เป็นงานเขียนต่อจากเมื่อวานนี้ เลื่อนลงไปอ่านด้านล่างหน้านี้ได้เลยนะคะ เพื่อว่า คุณจะได้ตามทันแนวคิดของเรา และจะเข้าใจตรงกันได้อย่างชัดเจน
เมื่อพลาดพลั้ง เสียใจให้กับความรักในวัย 18 และ 23 แล้ว หัวใจของเราแต่ละคนก็เริ่มจะ "ชาชิน" กับความหวือหวารอบตัว เริ่มมองเห็น "สัจธรรม" ที่แท้จริงของความรักที่ว่า "มีรักก็ต้องมีทุกข์"
พออายุก้าวเข้าสู่วัย 28 ก็เริ่มอยากจะมีความรักอีกสักครั้ง ซึ่งความรักครั้งนี้ ไม่อยากจะให้มีอะไรผิดพลาดอีก แต่ก็นะ ใช่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่เราต้องการ จะสุขสมหวังไปเสียหมด เพราะเพียงแค่เรามีหัวใจที่พร้อมรัก มีพละกำลังใจที่เต็มเปี่ยม แต่ก็หาใช่ว่า คนๆนั้นของเรา จะพร้อมสรรพเสียเมื่อไหร่? (ก็เพราะที่เขาไม่พร้อมนี่แหละ ชีวิตของเขาจึงต้องการ "การเติมเต็ม" จากเรา)
จากประสบการณ์ รักๆ เลิกๆ มาสองครั้งสองครา ก็พอเป็นประสบการณ์ และบทเรียนให้คนแต่ละคนได้เรียนรู้ แต่เขาจะ "เข็ด" ไหม? ความรักครั้งนี้จะผิดพลาดไหม? ก็ไม่มีใครสามารถจะรับประกันได้ และหากมันเกิดผิดพลาดขึ้นอีก ก็คงต้องใช้เวลานานพอสมควร กว่าที่ร่างกายและหัวใจจะเยียวยาตัวเองได้
สมมติว่าความรักครั้งที่ 3 เกิดพลาดพลั้ง เราก็ต้อง "หยุด" มานั่งเศร้า เสียใจ ถามตัวเอง เพื่อดำเนินชีวิตต่อไป จนมีหลายๆครั้งที่อาจถามตัวเองว่า "ชีวิตเราเกิดมาถูกสาปให้ผิดหวังในรักหรือเปล่า?” คนๆนั้นของเรา จะเกิดมาหรือยัง หรือว่าเขามัวแต่ไปเดินเล่นอยู่ที่ไหนนะ?
เมื่อถึงช่วงวัย 35 หัวเลี้ยวหัวต่อ โค้งสุดท้ายแห่งชีวิตเริ่มคืบคลานเข้ามา เราก็เริ่มที่จะมีความคิดในมุมมองที่แปลกใหม่ว่า "ในเมื่อความรักแท้แบบหนุ่มสาวนั้น มันหายากเย็นนะ หรือเราไม่ได้เกิดมาเพื่อมีมัน เอาเป็นแค่ เพื่อนเที่ยว เพื่อนกิน เพื่อนสนิท เพื่อคู่คิด เพื่อนที่เข้าใจกันและกันก็คงเพียงพอ" (มาตรฐานและความต้องการเริ่มลดน้อยลง สวนกระแสกับอายุที่เริ่มมากขึ้น)
และคนๆนั้น ที่เราเฝ้าใฝ่ฝันหา ก็อาจจะหาเจอได้หรือไม่นั้น ก็แล้วแต่บุพเพ บุญและกรรมของคนแต่ละคน
ขอเบรคไว้ตรงนี้ก่อน (ในที่สุด เพื่อนๆก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ทำไม? เราจึงตั้งชื่อเรื่องว่า why me? แต่ก็ต้องมีเหตุผลสิ เพราะเราไม่เคยทำอะไรโดยไม่มีเหตุผลอยู่แล้ว)
โปรดติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้นะคะ
ถึง ตัว T ที่รักของหนู
หนูเขียนนี้ตั้งแต่เมื่อเย็นวานนี้ คุณก็กำลังนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นเช่นเคย หนูอดยิ้มให้กับตัวเองคนเดียวไม่ได้ เพราะว่า ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เกาะช้าง หรือที่กรุงเทพฯ คุณก็ยังคง "สะกด" หนูให้ดำเนินชีวิตแบบช้าลง (ลดความ hyper) ของหนูได้จนหมดสิ้น
เมื่อวานฝนตกทั้งวันช่วงเย็น ทำให้หนูอดเที่ยวอีกเช่นเคย หนูถามคุณว่า ถ้าพรุ่งนี้คุณหาย หรืออาการดีขึ้น คุณจะพาหนูไปดูหนังไหม? คุณตอบเพียงสั้นๆว่า "ดูก่อน" (เป็นคำตอบที่ทรมานหนูยิ่งนัก แต่ไม่ว่ายังไง นานแค่ไหน หนูก็จะรอจนกว่าคุณจะหาย และไปดูพร้อมคุณนะคะคนดี)
หนูดีใจนะคะ ที่คุณเข้ากันได้ดีกับน้องวอดก้าน้อย และน้องมอมแมมน้อย เรียกได้ว่า วอดก้าน้อยติดคุณมากที่เดียว (ก็คุณมีปูอัดถุงใหญ่หลอกล่อเขานี่น่า) ส่วนมอมแมมน้อย (แมวผู้หยิ่งเสมอ) ก็ยังเดินตาม และไม่กลัวคุณเลยสักนิด
ขอบคุณนะคะที่เข้ามาเป็นส่วนนึงของครอบครัวของหนู ยิ่งหนูได้เห็นคุณในมุมอื่นๆมากเท่าไหร่? หนูยิ่ง "ตกหลุมรัก" คุณ ด้วยความเป็นคนง่ายๆ ของคุณ แต่แฝงไปด้วยแนวคิด และปรัชญาของชีวิต ที่สามารถ "นำทาง" ให้หนูก้าวเดินต่อไปในชีวิตได้อย่างมีความสุข
และวันนี้ เราก็ได้ไปดูหนังเรื่อง Transformers ด้วยกัน เป็นหนังที่สนุกมากเลยเรื่องนึง หนังเรื่องนี้แฝงด้วยอะไรหลายๆอย่าง เพราะบางที "การเสียสละ" เล็กๆ ก็เป็น "จุดเริ่มต้น" อันยิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน
กลับมาอยู่ กทม. ได้ 3 วันเต็มๆ ฝนตกตอนเย็นตลอดเลย ทำให้หนูไม่มีเวลาไปขี่มอเตอร์ไซค์เล่นเลยอ่ะ โอมเพี้ยง!!!! ขอให้พรุ่งนี้ฝนไม่ตกนะคะ คุณจะได้พาหนูซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวกัน
พรุ่งนี้เป็นวันเกิดคุณพ่อของเรา และคุณก็ได้รับเชิญให้ไปทานข้าวร่วมกันเป็นครอบครัว ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ สมาชิกใหม่!!!!!!~
หนูรักคุณคะ ขอบคุณสำหรับ Morning Kiss & Good Night Kiss
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน