ณ ตอนนี้เราอยู่ที่เกาะช้าง เดินทางมาถึงเรียบร้อยแล้ว เมื่อเช้าตั้งใจจะตื่นตั้งแต่ตีห้า แต่ด้วยอาการเพลียอย่างหนัก ทำให้เราสะดุ้งตื่นอีกทีก็ 7 โมงเช้าแล้ว ทำไงได้ ก็ต้องเปลี่ยนมาเดินทางเป็นรถเที่ยว 9 โมงเช้า พอขึ้นรถตู้ปั๊บ เราก็หลับยาวถึง 12.15 รถตู้จอดเพราะว่ารถเสีย เราจึงต้องนั่งรถที่จะมารับไปท่าเรือ รอเกือบครึ่งชม.ได้ สรุปมาถึงท่าเรือก็ 13.15 นั่งรอเรือออก (ช้ามากเนื่องจาก low season) เรือออกตอน 14.35 ดันมาเจอเรือใหญ่อีก แล่นช้ามาก กว่าจะมาถึงหาดทรายขาวได้ ก็ 15.15 แล้ว
เราค่อนข้างเหนื่อยและง่วงมากสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ แต่เมื่อได้มาเห็นหาดทรายขาวๆอีกครั้ง ก็ทำให้เรายิ้มได้ แต่ถ้าได้ไปนอนแช่น้ำตกด้วยล่ะก็ พละกำลังและความสดชื่นของเรา ต้องกลับคืนมาดังเก่าแน่เลย
เมื่อวานเราได้ไปทำธุระที่ รพ. กำลังจะเดินเข้าลิฟต์ ได้มีมือนึงมาคว้าแขนเราไว้ พอหันกลับไป เราได้ไปสบสายตากับคนๆนึงที่คุ้นๆ เธอคือเพื่อนเก่าสมัยเรียนมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เจอกันมา 12 ปี เธอชื่อ "นิว" เธอดูแปลกตา และเปลี่ยนไปมากจากเมื่อก่อน เธอเดินมาพร้อมกับเด็กผู้ชายอายุประมาณ 4 ปีคนนึง ซึ่งเราได้รับรู้ทีหลังว่าเป็น "ลูกชาย" คนเดียวของเธอ หลังจากที่ถามไถ่เรื่องราวกันได้สักพัก เธอก็ชวนเราลงไปร้านกาแฟด้านล่าง (จริงๆแล้ว เราจะรีบกลับ แต่เมื่อมองเข้าไปในแววตาของเพื่อนเก่าผู้นี้แล้ว ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ลึกๆข้างใน) เราจึงตัดสินใจ ลงไปร้านกาแฟกับเธอพร้อมเด็กชายตัวน้อยๆ
หลังจากที่เธอสั่งกาแฟของเธอ แซนต์วิชและช็อคโกแลตเย็นให้กับลูกชายเธอแล้ว เธอจึงหันมาถามเราว่า เราจะดื่มอะไร เราตอบว่า "ขอแค่น้ำดื่มสักขวดก็พอ" เธอสั่งเสร็จก็เดินนำเราไปที่โต๊ะ เมื่อทุกอย่างมาเสริฟไว้ที่โต๊ะแล้ว เธอจิบกาแฟและสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เธอพูดว่า "ดีใจมาก ที่ได้มาเจอเราที่นี่ เธอไม่รู้จะไปปรึกษา หรือระบายความอัดอั้นตันใจที่เธอมีกับใครได้" เรากุมมือเธอไว้และพูดว่า "เราอยู่ตรงนี้ มีอะไรจะระบาย ก็พูดได้นะคะ ไว้ใจเรา เราเป็นเพื่อนเธอ"
เมื่อประโยคนั้นของเราจบลง สองแก้มของเธอก็เต็มไปด้วยน้ำตา เธอเล่าว่า "เธอมาที่นี่ เพื่อมาเยี่ยมสามีของเธอ (หรือพ่อของเด็กชายคนนี้) เขาประสบอุบัติเหตุเมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนนี้นอนอยู่ข้างบน อาการเป็น และตายเท่ากัน" เธอสะอื้นไปพร้อมกับพูดว่า "ไม่น่าเลย ทำไมเขาต้องเป็นแบบนี้ ทำไม ทำไม???? เหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้นกับเธอ ลูกชายเธอก็กำลังเล็ก เธอก็ไม่มีงานทำ ขาดเขาไปสักคน ชีวิตเธอจะเป็นเช่นไร?"
น้ำเสียง และทีท่าของเธอนั้น ส่อความหมดหวังในชีวิตจนเราก็แอบน้ำตาคลอไปด้วยไม่ได้ เรารู้สึกแย่ที่ช่วยอะไรเธอไม่ได้มาก นอกจากกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ขณะที่เธอกำลังระบายความทุกข์ในใจออกมา เสียงมือถือเธอก็ดังขึ้น เธอรับสายและรีบขอตัวแยกจากเราไปในทันที (คาดว่า หมอคงโทรมาบอกอาการของสามีเธอ)
ณ เวลานั้น เธอเดินเข้ามาเป็นส่วนนึงของชีวิตเราในวันนี้แบบบังเอิญ และเธอก็เดินจากไปแบบฉับพลัน โดยที่เราไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นกัน (นี่ละมั้ง ที่เรียกว่า จังหวะของชีวิต)
ขณะที่เรากำลังขับรถกลับบ้าน ความทรงจำในวันแต่งงานของเธอและเขา ก็วูบเข้ามาในหัวเรา เราจำได้ว่า วันนั้นเธอใส่ชุดเจ้าสาวลูกไม้สีครีมสวยเพียงใด และเขานั้น surprised เธอด้วยโฉนดที่ดินที่หัวหินบนเวที (อาจเพราะเขาทั้งสองชอบเดินทางไปพักผ่อนต่างจังหวัด) ณ วันนั้นเธอและเขามีความสุขมากมาย และเมื่อวันที่เธอได้เห็นหน้าลูกชายก็คงเป็นอีกวันที่ทั้งคู่มีความสุข แต่ ณ วันนี้ วันที่ "โชคชะตา" เล่นตลก กับชีวิตของคนสองคน โดยได้พลิกผันทุกอย่างให้ "ขาดหาย" ไปในเพียงชั่วเสี้ยวพริบตา ชีวิตเธอต่อจากนี้จะเป็นเช่นไรนะ? (คงไม่มีใครตอบได้)
เมื่อคิดต่อไปเรื่อยๆ ทำให้เราคิดถึงคำที่ว่า "จากเป็น และจากตาย"
"จากเป็น" คือ การจากลา ที่ต่างคนต่างมีทางเดินของตัวเอง โดยที่ทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ การจากแบบนี้เราว่า "ทรมาน" มากกว่า "จากตาย" เพราะไม่แน่ "วงจรชีวิต" อาจจำ "นำพา" คนที่จากเป็นมาเจอกันได้อีกในอนาคต
"จากตาย" คือ การจากลา โดยมี "ความตาย" เป็น "ทางผ่าน"
ในชีวิตนึงของคน เรามักจะพบ "การจากลา" หลายต่อหลายครั้ง โดยส่วนใหญ่ จะเป็น "การจากเป็น" เสียมากกว่า อย่างเช่น ในชีวิตผู้หญิงคนนึง ก่อนจะตัดสินใจแต่งงานกับผู้ชายสักคน ก็ต้องผ่านการมีแฟน ผ่านการปรับตัว คบกับใครหลายๆต่อหลายคน เมื่อผลสรุปว่า "เข้ากันไม่ได้" ก็ต้อง "จากเป็น" กันไปตามระเบียบ
แต่จะมีสิ่งใด หรือสัญญานใดล่ะ ที่ "บ่งบอก" กับเราว่า "เราเข้ากับเขาไม่ได้" หลายคนตอบว่า "เวลา" เท่านั้นที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เขาจะใช่คนที่ใช่สำหรับเราหรือเปล่า เพราะ "เวลา" ได้สร้างปาฏิหารย์ และความวิบัติ มาให้ หลายๆต่อหลายคู่แล้ว
ณ เวลานั้นที่เราตกหลุมรักใครสักคน ช่วงเวลานั้น หัวใจเราก็บอกว่า เขาคือคนที่ใช่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ได้ศึกษากันมากขึ้น ได้ผ่านอุปสรรคหลายๆอย่างร่วมกัน จากคนที่เคยบอกว่าใช่ ก็อาจกลับกลายเป็นไม่ใช่ ถ้าคนๆนั้นแฟร์ๆหน่อย ไม่มีตัวเลือกมาก ก็อาจจะคบต่อไปด้วย "ความเคยชิน" แบบไม่มีเพิ่ม ไม่มีลด อยู่ไปแบบวันๆ
แต่ถ้าคนไหนที่ต้องการจะสร้างชีวิตรักของตัวเองให้ perfect ราวกับถูกสรรสร้างมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็อาจจะ "ตัดใจ" เลิกจากเป็นกับคนที่ไม่ใช่ไปซะ แล้วเดินทางตามหาคนที่ใช่ต่อไป (กระเสือกกระสนต่อไป ตราบที่ยังมีลมหายใจอยู่)
นี่แหละนะ "ชีวิตของมนุษย์"
ฝากไว้ให้เพื่อนๆ ได้ลองย้อนคิดไปเรื่อยๆ ถึงคนที่เคยเดินผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ แล้วคุณจะ "ค้นพบว่า" "การเปลี่ยนแปลง ได้มาทักทายชีวิตของพวกเราในทุกๆวัน"
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน