Recent News

Powered by eSnips.com

วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ภาษารัก ตอนที่ 4

สำหรับใครที่อาจจะเบื่อ กับภาษารักที่เรานำมาเสนอตลอดหลายวันนี้ (เพราะชีวิตคู่ของคุณ สมบูรณ์แบบ ดั่งถูกลิขิตมาจากสวรรค์) ก็อดทน รออ่านเรื่องอื่นหน่อยนะคะ พรุ่งนี้ก็จะเป็นภาษารักเรื่องสุดท้ายแล้ว


แต่สำหรับใครที่มอบของขวัญให้กับคนรักแล้ว แต่ดูเหมือนเขาหรือเธอ ก็ยังไม่ซาบซึ้งหรือว่า มองไม่เห็นคุณค่า หรือเข้าใจสิ่งที่เราอยากจะสื่อออกไป ลองใช้ ภาษารัก อีกแบบดูนะคะ


ภาษารักที่ 4 “ทำบางสิ่งบางอย่างให้”


ทำบางสิ่งบางอย่างให้” หมายถึง การทำบางสิ่งบางอย่างที่คุณรู้ว่าคนรักของคุณ อยากให้คุณทำ คุณเอาใจเขาด้วยการปรนนิบัติเขา แสดงความรักด้วยการทำบางสิ่งบางอย่างให้เขา


การกระทำ เช่น ทำกับข้าว ล้างจาน ทำความสะอาด รีดเสื้อผ้า ตักอาหารให้เขาทาน บีบยาสีฟัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิธีที่เราใช้แสดงความรักได้ ซึ่งล้วนต้องใช้ความคิด มีการวางแผน ใช้เวลา ความพยายาม และพลังงาน ถ้าทำด้วยจิตใจชื่นบาน ก็เป็นการแสดงถึงซึ่งความรักอย่างแท้จริง


ต้อย” ทอมวันเวย์ ผู้ที่เป็นแต่ “ผู้ให้” เสมอมา เขามักจะ sport กับดี้ทุกคนที่เดินเข้ามาในชีวิตเขา หลายครั้งที่เขารู้สึกว่า ต้องการที่จะเป็น “ผู้รับ” บ้าง แต่ด้วยมาด และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นทอม ทำให้เขาต้องกดความรู้สึกนั้นไว้เรื่อยมา (สรุปเป็น “ทอมผู้ให้” มาเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต) จนกระทั่งเขาได้มารู้จักกับ “แพน” ดี้ (ผู้ที่เป็นทุกอย่างของเขาในวันนี้) เธอไม่ใช่ผู้หญิงใน spec เขาเลย (ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้า ผม) เธอมีเพียงแค่น้ำใจ และความเอาใจใส่เขาตลอด ทำให้เขาได้เป็น “ผู้รับ” บ้าง การเข้ามาของเธอทำให้ “ทอมผู้ให้” รู้จักเรียนรู้รสชาติของการเป็น “ทอมผู้รับ” เสียบ้าง


คุณดี้ (เห็นแก่ตัว) ทั้งหลายคะ กรุณาย้อนไปมอง “ทอมผู้ให้” ข้างๆคุณบ้าง ถามไถ่ เอาใจใส่เขาบ้าง เขาอาจจะอยากเป็น “ผู้รับ” (ไม่ใช่เรื่อง sex) ใจจะขาดแล้วก็ได้นะคะ


คุณคิดเหมือนกับเราไหมคะ “บางทีสิ่งที่ทำให้คน 2 คน ประทับใจซึ่งกันและกัน อาจเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆ ที่เขาหรือเธออาจกำลังต้องการ และไม่เคยได้รับจากใคร”


การขอร้อง” จะช่วยชี้แนะหนทางแสดงความรัก

แต่ “การเรียกร้อง” จะทำให้ความรักหยุดชะงักลงทันที


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน







วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ภาษารัก ตอนที่ 3

ผ่านไปแล้ว กับ 2 ภาษา ที่จะสื่อแทนความรู้สึกว่า “รัก” ให้กับคนข้างๆกายของเราได้รับรู้กัน (มีเพื่อนๆคนไหน อ่านแล้ว ได้นำเอาไปใช้บ้างหรือเปล่า? ถ้าคุณยังไม่ได้เริ่มลองนำไปใช้ ลองซะนะคะ) เพราะ เราเชื่อว่า "ความรัก" อย่างเดียว ไม่ช่วยทำให้ชีวิตคู่ ดำเนินไปด้วยความราบเรียบ ต้องอาศัย "ความเข้าใจ" และ "ปัจจัยอีกหลายๆอย่าง" หากคุณนำไปปฏิบัติแล้ว อาจช่วย "ยกระดับความสัมพันธ์" ในชีวิตคู่ไม่มากก็น้อย

หาก "การสื่อสาร" ที่แสดงออกด้วย ทีท่าการเอาใจใส่ หรือ คำพูดให้กำลังใจแล้ว ไม่อาจแก้ปัญหาคุณได้ตรงจุด เห็นทีคุณต้องลองใช้ตัวช่วย นั่นคือ ภาษารัก แบบที่ 3 “การให้ของขวัญ”


ของขวัญ” เป็นสิ่งที่คุณสามารถจับต้องได้ด้วยมือ และบอกว่า “เขาคิดถึงเรา” หรือ “เธอจำเราได้” ถ้าคุณให้ของขวัญกับใครสักคนแสดงว่า คุณคงคิดถึงเขาอยู่ ตัวของขวัญเป็นสิ่งที่บ่งบอกความคิดถึงนั้น ไม่สำคัญว่าของสิ่งนั้นจะมีราคาหรือไม่ ความคิดถึง และความตั้งใจของผู้ให้ ต่างหากที่สำคัญ


สาย” ดี้ผู้ต้องเผชิญกับความเสียใจ ที่ต้องสูญเสีย “กาย” ทอมคนรักจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอเสียใจมาก ร้องไห้เกือบทุกวัน ถ้าให้เธอเลือกได้ เธออยากเลือกที่จะ “จากเป็น” กับเขา มากกว่า “จากตาย” เช่นนี้ 


หลังงานเผาศพของเขา เธอได้มานั่งเก็บ “ของขวัญ” ทุกชิ้น ที่เขาให้เธอเนื่องในโอกาสต่างๆ ของขวัญชิ้นเล็กๆ แต่ละชิ้น กล้บมีความหมายขึ้นมาในวันนี้ วันที่เธอเสียเขาไปแล้ว


วันเวลาผ่านไป แต่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เมื่อเธอเหงา เธอก็จะหยิบ “ของขวัญ” ที่เขาเคยให้ หยิบขึ้นมาทีละชิ้น แล้วกำไว้ที่มือ หลับตาคิดถึงช่วงเวลา ความรู้สึกของเธอ ที่ได้รับของขวัญแต่ละชิ้น แล้วน้ำตาแห่งความสุขก็ไหลออกมา


ถึงแม้ ร่างกายของเขาจะจากไป แต่จิตวิญญาณ ของเขา ก็ยังอยู่กับเธอ ยังสถิตอยู่ในของขวัญชิ้นเล็กๆ ที่เขาตั้งใจที่จะหามาให้เธอเนื่องในโอกาสต่างๆ ด้วยความรัก ด้วยใจ


ของขวัญ” เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่สามารถมองเห็นได้ และเป็น ภาษารัก ที่ง่ายที่สุด


เพื่อนๆคนไหน อยากจะบอกความรู้สึกดีๆต่อคนคุณรัก ลองตั้งใจหา หรือประดิษฐ์ ของขวัญอย่างตั้งใจ ใส่ใจ ตั้งใจ และแทนใจคุณสักชิ้น คงจะทำกระตุ้นความรักที่หยุดนิ่งมานานได้เป็นอย่างดีแน่นอน เชื่อเราสิ!!!!


คุณค่า "ของขวัญ" ไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่คุณค่ากลับถูกประเมินได้ด้วย ความตั้งใจ ความรัก ไอเดีย ความคิดถึง เพื่อใช้เป็น "สิ่งของ" แทนใจ ของคุณและคนรัก (ที่จะมีก็เพียง คุณ และคนรัก เท่านั้น ที่จะสัมผัสได้ถึงคุณค่าของมัน)


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน





วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ภาษารัก ตอนที่ 2

งานเขียนเรื่อง ภาษารัก (มีทั้งหมด 5 เรื่อง) เป็นงานเขียนเก่าของเรา เราได้หยิบยกมาลงซ้ำให้เพื่อนๆได้อ่านกัน เพื่อว่า จะไปสะกิดใจใครที่กำลังมีปัญหา หรือ มองปัญหาที่มีไม่ออก ตีโจทย์แห่งความรักไม่แตก ไม่รู้ว่า เพราะอะไร???? ทำไมถึงทะเลาะกับคนรักบ่อยเหลือเกิน บ่อยจนหลายๆครั้ง ต้องตัดสินใจ ตัดใจ เลิกรากับคนรักไป (โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เกิดจากปัญหาอะไร? เพียงแค่ตระหนักได้ว่า "เข้ากันไม่ได้ คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ก็ยังรักเขาอยู่") หากคนไหน มีความรู้สึกประมาณว่า "ไปต่อไม่ได้ จะหยุดก็ไม่ได้เพราะว่ายังรักอยู่ สุดท้ายก็ต้องอดทน หรือไม่ก็ต้องแยกทาง" เราขอเน้นย้ำให้คู่รักหลายคู่ที่มีปัญหาต่อกัน มาลองคิดตามไปถึงสาเหตุ หรือสิ่งที่พวกคุณมองข้ามไป


ไดอารี่เมื่อวาน เป็นเรื่อง “การพูดให้กำลังใจ” หลายคน อ่านแล้วก็อาจจะพอมองออกว่า "ปัญหานั่นแหละ ใช่เลย!!!!) อาจเป็นภาษารักที่ดีสำหรับคนบางคน ช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุด (แต่อาจไม่ใช่สำหรับอีกหลายคน) ดังนั้น ถ้าภาษาแรก คุณนำไปปฏิบัติแล้ว ไม่ดีขึ้น ก็ติดตามอ่านให้ได้ทุกภาษา เราเชื่อว่า ใน 5 ภาษารักที่เราจะนำเสนอนี้ ต้องมีสักภาษา ที่สื่อสารกับคนรักของคุณได้แน่นอน

ภาษารัก แบบที่ 2 คือ “การได้ใช้เวลา หรือให้เวลาที่มีคุณค่าแก่กัน”


ให้เวลาที่มีคุณค่า” หมายถึง การทุ่มความสนใจทั้งหมดของคุณไปที่อีกคนหนึ่ง


เจ” ทอมนักบัญชี กับ “วี” ดี้นักกายภาพบำบัด ทั้งสองคนคบกันได้เกือบปีแล้ว เขาและเธอเช่าห้องอยู่ด้วยกัน นอกเหนือจากเวลาทำงาน เขาสองคนอยู่ด้วยกันตลอดแทบจะทุกนาที แต่ความรักของเขาทั้งสองคน ก็ดูเหมือนจะไม่พัฒนาขึ้นไปมากนัก (เห็นไหมคะ ใครที่บอกว่า ความห่างไกลมักจะก่อปัญหา ความใกล้ชิดก็ทำให้ปัญหาเกิดเช่นกัน ไม่ใช่ระยะทางที่เป็นปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่ ตัวคนสองคน ว่ารักและเข้าใจกันและกัน ในทิศทางเดียวกันหรือเปล่า?)


เธอได้ส่งเมล์มาถามเรา ขอคำแนะนำจากเรา เราขออนุญาติ ตอบเมล์เธอ ผ่านหน้าไดอารี่ของเรานะคะ (เผื่อว่าคนบางคนที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้ จะได้รับคำตอบไปพร้อมๆกัน)


บางทีการที่พวกคุณนั่งโซฟาเดียวกัน ดูทีวีด้วยกัน ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกคุณให้เวลาแก่กัน เพราะตอนนั้นต่างคนก็ต่างใช้สายตา และสมาธิจับจ้องไปที่ทีวีช่องนั้นๆ โดยไม่ได้สนใจซึ่งกันและกัน


สิ่งที่ควรทำคือ นั่งลงที่โซฟา ปิดทีวี หันหน้าสบตา และคุยกัน ทุ่มเทความสนใจทั้งหมดให้กับคนรักของคุณ รับฟังสิ่งที่เขาหรือเธอ ต้องการจะบอกกล่าวให้ฟังอย่างตั้งใจ


บางทีการที่คุณไปทานข้าวนอกบ้านด้วยกัน โดยที่ต่างคนต่างสั่ง และต่างคนต่างกิน โดยต่างคน ต่างสนใจสิ่งเร้ารอบตัว ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกคุณให้เวลาแก่กัน


สิ่งที่คุณควรทำ ก็คือ ลองหันไปสังเกตุหนุ่มสาว ที่เพิ่งจีบกันใหม่ๆ ดูพวกเขาจ้องตากันและกัน ใช้สายตาสื่อภาษาใจกัน ปานจะหลอมตัวเป็นคนๆเดียวกัน ณ ที่นั้น มีเพียงพวกเขาสองคน โดยปราศจากคนรอบกาย


ลองถามตัวคุณดูนะว่า นานแค่ไหนแล้ว ที่คุณไม่ได้จ้องตาแบบลึกซึ้งกับคนที่คุณรัก?


แก่นแท้ของการให้เวลาที่มีคุณค่า คือ การอยู่ด้วยกัน เราไม่ได้หมายถึง ต้องตัวติดกับคู่รักของคุณจนไม่มีระยะห่างระหว่างกัน แต่คุณต้องอยู่ด้วยกัน กับคนที่คุณรัก โดยทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่กันและกัน


เทคนิคพิเศษ สำหรับภาษารักแบบนี้ก็คือ


สบตาคนรักของคุณเวลาที่เขาพูด (อย่าใจลอยเด็ดขาด) ให้ความสนใจกับสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อสาร และพยายามที่จะเข้าใจความรู้สึกของเขา โดยสังเกตุจากกิริยาท่าทาง จุดสำคัญ ห้ามขัดจังหวะ (ต้องเป็นผู้ฟังที่ดี)


ถ้าคุณทำตามเทคนิคข้างบนนี้ได้ เรามั่นใจว่า ชีวิตรักของคุณจะดีขึ้นแน่นอน


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน




วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ภาษารัก ตอนที่ 1

การสื่อสาร” เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่ทำให้ “มนุษย์” ได้เข้าใจซึ่งกันและกัน รับรู้ความต้องการของกันและกัน เพื่อตอบสนอง และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข


การสื่อสารมีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น โดยคำพูด โดยแววตา โดยการสัมผัส หรือ รับรู้กันด้วยหัวใจ


การสื่อสารเป็นวิชาที่มนุษย์เราต้องเรียนรู้ตั้งแต่เกิด บางคนมีพรสวรรค์ในการสื่อสาร (เรียกได้ว่า มีเสน่ห์ในการเข้าใจ และโน้มน้าวจิตใจคน) แต่บางคนก็สื่อสารกับใครไม่เป็น (พูดไม่เคยเข้าหูคน คิดอย่าง แต่สื่อสารออกมาอีกอย่าง สร้างความไม่เข้าใจให้กับคนรอบข้าง) อาจเป็นผลมาจาก กระบวนการทางความคิดที่ไม่กว้างไกลเท่าที่ควร หรือ มีความคิดว่า ทุกคน ต้องมอง และรับรู้ เฉพาะด้านที่เขาเข้าใจ (แต่คนเราสามารถเรียนรู้ และปรับตัวเองให้ดีขึ้นได้ อาจต้องใช้เวลา แต่ไม่มีใครแก่เกินที่จะเรียนรู้)


ไดอารี่เราในวันนี้ ขอตีแคบๆ สะท้อนให้ได้อ่าน เฉพาะ “การสื่อสาร” หรือ “ภาษา” ที่ใช้เพื่อแสดงออกเฉพาะเจาะจงในเรื่อง “ความรัก” เราจะ focus ไปยัง “วิธีการแสดงความรักที่คนรักของคุณสามารถสัมผัสได้”


ภาษารัก อย่างแรก คือ “ใช้คำพูดให้กำลังใจ” ดั่งที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า “อำนาจชี้เป็น ชี้ตาย อยู่ทิ่ลิ้น” แค่คำพูด เรียบง่าย สั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น


คุณสวมชุดนี้แล้วดูสวยจัง”

ขอบคุณนะคะสำหรับกาแฟที่แสนอร่อยถ้วยนี้”

ดีใจจังเลย ที่คุณอยู่เป็นเพื่อนคืนนี้”


เพียงแค่คำพูดหนุนน้ำใจเล็กๆ เหล่านี้ ก็สร้างรอยยิ้ม และความรู้สึกดีๆ ให้กับคนรักของคุณได้ (รอเพียงแต่ว่า คุณพร้อมที่จะพูดกับคนข้างๆคุณหรือยัง)


จุดมุ่งหมายของความรัก ใช่ว่าคุณจะได้รับอะไรมาจากคนรักของคุณ

แต่อยู่ที่คุณจะทำอะไร เพื่อคนรักของคุณต่างหาก


ทิพ” และ “ปิ่น” เป็นเลสทั้งคู่ คบกันมายาวนานกว่า 4 ปี โดยที่ทั้งสอง ไม่เคยเลยที่จะทะเลาะกัน เพื่อนหลายคนที่อยู่ในกลุ่ม พยายามถามเคล็ดลับแห่งการครองคู่ของทั้งสองคนนี้


ถามเขา เขาตอบว่า “เขาก็ทำตัวปกติ ไม่ได้ทำอะไรที่พิเศษ ใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติ”


ถามเธอ เธอตอบว่า “รู้ไหม เขาเป็นคนที่วิเศษสุด เวลาเธออยู่กับเขา เธอจะยิ้มได้ตลอดทั้งวัน เขาเป็นคนที่สื่อสารได้เก่งมาก เขาจะไม่ใช่คนหวาน ที่จะมาบอกรักทุกวัน แต่คำพูดในทุกๆวันของเขา จะมีแต่ประโยคที่ ฟังดูเหมือนให้กำลังใจเธอตลอด เขามักชมกับทุกสิ่งที่เธอทำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งเล็กน้อยแค่ไหน เวลาที่เธอทำอะไรผิดหรือพลาด เขาก็จะมีคำพูดที่ให้กำลังใจเธอเสมอ เป็นเพียงแค่ประโยคเล็กๆ แต่ก็เป็นพลังขับเคลื่อนให้กับความรักของเรา”


ความจริงมีอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อเราได้ฟังคำพูดที่ให้กำลังใจแล้ว

เราก็อดไม่ได้ที่จะไม่ทำอะไร ตอบแทนอีกฝ่ายหนึ่ง

และนี่แหละ คือจุดที่มหัศจรรย์ที่สุดของความรัก


เพื่อนๆที่มีความรักคู่ไหน ที่มีปัญหา ทะเลาะกันบ่อยๆ ลองเสริมสร้างชีวิตรักของคุณ ด้วยการพูดให้กำลังใจ ลองดูวันละ หนึ่งประโยค เรารับประกันว่า ชีวิตคู่ของคุณต้องมีสิ่งที่ดีขึ้นแน่นอน


แต่ถ้าใครยังไม่โดนกับ “ภาษารัก” ในไดอารี่วันนี้ เรายังมี ภาษารัก อีก 4 แบบ รอเพื่อนๆอยู่ในไดอารี่วันต่อๆไป


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน




วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เหตุผลสำเร็จรูป

เมื่อหลายวันก่อนได้มีข่าวของ ดาราตลกสาว ที่ถูกตำรวจจับ เนื่องจากมียาไอซ์ไว้ในครอบครอง หลังจากถูกจับคุม เธอให้เหตุผล พร้อมกับแสดงความเสียใจว่า ที่เธอต้องหันไปพึ่งยาเสพติด เนื่องจากเธอเครียด และมีงานน้อย เธอจำเป็นจริงๆที่จะต้องหันไปพึ่งพายาเสพติด ทั้งๆที่รู้ว่า “มันไม่ดี และอันตราย” (และนี่คือเหตุผลของผู้ใหญ่อายุ  39 ปี)  


ในความคิดส่วนตัวของเรา เรามองว่า "เหตุผล ที่เธอได้แสดงออกมานั้น สะท้อนให้เห็นความอ่อนแอของตัวเธอ และสังคมในทุกวันนี้อย่างมาก" เพราะสิ่งเหล่านี้คือ "เหตุผลสำเร็จรูป" ที่ดูเหมือนจะได้รับ "กระแสตอบรับจากคนในสังคม (ที่ไม่มีความคิด)” อย่างดี 


เหตุผลเหล่านี้ ไม่ต้องโฆษณา ไม่มีค่าการตลาด มีเพียงแค่ "กระแสของสังคม" รวมถึง "ค่านิยม" สิ่งเหล่านี้ได้ "ฝังอยู่" ในสมองส่วนหน้า ที่เพียงแค่คุณได้ยินคำถาม "คำตอบ" ก็จะ "พรั่งพรู" ออกมาเอง โดยที่คุณไม่เคยที่จะคำถามเหล่านั้นไป "ไตร่ตรอง" เลยจริงๆ (ว่าคำตอบเหล่านั้น เป็นสิ่งที่คุณต้องการจะตอบหรือเปล่า?)


อย่างเช่น 


เมื่อเราเดินเข้าไปในร้านอาหารตามสั่ง แม่ค้าถามว่า "จะทานอะไรดี?” ในร้านอาหารตามสั่ง


คำตอบแรกปากเราปล่อยออกมา (ด้วยความเคยชิน) ก็คือ "ข้าวผัดกระเพราไก่ ไข่ดาว" (เพราะรู้สึกว่า นี่คือ อาหารจานยอดฮิต อร่อย แบบไม่ต้องคิด) และนี่ก็คือ เหตุผลสำเร็จรูป


หรือ เมื่อเราเดินเข้าร้านทำผม ช่างถามว่า จะตัดทรงอะไร?


บางคนก็แทบไม่ต้องคิดเลย เพราะว่า ทรงที่คนอื่นกำลังนิยมตอนนี้ ทรงอะไรก็ได้ เราไม่สนใจถามด้วยซ้ำว่า "จะเหมาะสมกับเราไหม?” เพราะสังคมได้คิดให้แล้ว (คนอื่นเขาก็ทำทรงนี้กันเยอะแยะ) และนี่คือ เหตุผลสำเร็จรูป 


หรือ ถ้ามีคนถามว่า สเปค ของทอมในฝันของเราคืออะไร?


บางคนแทบไม่ต้องคิดเลย เพราะต้องสูง ขาว ตี๋ หน้าตาออกจะเกาหลี set ผมเท่ห์ (แบบที่ดี้ส่วนใหญ่ในสังคมต้องการ) ถ้ามีเวลาว่างๆ ลองถามตัวเองดูนะคะ ว่าคุณไม่สน ทอม 3 กอง หรือ ทอมกระป๋องบ้างหรือคะ (เพราะจริงๆแล้ว สเปคของคุณจริงๆ อาจเป็นทอมล้ำๆ เตี้ยๆ ดำๆ ก็เป็นได้ ฟังเสียงของหัวใจตัวเองบ้าง จะได้ไม่ต้องวิ่งตามหาให้วุ่นวายไปทั่วเช่นนี้)


หรือ อย่างเวลาที่เรานอกใจแฟน และแฟนจับได้ เราก็จะให้เหตุผลแบบโง่ๆ (ที่สำเร็จรูปแล้ว) ว่า


เพราะคุณไม่มีเวลาให้ฉัน หรือเพราะคุณไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ (โยนความผิดให้เขาเลย ความผิดจะได้พ้นตัวเราไปเสีย) จะมีใครไหม ที่กล้ายอมรับในทางเลือกของตัวเอง พูดออกมาเลยว่า "ฉันมักมาก ไม่รู้จักพอ เป็นผู้หญิงที่มั่วเอง" (เหตุผลที่แท้จริงๆเหล่านี้ คงไม่มีใครกล้ายอมรับ แม้กระทั่งเอ่ยในใจ)


หรือ ถ้าเราไปทำงานสาย แล้วเจ้านาย หรือผู้ร่วมงานไถ่ถาม


เหตุผลแรกที่จะวิ่งเข้ามาในหัวเรา (เป็นเหตุผล "สากล") นั่นก็คือ "ฝนตก รถชน รถติด รถเสีย" แต่จะมีใครกล้าบอกเหตุผลจริงๆบ้างว่า "เมื่อคืนดูหนังดึก เช้านี้เลยตื่นสาย หรือ จริงๆตื่นทันเวลาแล้ว แต่มัวแต่เลือกเครื่องแต่งกายอยู่ หรือ เสียเวลาไปกับการแต่งหน้า แล้วลบแต่งใหม่ ฯลฯ"


หรือ เมื่อเราต้องการจะ shopping ซึ่งราคาของแต่ละชิ้นรวมกันแล้วนั้น อาจหมายถึง เงินเดือนทั้งเดือนของเราในเดือนหน้า 


เราก็จะให้เหตุผลกับตัวเองว่า "ช่างมันเถอะ อนาคตก็คืออนาคต หรือว่า เราต้องซื้อ เพราะถ้าไม่ซื้อคนอื่นก็ต้องได้ไป หรือ นี่คือรางวัลแห่งชีวิตการทำงานของเรา ที่ทำงานหนักมาก จนเงินเดือนไม่พอใช้ในแต่ละเดือน"  (สรรหาเหตุผลร้อยแปดมา เพื่อทำให้เรารู้สึกดีขึ้น)


หรือ หากวันนึง เรากลายเป็นเด็กมีปัญหา หรือสร้างความเสื่อมเสียให้กับครอบครัว


เราก็จะตะโกนบอกคนรอบตัวว่า "เป็นเพราะพ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลเรา มีแต่เงิน ไม่มีความรัก และความเอาใจใส่ จึงทำให้เราเป็นเด็กมีปัญหา" (อ้าว กลายเป็น พ่อแม่รังแกฉัน ฉบับ โยนความผิดให้บุพการี จนได้)


นี่คือ ตัวอย่าง เล็กๆ น้อยๆ กับเหตุผลของคนในสังคม (เป็นไงคะ เฉี่ยว หรือ โดนใครเต็มๆ หรือเปล่า?)


ยิ่งเราเดินตามสังคม (ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา) เราก็เสีย "จุดยืน" หรือ "ความเป็นตัวตน" ของเราแทบจะหมดสิ้น เราแทบไม่ได้คิด หรือ ตั้งคำถามกับตัวเราเองด้วยซ้ำว่า "คำตอบ หรือทางเลือก" เหล่านั้น จริงๆแล้ว เราต้องการ หรือ เรารู้สึกมีความสุขกับมันหรือเปล่า? แค่สังคมยอมรับ สังคมนิยมกัน นั่นคือ สิ่งเราต้องการแล้วจริงหรือ? (ลองคิดดูกันเล่นๆนะคะ)


บางคนมีความคิดที่จะมองในมุมมองที่ต่าง อยากจะทำในสิ่งที่ต่าง แต่มี "ความกล้าหาญ" ไม่เพียงพอ พวกเขาจึงได้แต่ "คิด และก็คิด" สุดท้ายก็ หันไปใช้บริการ "เหตุผลสำเร็จรูป" อยู่เช่นเดิม


จงกล้าที่จะก้าวออกมาจาก เหตุผลสำเร็จรูป พวกนี้ซะ แล้วคุณจะพบว่า "จริงๆแล้ว สมองคุณก็ยังทำงานอยู่ ไม่ได้ อัลไซเมอร์ไปก่อนวัยอันควรแล้ว"


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน





วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ป๋าต๊อบ พ่อบุญทุ่ม จริงหรือ?

วันนี้เราได้อ่านข่าวทางเวปผู้จัดการ มีการเสนอข่าวเกี่ยวกับ "ป๋าต๊อบ ที่ทุ่มเงินเกือบ สิบล้าน ซื้อรถหรูให้ น้องปีใหม่" หลายๆคนที่ได้อ่านข่าวนี้ แต่ละคนก็จะมีมุมมองที่แตกต่างกัน


ทอมบางคนเมื่ออ่านข่าวนี้ ก็อาจคิดในใจว่า "ป๋าต๊อบบ้า ทุ่มเงินซื้อความรัก คงไม่มีทางได้เจอรักแท้หรอก ถ้าเป็นเขา เขาจะไม่มีทางทุ่มเทเงินทองเพื่อซื้อความรักโดยเด็ดขาด หรือบางคนอาจจะ "เลียนแบบ" วิธีการของป๋าต๊อบ เพื่อให้ได้มาซึ่งดาราสาวสวยตามสเปคก็ได้" (นานาจิตัง)


ดี้บางคนเมื่ออ่านข่าวนี้ ก็อาจคิด "อิจฉา" หรือ "ฝันเฟื่อง" ในใจว่า "จะมีทอมคนไหน? ทุ่มเทให้เขาได้เท่าป๋าต๊อบไหม? ชีวิตเธอจะมีโอกาสดีๆเช่นนี้หรือเปล่า?” ถ้าแค่คิดก็คงไม่เท่าไหร่? บางคนอาจถึงขั้น เรียกร้องบางสิ่งบางอย่างเพิ่มมากขึ้นจากทอมที่เธอคบอยู่ก็ได้ 


ผู้ชายบางคนเมื่ออ่านข่าวนี้ ก็อาจจะมี "อคติ" และมองว่า "ไม่มีความจริงในในพวก ญ รัก ญ หรอก ต้องใช้เงินทองหลอกล่อ เพื่อให้ได้มาซึ่งความรัก บ้างก็อาจคิดดูถูกผู้หญิงว่า "เห็นเงินมากองตรงหน้า ก็วิ่งเข้าใส่ ไม่สนว่า ของแท้ ของเทียม"


แต่สำหรับเราเมื่อได้อ่านข่าวนี้ เราก็มองว่าเป็นเรื่องปกติ (ในมุมมองของเรานะ) เราว่า "ป๋าต๊อบ ไม่ได้ทุ่มเทเยอะเกินไปหรอก เผลอๆ อาจจะน้อยเกินไป เมื่อเทียบกับทอมธรรมดาปกติบางคนก็ได้ 


ลองคิดง่ายๆ (จากการที่เราติดตามข่าวของเขา และไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว แต่จะขออนุญาติแสดงความคิดเห็น) ป๋าต๊อบ มีเงินมากกว่า สิบล้าน ดังนั้น การที่เขาจะให้ของขวัญคนที่เขารัก หรือคิดจะทุ่มเทสักคน คือเขาก็อายุมากแล้วนะ คิดแบบคนทั่วไป ใช้ชีวิตมาหลายสิบปี ก็เหนื่อยแล้ว ที่จะต้องเริ่มใหม่  เขาคงอยากจะหยุดความรัก ใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนตลอดไปแล้วล่ะ ดังนั้น เขาอาจคิด หรือตั้งหวังว่า นี่อาจเป็น "รักครั้งสุดท้ายของเขา เขาต้องทำให้ดีที่สุด ก่อนหน้านี้เคยให้ผู้หญิงคนอื่นมากกว่านี้ ทำไมให้แค่นี้ เพื่อรักครั้งนี้ ที่หวังว่าจะเป็นรักครั้งสุดท้าย ทำไมจะให้ไม่ได้"  


เรื่องราวต่อไปนี้ เป็นเรื่องของ "ทรู" ทอมวัย 45 ที่มีความต้องการอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนตลอดไปเช่นกัน (วัยโค้งสุดท้าย) เขาได้มาเจอ "พี" ดี้สาววัย 26 ที่หน้าตาสวยมาก เข้าขั้นพริตตี้ เขาไม่รอช้า เดินหน้าจีบเธอแบบเป็นพ่อบุญทุ่ม เขาพาเธอไปกินข้าว ดูหนัง ซื้อของ Brand name ให้เธอ เรียกได้ว่า เงินเดือนเขา 30000 แต่เขารูดบัตรเครดิต เพื่อพาเธอไป shopping ต่อเดือน ร่วมแสนบาท เขาไม่เคยปริปากบ่นกับการที่ต้องมาทุ่มเทซื้อข้าวของให้เธอ หลายๆครั้งที่เธอมักจะน้อยอกน้อยใจ เมื่อเพื่อนสาวของเธอ ที่เป็นเมียน้อยของเสี่ย ได้มาอวดของ brand name ที่ราคาแสนแพงเป็นหลักแสน  เธอก็จะโทรมาหงุดหงิด หาเรื่องชวนทะเลาะ เรียกร้องให้เขาซื้อให้เธอบ้าง (ด้วยความอยากมี อยากได้ของเธอ) หลังจากที่เขาไม่สามารถซื้อให้เธอได้ตามปรารถนา เนื่องจาก วงเงินบัตรเครดิต  8 ใบที่เขามีนั้น "วงเงินเต็ม" เธอจึงบอกเลิก และตีจากเขาไป เปลี่ยนสถานะ เจริญรอยตามไปเป็นเมียน้อยของเสี่ย ตามเพื่อนสนิทของเธอ ทิ้งให้เขาต้องใช้หนี้หัวโต และเสียในความรักครั้งนี้อยู่เพียงลำพัง (เธอทิ้งไปน่ะดีแล้ว เพราะถ้ายังคบกับเธออยู่ เขาอาจจะต้องไปเป็นเมียน้อยเสี่ย เพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ก็ได้


จากการเปรียบเทียบระหว่าง ป๋าต๊อบ และทอมเรื่องข้างต้น ก็น่าจะบอกได้แล้วว่า "จริงๆแล้ว ใครกันแน่ ที่เป็นพ่อบุญทุ่มตัวจริง"  


กรณีของป๋าต๊อบ เงินแค่นี้ อาจไม่ถึง 10% จากจำนวนที่เขามี (คือมันน้อยมาก)   แต่เขามีเงินเยอะ ดังนั้น ของที่เขามีความสามารถซื้อให้ได้ จึงดูมีมูลค่าเยอะแยะมากมาย


แต่กรณีของทรู ที่ทุ่มเท ซื้อของให้แฟนสาว ทั้งๆที่เงินก้อนนั้น อาจเป็นก้อนสุดท้าย หรือเขาอาจต้องไปติดหนี้มา เพื่อให้ได้ตามความต้องการของแฟนสาว ดังนั้น ของที่เขาให้แฟนสาวนั้น อาจหมายถึง อนาคตที่เขาต้องอดๆอยากๆ หรือหนี้บัตรเครดิตกองเบ้อเร้อ ที่เขาต้องทำงานใช้ไปอีกหลายปี


จึงสรุปได้ว่า จริงๆแล้ว เราไม่ควรเปรียบเทียบ คุณค่า และมูลค่า ของสิ่งของที่แฟนเราซื้อให้จาก "ราคา" อย่างเดียวเสมอไป ความตั้งใจ และอัตราส่วนราคาสินค้า ต่อ ฐานะที่เขามี ก็เป็นเกณฑ์ที่ควรพิจารณาเช่นกัน


ดังนั้น ใครก็ตามที่กำลัง "เรียกร้อง" หรือ หาเรื่องทะเลาะกับแฟน ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เช่น มูลค่าของขวัญที่เขามากำนัลให้นั้น ก็ควร "ไตร่ตรองให้ดี เพราะไม่แน่นะ คนที่คุณคิดจะสลัดเขาทิ้งด้วยเหตุผลงี่เง่าเช่นนี้ เขาอาจเป็นบุคคลที่ทุ่มเทให้คุณได้ทั้งชีวิต เพราะความรักก็ได้ (อย่าไปวิ่งหาน้ำบ่อหน้าเลย เพราะทางข้างหน้าอาจมีเพียงแค่ทะเลทรายก็ได้)


ไม่มีของขวัญช้ินไหน ที่มีราคาเพียงพอ ที่จะประเมินค่า "ความรัก" ได้ เพราะความรักยิ่งใหญ่เกินประมาณ ซื้อหาไม่ได้ ถ้าอยากได้ อยากครอบครอง ต้องนำ "ความรัก" มาแลกไป"


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน