แม่โกหกเรา 8 ครั้งในชีวิต
ครั้งแรก ตอนเมื่อเราเป็นเด็กๆ เราเกิดในครอบครัวที่ยากจน ครอบครัวของเราจนมาก จนต้องอดข้าวบ่อยๆ เมื่อไหร่ก็ตามเมื่อถึงเวลากินข้าว แม่จะแบ่งข้าวมาให้เราเพิ่มอีก พร้อมทั้งพูดว่า "ลูกต้องกินข้าวเพิ่มขึ้นนะ ส่วนแม่ไม่ค่อยหิว" นี่เป็นครั้งแรกที่แม่โกหกเรา
ครั้งที่สอง เมื่อเราเติบโตขึ้น คุณแม่เพียรพยายามหาเวลาว่าง ไปตกปลาในแม่น้ำ เพื่อว่าเราจะได้กินอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของเรา แม่ต้มปลา ที่ตกมาได้ทำเป็นซุป ให้เรากิน ในขณะที่เรากินแกงต้มปลา แม่จะนั่งข้างๆเรา แทะกินเศษเนื้อปลาที่ติดอยู่ตามก้างปลา หลังจากที่เราได้กินเนื้อปลาไปแล้ว เรารู้สึกตื้นตันใจมาก เราพยายามแบ่งเนื้อปลาให้แม่ แต่แม่ปฏิเสธทันควัน พร้อมกับกล่าวว่า "ลูกกินเถอะ แม่ไม่ค่อยชอบกินเนื้อปลา" นี่เป็นครั้งที่สองที่แม่โกหกเรา
ครั้งที่สาม เมื่อเราเรียนอยู่ชั้นมัธยม เราต้องใช้เงินเพิ่มมากขึ้น แม่ต้องหารายได้พิเศษด้วยการรับงานเล็กๆ น้อยๆ จากโรงงาน มาทำที่บ้าน บางครั้ง เราตื่นขึ้นมาตอนตีหนึ่ง หรือตีสอง เรายังเห็นแม่ทำงานอยู่ "แม่คะ นอนเถอะ มันดึกมากแล้ว พรุ่งนี้แม่ต้องไปทำงานอีก" แม่ยิ้มกับเราพูดว่า "ลูกนอนต่อก่อนนะ แม่ยังไม่เหนื่อย นอนไม่หลับ" ครั้งที่สามแล้ว ที่แม่โกหกเรา
ครั้งที่สี่ ตอนเมื่อใกล้จบชั้นมัธยม เราต้องไปสอบวันสุดท้าย แม่อุตส่าห์หยุดงานไปเป็นเพื่อน และเพื่อเป็นกำลังใจให้ มันเป็นวันที่แดดร้อนมากๆ แม่ต้องรอเราอยู่หลายชั่วโมง เมื่อเราทำข้อสอบ เสร็จ รีบออกมาหาแม่ เราเห็นแม่มีเหงื่อออกท่วมตัว แต่ท่านกลับรินน้ำเย็นที่เตรียมมาให้เราดื่ม เราเห็นแม่รู้สึกเหนื่อย และร้อนจึงขอให้แม่ดื่มน้ำก่อน แม่พูดขึ้นว่า "ลูกดื่มเถอะ แม่ยังไม่กระหาย้ำ" นั่งเป็นครั้งที่สี่ ที่แม่โกหกเรา
ครั้งที่ห้า หลังจากที่พ่อล้มป่วยและเสียชีวิต คุณแม่ที่น่าสงสาร ต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว แต่ก็ยังไม่ค่อยเพียงพอไม่ว่าแม่จะพยายามมากขึ้นเพียงไร คุณลุงที่อยู่ข้างๆบ้าน ท่านเป็นคนดี พยายามมาช่วยเหลือครอบครัวเราเสมอ เช่นซ่อมแซมบ้านที่ผุพัง ฯลฯ เพื่อนบ้านเห็นครอบครัวลำบากมาก ก็แนะนำให้แม่แต่งงานใหม่ แต่แม่ยืนกรานไม่เห็นด้วย แม่พูดกับเราว่า "แม่มีลูกอยู่ทั้งคน แม่ไม่ต้องการความรักอีก" แม่โกหกเราเป็นครั้งที่ห้า
ครั้งที่หก ในที่สุด เราก็เรียนจบ และมีงานทำ เราอยากให้แม่ ซึ่งตรากตรำทำงานหนักมาตลอดได้พักผ่อนบ้าง แต่แม่ไม่ยอม กลับไปตลาดทุกเช้า ขายผักที่หามาได้เพื่อเลี้ยงชีพ ทั้งๆที่เราพยายามส่งเงินให้แม่ (เราต้องไปทำงานในเมืองที่ห่างไกล) แม่ไม่ค่อยยอมรับเงินเรา บางครั้งยังส่งกลับคืนให้เราอีก แม่พูดกับเราว่า "แม่มีเงินพอใช้แล้ว ลูกควรเก็บเงินไว้สร้างฐานะ" แม่โกหกเราเป็นครั้งที่หก
ครั้งที่เจ็ด เพื่ออนาคตที่ก้าวหน้า เราตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโท ด้วยทุนของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในอเมริกา เมื่อเราเรียนจบ ก็ได้งานทำที่นั่น และมีเงินเดือนค่อนข้างสูง เมื่อทำงานไปได้สักพัก เราอยากให้แม่เรามาอยู่กับเรา เพื่อว่าแม่จะได้หยุดงาน พักผ่อนให้สบายในบั้นปลายของชีวิต แต่แม่ไม่อยากรบกวนเรา บอกเราว่า "แม่ไม่คุ้นเคยกับชีวิตต่างแดน" แม่โกหกเราเป็นครั้งที่เจ็ด
ครั้งที่แปด เมื่อแม่แก่ตัวลงไปเรื่อยๆ ในที่สุด แม่ก็เป็นมะเร็ง และต้องเข้ารับการผ่าตัดที่ รพ. เราลางาน แล้วรีบบินกลับมาหาแม่สุดที่รักในทันที แม่นอนพักฟื้นอยู่บนเตียง เมื่อเราไปถึง น้ำตาไหลอาบแก้ม เมื่อเห็นแม่ซึ่งผ่ายผอม และดูทรุดโทรมลงอย่างมาก แม่รู้สึกดีใจมาก ที่เห็นเรา พยายามยิ้มอย่างสดชื่น ด้วยความลำบาก เรารู้ดีว่า แม่ได้ฝืนความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดฝืน จากโรคมะเร็งร้ายที่ลามไปทั่วทั้งตัว เราโอบกอดแม่ พร้อมกับร้องไห้ด้วยความสงสาร หัวใจเราในขณะนั้น เศร้าหมองและเจ็บปวดอย่างที่สุด แม่พยายามปลอบเราด้วยเสียงที่แหบพร่า และสั่นเครือ "ลูกรักของแม่ เห็นหน้าลูกแม่ไม่รู้สึกเจ็บแล้ว" นี่เป็นครั้งที่แปด ที่แม่โกหกเรา และเป็นครั้งสุดทายในชีวิตของแม่ด้วย
แม่ที่เรารัก และบูชามาตลอดชีวิตได้ปิดตาลง และจากเราไป อย่่างไม่มีวันกลับ หลังจากที่เธอกล่าวคำโกหกครั้งที่แปด จบลง
พรุ่งนี้ก็ "วันแม่" แล้ว อย่าลืมคิดถึงคุณแม่ของพวกคุณเป็นพิเศษนะคะ เพราะแม่คิดถึงลูกๆตลอดเวลาแหละ
จาก English forward mail “mother 8 lies”
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน