Recent News

Powered by eSnips.com

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

จากเป็น หรือ จากตาย

ณ ตอนนี้เราอยู่ที่เกาะช้าง เดินทางมาถึงเรียบร้อยแล้ว เมื่อเช้าตั้งใจจะตื่นตั้งแต่ตีห้า แต่ด้วยอาการเพลียอย่างหนัก ทำให้เราสะดุ้งตื่นอีกทีก็ 7 โมงเช้าแล้ว ทำไงได้ ก็ต้องเปลี่ยนมาเดินทางเป็นรถเที่ยว 9 โมงเช้า พอขึ้นรถตู้ปั๊บ เราก็หลับยาวถึง 12.15 รถตู้จอดเพราะว่ารถเสีย เราจึงต้องนั่งรถที่จะมารับไปท่าเรือ รอเกือบครึ่งชม.ได้ สรุปมาถึงท่าเรือก็ 13.15 นั่งรอเรือออก (ช้ามากเนื่องจาก low season) เรือออกตอน 14.35 ดันมาเจอเรือใหญ่อีก แล่นช้ามาก กว่าจะมาถึงหาดทรายขาวได้ ก็ 15.15 แล้ว
เราค่อนข้างเหนื่อยและง่วงมากสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ แต่เมื่อได้มาเห็นหาดทรายขาวๆอีกครั้ง ก็ทำให้เรายิ้มได้ แต่ถ้าได้ไปนอนแช่น้ำตกด้วยล่ะก็ พละกำลังและความสดชื่นของเรา ต้องกลับคืนมาดังเก่าแน่เลย
เมื่อวานเราได้ไปทำธุระที่ รพ. กำลังจะเดินเข้าลิฟต์ ได้มีมือนึงมาคว้าแขนเราไว้ พอหันกลับไป เราได้ไปสบสายตากับคนๆนึงที่คุ้นๆ เธอคือเพื่อนเก่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เจอกันมา 12 ปี เธอชื่อ "นิว" เธอดูแปลกตา และเปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อน เธอเดินมาพร้อมกับเด็กผู้ชายอายุประมาณ 4 ปีคนนึง ซึ่งเราได้รับรู้ทีหลังว่าเป็น "ลูกชาย" คนเดียวของเธอ หลังจากที่ถามไถ่เรื่องราวกันได้สักพัก เธอก็ชวนเราลงไปร้านกาแฟด้านล่าง (จริงๆแล้ว เราจะรีบกลับ แต่เมื่อมองเข้าไปในแววตาของเพื่อนเก่าผู้นี้แล้ว ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ลึกๆข้างใน) เราจึงตัดสินใจ ลงไปร้านกาแฟกับเธอพร้อมเด็กชายตัวน้อยๆ
หลังจากที่เธอสั่งกาแฟของเธอ แซนต์วิชและช็อคโกแลตเย็นให้กับลูกชายเธอแล้ว เธอจึงหันมาถามเราว่า เราจะดื่มอะไร เราตอบว่า "ขอแค่น้ำดื่มสักขวดก็พอ" เธอสั่งเสร็จก็เดินนำเราไปที่โต๊ะ เมื่อทุกอย่างมาเสริฟไว้ที่โต๊ะแล้ว เธอจิบกาแฟและสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เธอพูดว่า "ดีใจมาก ที่ได้มาเจอเราที่นี่ เธอไม่รู้จะไปปรึกษา หรือระบายความอัดอั้นตันใจที่เธอมีกับใครได้" เรากุมมือเธอไว้และพูดว่า "เราอยู่ตรงนี้ มีอะไรจะระบาย ก็พูดได้นะคะ ไว้ใจเรา เราเป็นเพื่อนเธอ"
เมื่อประโยคนั้นของเราจบลง สองแก้มของเธอก็เต็มไปด้วยน้ำตา เธอเล่าว่า "เธอมาที่นี่ เพื่อมาเยี่ยมสามีของเธอ (หรือพ่อของเด็กชายคนนี้) เขาประสบอุบัติเหตุเมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนนี้นอนอยู่ข้างบน อาการเป็น และตายเท่ากัน" เธอสะอื้นไปพร้อมกับพูดว่า "ไม่น่าเลย ทำไมเขาต้องเป็นแบบนี้ ทำไม ทำไม???? เหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้นกับเธอ ลูกชายเธอก็กำลังเล็ก เธอก็ไม่มีงานทำ ขาดเขาไปสักคน ชีวิตเธอจะเป็นเช่นไร?"
น้ำเสียง และทีท่าของเธอนั้น ส่อความหมดหวังในชีวิตจนเราก็แอบน้ำตาคลอไปด้วยไม่ได้ เรารู้สึกแย่ที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้มาก นอกจากกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ขณะที่เธอกำลังระบายความทุกข์ในใจออกมา เสียงมือถือเธอก็ดังขึ้น เธอรับสายและรีบขอตัวแยกจากเราไปในทันที (คาดว่า หมอคงโทรมาบอกอาการของสามีเธอ)
ณ เวลานั้น เธอเดินเข้ามาเป็นส่วนนึงของชีวิตเราในวันนี้แบบบังเอิญ และเธอก็เดินจากไปแบบฉับพลัน โดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นกัน (นี่ละมั้ง ที่เรียกว่า จังหวะของชีวิต)
ขณะที่เรากำลังขับรถกลับบ้าน ความทรงจำในวันแต่งงานของเธอและเขา ก็วูบเข้ามาในหัวเรา เราจำได้ว่า วันนั้นเธอใส่ชุดเจ้าสาวลูกไม้สีครีมสวยเพียงใด และเขานั้น surprised เธอด้วยโฉนดที่ดินที่หัวหินบนเวที (อาจเพราะเขาทั้งสองชอบเดินทางไปพักผ่อนต่างจังหวัด) ณ วันนั้นเธอและเขามีความสุขมากมาย และเมื่อวันที่เธอได้เห็นหน้าลูกชายก็คงเป็นอีกวันที่ทั้งคู่มีความสุข แต่ ณ วันนี้ วันที่ "โชคชะตา" เล่นตลก กับชีวิตของคนสองคน โดยได้พลิกผันทุกอย่างให้ "ขาดหาย" ไปในเพียงชั่วเสี้ยวพริบตา ชีวิตเธอต่อจากนี้จะเป็นเช่นไรนะ? (คงไม่มีใครตอบได้)
เมื่อคิดต่อไปเรื่อยๆ ทำให้เราคิดถึงคำที่ว่า "จากเป็น และจากตาย"
"จากเป็น" คือ การจากลา ที่ต่างคนต่างมีทางเดินของตัวเอง โดยที่ทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ การจากแบบนี้เราว่า "ทรมาน" มากกว่า "จากตาย" เพราะไม่แน่ "วงจรชีวิต" อาจจำ "นำพา" คนที่จากเป็นมาเจอกันได้อีกในอนาคต
"จากตาย" คือ การจากลา โดยมี "ความตาย" เป็น "ทางผ่าน"
ในชีวิตนึงของคน เรามักจะพบ "การจากลา" หลายต่อหลายครั้ง โดยส่วนใหญ่ จะเป็น "การจากเป็น" เสียมากกว่า อย่างเช่น ในชีวิตผู้หญิงคนนึง ก่อนจะตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายสักคน ก็ต้องผ่านการมีแฟน ผ่านการปรับตัว คบกับใครหลายๆต่อหลายคน เมื่อผลสรุปว่า "เข้ากันไม่ได้" ก็ต้อง "จากเป็น" กันไปตามระเบียบ
แต่จะมีสิ่งใด หรือสัญญานใดล่ะ ที่ "บ่งบอก" กับเราว่า "เราเข้ากับเขาไม่ได้" หลายคนตอบว่า "เวลา" เท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เขาจะใช่คนที่ใช่สำหรับเราหรือเปล่า เพราะ "เวลา" ได้สร้างปาฏิหารย์ และความวิบัติ มาให้ หลายๆต่อหลายคู่แล้ว
ณ เวลานั้นที่เราตกหลุมรักใครสักคน ช่วงเวลานั้น หัวใจเราก็บอกว่า เขาคือคนที่ใช่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ได้ศึกษากันมากขึ้น ได้ผ่านอุปสรรคหลายๆอย่างร่วมกัน จากคนที่เคยบอกว่าใช่ ก็อาจกลับกลายเป็นไม่ใช่ ถ้าคนๆนั้นแฟร์ๆหน่อย ไม่มีตัวเลือกมาก ก็อาจจะคบต่อไปด้วย "ความเคยชิน" แบบไม่มีเพิ่ม ไม่มีลด อยู่ไปแบบวันๆ
แต่ถ้าคนไหนที่ต้องการจะสร้างชีวิตรักของตัวเองให้ perfect ราวกับถูกสรรสร้างมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็อาจจะ "ตัดใจ" เลิกจากเป็นกับคนที่ไม่ใช่ไปซะ แล้วเดินทางตามหาคนที่ใช่ต่อไป (กระเสือกกระสนต่อไป ตราบที่ยังมีลมหายใจอยู่)
นี่แหละนะ "ชีวิตของมนุษย์"
ฝากไว้ให้เพื่อนๆ ได้ลองย้อนคิดไปเรื่อยๆ ถึงคนที่เคยเดินผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ แล้วคุณจะ "ค้นพบว่า" "การเปลี่ยนแปลง ได้มาทักทายชีวิตของพวกเราในทุกๆวัน"
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ความรัก VS ความกลัว

ณ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงค่อนข้างบ่อย ทำให้ร่างกายของเราอ่อนแอ ณ เวลานี้ ช่วงนี้อาการแพ้อากาศก็เกิดขึ้น ไม่สบายนิดหน่อย พูดถึงภาวะทาง “ร่างกาย” ที่มักจะเปลี่ยนแปลงไปตาม “สภาพอากาศ” ก็คงเหมือนๆกับ “จิตใจ” ของคนเรา ที่มักจะเปลี่ยนแปลงไปตาม “ภาวะอารมณ์” ได้เช่นกัน

ในเรื่องราววันนี้ เราอยากจะยกเกริ่นนำถึง ความรู้สึก 2 ขั้ว ที่มักจะเดินทางมา Relate กันเสมอ ไม่ว่าทางใดก็ทางนึง นั่นคือ “ความรู้สึกรัก และความรู้สึกกลัว”

“ความรัก” ก่อให้เกิด “แรงผลักดัน” ใน “ด้านบวก” แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็มี “ข้อจำกัด” เช่นกัน ไม่ใช่ว่า ทุกคนที่ “ความรัก” แล้วจะมีความสุขได้ตลอดรอดฝั่ง

“ความรักแท้” ที่พอดี และถูกทาง ก็จะทำให้เรามองโลกในแง่ดี ชีวิตสดใส และมีความสุขกับทุกสิ่งรอบๆข้าง

แต่หากเมื่อใดก็ตาม “ความรักแท้” ที่เรามีนั้นมันมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ก็จะส่งผล ให้ชักนำ “ความกลัว” เข้ามาแทนที่ (กลัวที่จะเสียเขาไป เนื่องจากเรารักเขามากเกินไป, กลัวว่าเขาจะรักเราน้อยลง เนื่องจากเรากำลังรักเขาน้อยลงเช่นกัน ฯลฯ)

และ “ความกลัว” นี่แหละที่จะกัดกร่อนแนวทางแห่งความสุขของชีวิต ให้กลายเป็น “ความทุกข์ถนัด” ได้ภายในพริบตา

คงจะไม่มีใครปฏิเสได้ว่า “เมื่อมีความรักสุขสมอภิรมย์สมหมายแล้ว บางครั้งก็ต้องรู้สึกได้ถึงความกลัวแบบฉับพลัน ได้เช่นกัน”

“ความกลัว” นั้นได้มีลางบอกเหตุก็คือ “ความกังวล ความน้อยใจ ความเศร้าใจ” มาแบบลางๆก่อนเสมอ

และที่น่าแปลกใจก็คือ ในโลกแห่งความจริงใบนี้ ไม่มีบริษัทไหนยอมลงทุน และผลิต technology เพื่อขาย

“ปรอทวัดอุณหภูมิคตวามรัก” (ซึ่งจะมีเส้นแดงบอกเมื่อความรักอยู่ในช่วงอันตราย มากหรือน้อยไปเกินพอดี)

หรือ “ตู้รักษาความคงที่ของความรัก” (เพื่อควบคุมให้ความรักอยู่ในเกณฑ์ที่พอดี)

เพื่อจะได้ไม่ “กลายสภาพ” เป็น “ความกลัว” และส่งผลร้ายในระยะยาวต่อชีวิตรักได้

“ไก่” ทอม และ “หญิง” ดี้ ทั้งคู่เหมาะสมกันทั้งทางฐานะทางสังคม หน้าตา และการศึกษา ทั้งคู่ได้คบหาเป็นเพื่อนกันมาก่อนเป็นเวลา 4 ปี ก่อนจะตัดสินใจ คบหากันเป็น “แฟน”

สาเหตุที่ทำให้เขาและเธอตัดสินใจคบหากันนั้น เนื่องจาก ระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมานั้น ทั้งสอง ไม่เคยทะเลาะกัน รู้ใจกัน และมีความสุขใจ ที่ได้มีกันและกันอยู่ในชีวิตตลอดมา จนวันนึง เขาคิดว่า ถึงเวลาแล้ว ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อว่า เขาจะได้ทำให้เธอเป็นหญิงผู้มีความสุขมากขึ้น แต่การตัดสินครั้งนี้ของเขาและเธอนั้น ดูจะเป็นการตัดสินใจที่ผิด

เพราะเมื่อความสัมพันธ์เริ่มมากขึ้น ความรักมากขึ้น แต่ความเข้าใจเริ่มลดลง มีเพียงความต้องการอันนอกลู่ ที่ส่งผลให้ทั้งคู่เริ่มมีความทุกข์

ตอนเป็นเพื่อนกัน เวลานัดกันไปดูหนัง ก็ต่างคนต่างมาเจอกันที่โรงหนัง

แต่เมื่อเป็นแฟนกัน เขาก็ต้องไปรับเธอที่บ้าน (เนื่องจากบ้านเขาและเธอไกลกันมาก ทำให้เขาต้องตื่นเช้าขึ้น ต้องเผชิญกับรถติด และเขาก็มาถึงบ้านเธอผิดเวลาเป็นประจำ)

ตอนเป็นเพื่อนกัน เวลาเดินห้าง ต่างคนต่างเดินซื้อของที่ตัวเองสนใจ พอเสร็จก็นัดมาเจอกัน

แต่เมื่อเป็นแฟนกัน เธอต้องเดินไปดูสิ่งที่เขาสนใจ (ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบเอามากๆ)

ตอนเป็นเพื่อนกัน หากเขามองผู้หญิงคนอื่น เธอก็จะมองด้วย และร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างสนุกปาก

แต่เมื่อเป็นแฟนกัน เธอก็มักจะงอน โกรธ เดินหนีไปอย่างน่าเกลียด

นี่เป็นแค่ 3 เรื่องเล็กๆ ที่เกิดขึ้น เมื่อทั้งสองเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ จึงทำให้เขาและเธอตัดสินใจ “ยุติ” ความเป็นแฟนในช่วงเวลา 1 เดือน กลับมาเป็นเพื่อนกันอีกครั้งนึง

เป็นอีก “ตัวอย่าง” ที่ค่อนข้างชัดเจนอย่างเห็นได้ชัดในเรื่อง “ความรัก” เราจึงนำมาฝากให้เพื่อนได้อ่านกัน เราเชื่อว่า เพื่อนๆคงได้อะไรจากการอ่านเรื่องนี้นะคะ

ถึงตัว T ที่รักของหนู

ในบางขณะของชีวิตหนูและคุณ อาจจะต้องมีช่วงเวลา ที่เราต่างคนต่างคิด หรือมีเรื่องบางอย่างเข้ามากระทบชีวิต และจิตใจของเราอย่างมากมาย บางครั้งในความคิดของเรานั้น อาจสับสน ซ้ำซ้อน หรือ มีกลไกต่างๆมากมาย เกินกว่าที่จะ “คาดเดาได้”

คนดีคะ บางทีหนูอาจทำได้แต่เพียงเป็น “ผู้เฝ้าดู” และ “มอบกำลังใจ” ให้คุณเพียงห่างๆเท่านั้น เพราะหนูเป็นเพียง “มนุษย์ธรรมดา” คนนึง หนูจึงไม่มีความสามารถ หรืออำนาจ ช่วยให้คุณผ่านปัญหา ความกังวล และชนะสิ่งต่างๆภายในจิตใจได้ แต่หนูอยากให้คุณรู้ว่า

Even all the light in the world has been dark, I’ll always guide your way with my little sparkle light forever.

ขอเพียงแค่คุณไว้ใจ มั่นใจ และเชื่อมั่นในตัวหนูเท่านั้น

คนดีรู้ไหมคะ? ช่วงเวลาที่ “หัวใจสองดวง” ของเราเต้นอยู่ข้างๆกัน หรือช่วงเวลาที่หนูอยู่ในอ้อมกอดของคุณนั้น หนูสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอย่างประหลาด มันเป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นมากๆ ที่ หัวใจ 2 ดวง เต้นเพื่อกันและกันด้วย “ความรักอย่างแท้จริงจากหัวใจ” (นี่คือความรู้สึกนั้นสินะ) ความรู้สึกอุ่นใจ และสุขใจที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็น “คำพูด”

จนหลายๆครั้ง หนูเฝ้าถามตัวเองว่า “หนูไปทำอะไร? ไปเล่นซนอยู่ที่ไหนตั้งนานนะ? ทำไม??? หนูถึงเพิ่งมาเจอ และได้รักกับคุณ!!!!

บางทีคำตอบก็อาจมีอยู่ว่า คนบนฟ้าอาจอยากให้เรา “ผจญภัยกับความรัก” ได้เจอทั้งช่วงเวลาที่ดีที่สุด เหนื่อยใจที่สุด เจ็บปวดที่สุด กลัวที่สุด และเฮงซวยที่สุดก็ได้ เพื่อว่า เราจะได้รู้ได้ทันทีว่า “ความรักที่แท้จริงนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน?”

หนูรักคุณมากนะคะ ดูแลร่างกายตัวเองด้วย ไม่ต้องห่วงเรื่องหัวใจของคุณ เป็นหน้าที่ของหนูเองคะ ที่จะดูแลให้คุณมีรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะตลอดไป



วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Sometimes when we touch

ห่างกายจากการเขียน Blog ไปหลายต่อหลายวัน ช่วงนี้เราได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น ได้สังเกตุเห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจตัวเอง และสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากขึ้น และก็มีเพลงนึงก้องอยู่ในหัวตลอดเวลา เพลงนั้นก็คือเพลง Sometimes when we touch.

เมื่อพูดถึง “การสัมผัส” ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ธรรมดาคนนึง เราหลีกเลี่ยงที่จะมี “ปฏิสัมพันธ์” กับมนุษย์ด้วยกันผ่านโดยทางสัมผัสไม่ได้ เพราะชีวิตของเราแต่ละคนต้อง “โยงใย” และ “วนเวียน” อยู่กับ “วัฏจักร” ที่ทุกสิ่งต้อง “สัมพันธ์กัน” อย่างแยกไม่ได้

“การสัมผัส” นั้น ได้เป็น “ปฏิกิริยาทางร่างกาย” อย่างนึง ที่เรามักใช้แสดงออกถึงความรู้สึก และอารมณ์ลึกๆข้างใน (ซึ่งย่อมมีทั้งแง่บวก และแง่ลบ)

“การสัมผัสกันในเชิงบวก” ยกตัวอย่างเช่น การกอด การจูบ การจับมือ การโอบ ฯลฯ

“การสัมผัสกันในเชิงลบ” ยกตัวอย่างเช่น การต่อย การตบ การเตะ การทำร้ายร่างกายทางด้านอื่นๆ ฯลฯ

และ “สัมผัส” จากคนที่เรารัก และเขารักเรา ช่างเป็น “ความอบอุ่น” ที่ส่งผ่านหัวใจดวงนึง ไปยังหัวใจอีกดวงนึงได้อย่างดีที่สุด

วันนี้มาแบบสั้นๆ เนื่องจาก อารมณ์ในการเขียนไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควร ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะคะ






Sometimes when we touch

You ask me if I love you
And I choke on my reply
I'd rather hurt you honestlyThan mislead you with a lie
And who am I to judge you
On what you say or do?
I'm only just beginning to see the real you
And sometimes when we touch
The honesty's too much
And I have to close my eyes and hide
I wanna hold you til I die
Til we both break down and cry
I wanna hold you till the fear in me subsides
Romance and all its strategy
Leaves me battling with my pride
But through the insecurity
Some tenderness survives
I'm just another writer
Still trapped within my truth
A hesitant prize fighter
Still trapped within my youth
At times I'd like to break you
And drive you to your knees
At times I'd like to break through
And hold you endlessly
At times I understand you
And I know how hard you've tried
I've watched while love commands you
And I've watched love pass you by
At times I think we're drifters
Still searching for a friend
A brother or a sister
But then the passion flares again






วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

การเดินทางที่แสนพิเศษ

เพลง การเดินทางที่แสนพิเศษ

ฉันเองก็ไม่รู้ ว่าที่เป็นอยู่ ที่เรานั้นได้หัวใจเพียงครึ่งดวง

แล้วที่ต้องเสาะหา ครึ่งที่หายไป โดยไม่รู้เมื่อไหร่

จะเจอจะพบกัน ที่เป็นเช่นนี้ ใครกำหนดไว้.....


ฉันเองก็ไม่รู้ ว่าเป็นคำสาป ให้เรานั้นต้องค้นหากันจนเหนื่อย

หรือเป็นพรจากฟ้า เพื่อให้รู้สึก สิ่งที่แสนพิเศษ ตอนที่ได้เจอ


เดินทางค้นหาตัวตน ใครหนึ่งคนที่ก็รอฉันอยู่

จากในผู้คนร้อยพันที่ออกเดินทางเหมือนฉัน

โน้ โน บนทางที่แสนยาวไกล ค้นให้เจออีกครึ่งในใจ

ฉันไม่รู้ มันอยุ่อีกไกลเท่าไหร่.....


เห็นบางคนเสาะหา แล้วก็ได้เจอ เหนื่อยแค่ไหนก็คุ้มค่า ความรู้สึก

แม้เป็นพรจากฟ้า หรือเป็นคำสาป ก็เป็นเรื่องพิเศษที่เกิดขึ้นมา

เพลงนี้เราชอบมาก ณ ตอนนี้ เนื้อเพลง และทำนอง บอกความหมาย และสะท้อนให้เห็นหลายๆแง่มุมของชีวิตได้อย่างดีทีเดียว

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2552

จุดหมายของชีวิต

“จุดหมายของชีวิต” ด้วยวัยเกือบจะ 29 ปีเต็มของเราในอีก 2 วันข้างหน้านี้ ชีวิตเราได้ผ่านช่วงมรสุมลมร้อนจัด พายุฝนฟ้าคะนอง และช่วงเวลาที่หนาวเหน็บ เจ็บขั้วหัวใจมาก็หลายๆครั้งครา ทำให้เราพอเข้าใจ “ความหมายของชีวิต” แบบคร่าวๆ ตามความคิดของเราว่า

“จริงๆแล้ว พลังที่มนุษย์เราใช้ขับเคลื่อนชีวิตนั้น หาใช่จาก เศษกระดาษที่เรียกว่า เงินตรา, หรือที่นั่งชูคอในพื้นที่สังคมชั้นสูง, หรือชาติตระกูลที่ได้เติบโตมา, หรือแม้กระทั่งใบปริญญา ที่เป็น “โลโก้” พื้นฐานของความฉลาดของสมอง หากแต่เป็น พลังความรัก หรือ พลังที่ถูกกระตุ้นด้วยเป้าหมายของชีวิต ต่างหาก ที่เป็นพลังความหวัง กระตุ้นให้เราแต่ละคนอยากจะอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป”

ผู้ใหญ่ชอบถามเด็กๆว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร????”

เด็กหลายคน ก็ตอบไปด้วยความไม่รู้ (อย่างแท้จริง)

บ้างตอบว่า อยากเป็นตำรวจ (เพราะคิดว่าสามารถมีอำนาจในการควบคุมผู้อื่น)

บ้างก็ตอบว่า อยากเป็นหมอ (เพราะคิดว่าจะมีอำนาจพอที่ทำให้เด็กๆกลัวได้ด้วย “เข็มฉีดยา”)

บ้างก็ตอบว่า อยากเป็นครู (เพราะจะได้สั่งการบ้านให้กับคนอื่นได้)

“คำตอบ” ไม่ได้อยู่ที่ว่า “เราเข้าใจคำถามหรือไม่?” แต่กลับอยู่ที่ว่า “คำถามนั้น มีคุณค่า และทำให้เราค้นหาคำตอบนั้นๆ ได้หรือเปล่าต่างหาก”

ถ้าจะถามเราว่า ตอนนี้อะไรคือ “จุดหมายของชีวิตของเรา”

ก็ต้องยอมรับว่า “ปัจจัย 5 อาหาร น้ำ ยา ที่อยู่ ยารักษาโรค และเงินทอง” ก็ยังคงเป็น “ปัจจัยหลัก” แต่นอกจากนั้น “โอกาสทางสังคม การยอมรับ การส่งเสริม” ก็กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญเช่นกันในสังคม

แต่หากเรา “มองข้าม” สิ่งเหล่านี้ไป หรือว่ามี “ปัจจัย” เหล่านั้นอยู่แล้ว “การมีชีวิตอยู่กับใครสักคน” ก็เป็น “เป้าหมายหลัก” เช่นกัน

สำหรับเรา คงเป็นเรื่องมหัศจรรย์และมีความสุขมาก หากตื่นมาในตอนเช้า มี “คนของใจสักคน” นอนอยู่ข้างกาย ในทุกๆวัน ได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อดูแลใครสักคน

การที่มีชีวิตอยู่เพื่อเติมเต็มคนข้างกาย และได้เห็นตัวตนของเรา ค่อยๆเจริญเติบโตในชีวิตของอีกคนนึง ช่างเป็นสิ่งที่สวยงามเสียนี่กระไร?

เพื่อนๆบางคนที่ได้มีโอกาสใช้ชีวิตร่วมอยู่กับคนที่ตัวเองรัก (จริงๆ) ไม่ใช่อยู่ไปเพราะความเคยชิน หรือเพราะความเหงาล่ะก็ คงจะเข้าใจ “เสน่ห์แห่งความรัก” ได้อย่างดีทีเดียว

เราก็เป็นผู้หญิงคนนึง ที่หวังว่า จะมีชีวิตอยู่กับใครสักคนตลอดเช่นกัน

สำหรับคนที่มีโอกาสแล้ว เราอยากจะให้คุณได้ใช้โอกาสนั้นอย่างดีที่สุด เพราะอาจมีอีกหลายคน ต้องการ หรือ ฝัน ที่อยากจะมีโอกาสเช่นคุณ แต่ดูเหมือนว่า ความหวังนั้น อาจไกลเกินเอื้อมก็เป็นได้

อวยพรให้กับ “นักเดินทาง เพื่อตามหาความรัก” ทุกๆคน

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน




วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เรื่องดีๆๆๆๆๆ

เพื่อนๆ เคยอยู่ในอาการ “ตกหลุมรัก” ไหม จากประสบการณ์ของเรานะ เราว่า หัวใจของมนุษย์ จะเต้นแรง และไม่เป็นจังหวะมากที่สุด 2 ช่วงเวลา ช่วงแรกคือ เวลาเรารู้สึก “ตกหลุมรัก” ใคร อีกช่วงคงเป็นตอนที่เรา “รอคำตอบ หรือคำรัก” จากคนที่เรารัก

บางคน เริ่มรู้สึก “ตกหลุมรัก” จากภายนอก เช่น รูปร่าง หน้าตา


แต่บางคน เริ่มรู้สึก “ตกหลุมรัก” จากภายใน เช่น ความคิด ลักษณะการพูดคุย หรือ ความอบอุ่นในใจ

“ใบไม้” ดี้ ผู้ที่เดินทางแสวงหาความรักมาตลอด เธอต้องการใครสักคนที่มาเติมเต็มส่วนที่ขาดให้กับเธอ (แน่นอน เราทุกคนต่างต้องการ) วันนึงขณะที่เธอกำลังขับรถผ่านร้านอาหารแห่งหนึ่ง สายตาเธอก็ไปพบกับ “ก๊วย” ทอมเด็กเสริฟ์ในร้าน เธอไม่รอช้ารีบเลี้ยวรถเข้าไปทานข้าวร้านนั้นทันที เขาเดินมาต้อนรับเธอ พร้อมยืนรอรับ order เธอใจเต้นแรงและรัว คำพูดของเขานั้นช่างนุ่มนวล เขาแนะนำอาหารแต่ละอย่างกับเธอ ด้วยรอยยิ้ม อาหารมื้อนั้นเธอไม่สามารถรับรู้ได้ว่ารสชาติอร่อยเพียงไหน เธอรู้แค่เพียงว่า สายตาเธอไม่เคยละไปจากเขา เธอนั่งมองเขาจนร้านเกือบปิด คืนนั้นเธอกลับบ้านไปด้วยอาการหลับฝันดี และทุกเย็นหลังจากนั้น เธอก็จะไปทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งนี้เสมอ (เรียกว่า ไปเพื่อขอเห็นหน้าเขาคนนั้น) เธอทำอย่างนี้อยู่เรื่อยมา จนกระทั่งวันนึง เธอได้รับรู้ว่า เขานั้นมีแฟนแล้ว เป็นเด็กเสริฟ์ด้วยกัน แต่เธอก็ยังยิ้มได้ (ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย แม้แต่น้อย) เธอก็มาทานอาหารร้านนี้ปกติ และก็ยังคงนั่งมองเขาอยู่ทุกวัน อย่างใจจดใจจ่อ หวังเพียงแค่รอยยิ้มเล็กๆจากเขาเพียงเท่านั้น

บางทีการที่เรารู้สึกประทับใจ หรือรักใครสักคน เราอาจจะแค่อยากเห็นแก่ตัว มีเขาเพียงลำพังไว้ในใจคนเดียว โดยไม่เรียกร้องให้เขามาเป็นคนของความเป็นจริง เพราะเพียงแค่ความรู้สึก ก็ทำให้เราอิ่มใจที่สุดแล้ว

ความรัก หรืออาการตกหลุมรัก ที่ไม่สมหวัง หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่ในความคิดของเรา การที่หัวใจของเรายังรู้สึกถึง “ความรัก” (ไม่ว่าจะเป็นรักนั้นจะสมหวังหรือไม่) ก็เป็นตัวบ่งบอกได้แล้วว่า “หัวใจเรานั้น ยังคงเต้นอยู่”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

พุธที่ 3 มิ.ย.

เพิ่งเดินทางกลับมาถึง กทม. อย่างสดๆร้อนๆ จริงๆแล้ว เราตั้งใจจะเดินทางกลับ กทม. ตั้งแต่วันจันทร์แล้ว แต่ด้วยติดธุระนิดหน่อยก็เลยเลื่อนกำหนดมาเป็นวันอังคาร เราแต่งตัว เตรียมเสื้อผ้า และซ้อนมอเตอร์ไซค์ออกมาเพื่อไปขึ้นเรือ แต่ด้วยฝนตกที่หนัก และลมที่แรง เรามองดูทะเลผ่านจุดชมวิวบนหุบเขา (สุดท้าย เราก็เลื่อนการเดินทางมาเป็นวันนี้แทน) วันนี้ถึงแม้ฝนไม่ตก แต่คลื่นลมแรงพอสมควร เมื่อเราขึ้นเรือ เรือเริ่มโครงเครงไปมา จนเราต้องหยิบยาแก้เมารถมาทาน (แต่ทานช้าไป) ทำให้เกิดอาการวิงเวียน เดินโซซัดโซเซลงมาจากเรือ มาถึงฝั่งเราก็วิ่งตามหาซื้อน้ำมะนาวมาทาน เพื่อให้หายอาการเวียนหัว พอนั่งพักสักครู่ อาการก็ดีขึ้นเล็กน้อย

โดยปกติ เราจะเดินทางกลับโดยรถทัวร์ 999 แต่ครั้งนี้ มีพี่ที่รู้จักแนะนำให้เรากลับโดย “รถตู้” ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าการเดินทางมาโดยรถทัวร์กว่าหนึ่งชั่วโมง (รถตู้ขับรถเร็วมากๆ เราหลับมาตลอดทางเลย) รถตู้มาจอดที่อนุสาวรีย์ชัย (โดยปกติ เราไม่ค่อยได้มาเดินอนุสาวรีย์ตอนกลางคืนอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าอยากจะทานก๋วยเตี๋ยวเรือก็ตาม) เราเดินเล่นสักพัก แล้วก็นั่ง Taxi กลับบ้าน ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ได้เจอหน้าน้องวอดก้า และมอมแมม (น้องแมวสุดที่รัก)

มาถึงบ้าน ก็ได้พบกับ “พัสดุกล่องใหญ่” จากพี่หนิง (พี่ที่แสนดี) เปิดออกมามีของอยู่ 2 ซอง ซองนึงเป็นของขวัญวันเกิด เมื่อเปิดออกมา เราก็มีรอยยิ้ม เพราะของขวัญที่พี่หนิงเตรียมมาให้นั้น หลายสิ่งอย่างเหลือเกิน (หรือว่าพี่กลัวว่าหนูจะไม่ถูกใจคะ) เริ่มจากตุ๊กตากระเป๋าใส่เศษตังค์รูปแมว (อันนี้ชอบ), สายประคำ Rosary พร้อม กางเขน Cross (ของขวัญชิ้นนี้ทำให้หนูน้ำตาซึม หนูรับรู้ได้เลยว่า เป็นการยากสำหรับพี่แน่ สำหรับการหาของขวัญชิ้นนี้) และ สิ่งที่ทำให้น้ำตาไหลพรากก็คือ เค้ก (microwave cake) ต้องทำด้วยตัวเอง และเทียนวันเกิด พร้อมกระดาษที่บ่งบอกวิธีทำ (เขียนโดยพี่) ขอบคุณนะคะสำหรับของขวัญวันเกิด หนูจะทำเค้ก และเป่าเทียน ในวันเกิดหนู (วันจันทร์หน้านี้อย่างแน่นอน)

ถึงตัว T ที่รักของหนู

หนูเดินทางกลับมาถึงบ้านแล้วนะคะ ไม่ต้องห่วงนะคะ กลับมาบ้านหนูก็ต้องทำความสะอาดนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ หายเหนื่อยแล้วคะ สักพักหนูก็จะไปอาบน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว

คิดถึงเสมอคะ