโลกแตก ที่เกิดจากตัวคนๆนั้นเอง แต่สร้างความรำคาญ ให้กับคุณ ประเภท เตือนเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง แนะเท่าไหร่ไม่ยอมเชื่อ แต่เวลามีปัญหาก็ “ซมซาน” กลับมาปรึกษา ปัญหาเดิมๆ เรื่องเก่าๆ แค่เอามาเล่าใหม่ เปลี่ยนตัวละคร เปลี่ยน location ก็เท่านั้นเอง


ขอพื้นที่ตรงนี้เขาระบายออกมาให้อ่านกันนะคะ ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน