Recent News

Powered by eSnips.com

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

หาหมอฟัน

ย้อนไปเมื่อวานตอนเย็น ขณะที่กำลังนั่งเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ อยู่ๆเราก็มีอารมณ์อยากจะเจ็บตัว จึงตัดสินใจว่า “ลุกไปทำฟันดีกว่า” ร่างกายจึงautomatic แปรงฟัน ไปหาหมอฟันเลย เมื่อไปถึง พนักงานต้อนรับก็ได้นำ “Menu ในช่องปาก” มาให้เลือกสรร มีตั้งแต่รายการที่เจ็บมาก ไล่ลงไปจนถึงเจ็บเสียวเล็กๆ หลังจากพลิกไป พลิกมาอยู่หลายหน้า เราจึงตัดสินใจเลือก menu “ขูดหินปูนทั้งปาก” ดีกว่า (เสียวปานกลาง ไม่โลดโพนนัก) นั่งรอสักพัก ก็มีเสียงสวยๆเสียงหนึ่ง ขานเรียกชื่อเรา เราเดินเข้าไปในห้องสีขาว ที่มีเครื่องมือเรียงราย มีตั้งแต่เข็มปลายเรียวแหลม ไล่ size ไปอย่างน่าขนลุก (คำเตือน!!! ห้องนี้ ถ้าไม่จำเป็น หรือไม่ปวดฟันเจียนตาย ไม่ควรย่างกายเข้าไป จะดีกว่า)

คุณหมอเชิญให้เรานอนลงอย่างสบาย และร้องขอให้เราอ้าปาก (คุณหมอคนนี้ ช่างทำเวลาเสียจริงๆ จะไม่ทักไม่ทายคนไข้หน่อยเลยหรือคะ?) คุณหมอเริ่ม check ฟันเราทีละซี่อย่างละเอียด ก่อนที่จะบอกว่า “ฟันกรามโยกแล้ว ควรจะถอนนะครับ? จะถอนไปพร้อมขูดหินปูนเลยหรือเปล่า?” เราพยักหน้า ทั้งๆที่ในใจกลัวอยู่ลึกๆ (ไหนๆ ก็อยากเจ็บแล้ว เจ็บให้สุดๆไปเลยวันนี้) และหมอก็ฉีดยาชาลงไปที่เหงือกอย่างช้าๆ และให้เราลุกขึ้นบ้วนปาก ก่อนที่จะเอ่ยว่า “ฟันกรามซี่ในสุดของคุณต้องถอนนะครับ? ไม่งั้นฟันอีกซี่จะขึ้นไม่ได้? วันนี้จะถอนไปเลยไหมครับ?” จังหวะนั้น เราไม่ได้คิดอะไรจึงตอบว่า “ได้คะ แล้วแต่คุณหมอเลย” และคุณหมอก็เริ่มที่จะฉีดยาชาเพิ่มเข้าไปอีก ขูดหินปูน และโยกฟันกราม (ที่แสนจะแข็งแรงของเรา) ออกอย่างลำบาก 2 ซี่ คุณหมอถามเป็นระยะ ว่าเจ็บไหม เราได้แต่ยกมือบอกว่า “ไม่” เมื่อเสร็จแล้ว คุณหมอให้เรากัดผ้าก๊อตเอาไว้ เราคิดในใจว่า “คุณหมอคนนี้มือเบามาก ไม่รู้สึกอะไรเลย เอ๊ะ! หรือว่าเพราะเขาฉีดยาชาให้เราก่อนที่จะทำ แล้วถ้ายาชาหมดฤทธิ์ล่ะ? ความเจ็บปวดจะมาเยือนไหม?”

เมื่อกลับมาถึงบ้าน สิ่งที่ทำได้ก็คือ ต้องกัดผ้าก๊อตที่ดูเหมือนจะชุ่มไปด้วยเลือด เราเปลี่ยนผ้าก๊อตชิ้นแล้วชิ้นเล่า แต่ดูเหมือนเลือดยังคงจะหลั่งออกมาไม่ยอมหยุด และแล้ว เวลาที่ยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ก็มาถึง เราเริ่มรู้สึกปวดตุ๊บๆ ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนทนไม่ไหวต้อง Take ยาไป 2 เม็ด สรุปต้องนอนปวด และกัดผ้าก๊อตทั้งคืน พูดก็พูดไม่ได้ (อึดอัดใจจัง) เราลุกขึ้นมา take ยา สลับกับเปลี่ยนผ้าก๊อตตลอดคืน (ทรมานจริงๆ)

และเช้านี้ ร่างกายเราขยับตัว เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ปลุก ถึงแม้ว่าจิตใจอยากจะตื่นมาดู “ฟ้าที่สดใส” แต่ร่างกายไม่ไหวจริงๆ ขอนอนต่อแล้วกัน วันนี้จึงขอ “ลาป่วย” ดีกว่า ตื่นมาอีกทีก็เก้าโมงกว่าแล้ว คุณแม่แนะนำให้เราไปหาคุณหมอเพื่อเช็คแผลอีกที เผื่อว่าจะอักเสบ (เพราะเลือดควรจะหยุดไหลตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ) พอไปเช็ค คุณหมอก็บอกว่า “ไม่เป็นไรมากแล้ว ปลอดภัย แต่ไม่ควรทานอาหารรสจัดประมาณ 1 อาทิตย์ ทุกอย่างก็คงกลับสู่สภาวะปกติ” (อยากจะถามคุณหมอจริงๆ ว่า “เมื่อวานใส่อารมณ์มากไปหรือเปล่าคะ ตอนถอนฟันหนูออก” แต่บางทีการสงบเสงี่ยมคำพูด ก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ)

วันนี้ “ลาป่วย” จึงมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น ขับรถพาคุณแม่ไปเที่ยว shopping ดีกว่า (สุขอุราจริงๆเลย วันหยุดนี่) มื้อค่ำวันนี้ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะพาคุณแม่ น้องสาว น้องเขย ไปทานข้าวนอกบ้านกัน (เนื่องจากคุณพ่อขับรถไปต่างจังหวัด) วางแผนกันเสียอย่างดี ก็ต้อง “ยกเลิก” เพราะคุณพ่อโทรมาบอกว่า “ให้หุงข้าวสวยไว้รอเลย วันนี้จะมี party ปู กัน”

“Party ปู” คือ การทานอาหารร่วมกันในครอบครัว ที่มีอาหารจานหลักเป็นปูทะเล หรือปูม้า ที่สดๆ เนื้อหวาน และแน่นมากๆ (ไม่ต่ำกว่า 5 กิโล) ทานคู่เคียงกับน้ำจิ้ม seafood รสเด็ด และจัดมาก โดยปกติ ที่บ้านเราจะมี party แบบนี้บ่อยครั้ง (ขึ้นอยู่กับอารมณ์เรียกร้องของคุณแม่)

เมื่อวานเช้า ขณะขับรถ สายเราก็สอดส่องไปเห็น ทอมหลากหลายบุคลิก เดินอยู่ตาม footpath จนอยากจะขับรถขึ้นไปบน footpath ถึง 2 ครั้ง 2 คราว ครั้งแรกมีวัตถุประสงค์ เพื่อ "เฉี่ยว" ทอมน่ารัก น่ากอดใส่รถกลับไปนอนกอดที่บ้าน อีกครั้งก็เพื่อ "ชน" ทอมที่แต่งตัวออกจากบ้านมา โดยไม่ปรึกษาสถาบันเสริมสร้างบุคลิกภาพเลย จับโน่นมา match นี่ ได้อย่าง "น่ากลัว" มาก

Thanks God สำหรับ “ความรัก ที่มีอิทธิพลเหนือ ความกลัว ทั้งปวง”

ขอบคุณ คุณแม่ ที่คอยโทรมาถามอาการอยู่บ่อยครั้ง (ทั้งๆที่รู้ว่าลูก กัดผ้าก๊อตอยู่ แต่คุณแม่ก็ยังคงต้องการให้ลูกเปล่งเสียงบอกเล่าอาการ) น่ารักมากคะ

ขอบคุณ น้องมอมแมม ที่ “จุ๊บ” หน้าผากพี่ก่อนนอน

ขอบคุณ น้องวอดก้า ที่คอยนอนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง และไม่สร้างวีรกรรมกับพี่มอมแมม (ยอมสงบศึกชั่วคราวเพื่อพี่)

ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนนะคะ ที่ติดตามอ่าน