วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553
LesBaRa
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553
ไดอารี่ "เข้าเงียบ"
ไดอารี่ “การไปเข้าเงียบ ในหัวข้อ “มาหาพระ”ณสว่างรีสอร์ต เพชรบุรี”
วันศุกร์ที่ 23 เมษายน
14:00 เดินทางออกจากบ้าน
14:30 แวะล้างรถ เติมน้ำมัน และซื้อ waffle to go ของ A&W
15:00 เดินทางขึ้นทางด่วน
16:10 ขับเลยทางเข้า สว่างรีสอร์ต (เป็นรีสอร์ตที่เดินทางไปยากแห่งนึงเลย) วนไปวนมา เลี้ยวเกือบผิดตั้งหลายรอบ
16:30 เดินทางถึง check in และเอาของไปเก็บในห้อง อาบน้ำ (เพราะร้อนมาก)
18:00 ทานอาหารเย็น พร้อมหน้ากัน (ระหว่างที่นั่งทางอาหาร คนขับรถส่วนตัวแอบกระซิบข้างหูว่า คืนนี้จะพาไปหาอะไรอร่อยๆทานที่ตลาดโต้รุ่งของหัวหิน ซึ่งห่างจากที่นี่ ร้อยกว่ากิโลเมตร) เพราะเนื่องจากคิดว่า อาหารคงไม่ถูกปากเราเป็นแน่
19:00 พิธีมิสซา และพิธีจูบรูปพระบิดา หรือ God of the Mankind
21:00 สงบจิต ฝึกเพ่งจิต และทำสมาธิ
21:30 กลับห้องพักเพื่อไปพักผ่อน นัดเจอกันพรุ่งนี้ 6:00 เช้า เพื่อภาวนาเช้า
22:00 ออกเดินทางจากสว่างรีสอร์ต เพื่อไปตลาดโต้รุ่งหัวหิน
23:00 ถึงตลาดโต้รุ่งหัวหิน เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนวันศุกร์ ทำให้ร้านค้าส่วนใหญ่เริ่มปิดแล้ว เพราะไม่ค่อยมีคนเดิน (แล้วจะตั้งชื่อว่า “ตลาดโต้รุ่ง” ทำไม? ไม่ตั้งชื่อว่า “ตลาดตามใจแม่ค้า” เนอะ) สรุปได้ทานแค่ ผัดไทย น้ำมะนาวปั่น และโรตี (เหอ เหอ ขับรถมาตั้งไกล เพื่อ?)
00:00 ออกจากตลาดโต้รุ่ง เพื่อเดินทางกลับ
01:00 ถึงห้องพัก อาบน้ำ และเตรียมตัวนอน ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ตี 5:20
04:00 ยังคงนอนพลิกตัวไป และมา ไม่หลับเสียที
วันเสาร์ที่ 24 เมษายน
05:20 เสียงนาฬิกาปลุกดัง กดดับ และคิดในใจว่า “ขอโดดภาวนาเช้าไปแล้วกัน” ตื่นสัก 06:20 ไปทานอาหารเช้าเลยแล้วกัน
08:30 สะดุ้งตื่นแบบกระทันหัน มองดูนาฬิกา กระโดดลงจากเตียง ตายแล้ว ภาวนาเช้าก็ไม่ได้ไป อาหารเช้าก็ไม่ได้ทาน บรรยายหัวข้อแรกก็ไม่ได้เข้า รีบอาบน้ำ เพื่อไปให้ทันพิธีกรรมสงบจิตรอบต่อไป
09:00 เดินเข้าห้องประชุม สายตาทุกคู่จ้องมองเรามา ประดุจเรา “พลาด” อะไรที่สำคัญไปในชีวิต รีบก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปในที่นั่ง และแล้ว “ความซวย” ก็มาเยือน เมื่อที่นั่งที่เรานั่งอยู่นั้น คือคิวต่อไปของการออกไป “แบ่งปัน” บนเวที ด้วยความไม่อายอะไรแล้ว เราเดินขึ้นไปและแบ่งปัน เดินลงมาท่ามกลางเสียงปรบมือ
10:30 เริ่มสงบจิตแบบเข้มข้น แต่เนื่องจากเราปวดท้อง เหมือนจะเป็นโรคกระเพาะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เราจึงขอตัวไปทาน “ราดหน้าหมู” เสร็จแล้ว เดินขึ้นห้องประชุมเพื่อที่จะเข้าร่วม แต่แง้มประตูเข้าไป สมาชิกทุกท่านกำลังนั่งสมาธิเข้าญาณอย่างล้ำลึก เราจึงเดินกลับห้องพัก และทานยานอน
12:00 ลงไปทานอาหารเที่ยง
14:00 เริ่มตระหนักว่า การมาเข้าเงียบครั้งนี้ เราล้มเหลวแล้ว จึงเข้าไปคุยกับวิทยากร เพื่อขอตัวกลับ
15:00 Check out ออกจากสว่าง รีสอร์ต คนขับรถส่วนตัวของเราขับรถพาเราไป “หัวหิน” เพื่อไปทานร้านอาหารทะเลที่อร่อยที่สุด
16:15 ถึงร้าน “แสงไทยซีฟู๊ด” ในซอยหัวหิน 55 สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ “กุ้งผัดพริกเกลือ ปลากระพงทอดราดน้ำปลา ปูม้านึ่ง ข้าวผัดปู ต้มยำทะเลน้ำใส” ทานกันแค่ 2 คน หมดไป 1820 บาท (คนขับรถเลี้ยงคะ)
18:00 คนขับรถพาเราไปหา “ของหวาน” ทานที่ตลาดโต้รุ่งที่หัวหิน ทาน น้ำส้มปั่น ลูกตาลลอยแก้ว ข้าวโพดปิ้ง ฯลฯ ซื้อมะม่วงน้ำปลาหวาน (เจ้าอร่อย) สาคูไส้หมู (กลับบ้าน)
19:15 ไปแวะ “เพลินวาน” คนเยอะมาก ได้ไปเล่นเกมส์ปาโป่ง และคนขับรถของเราเล่นเกมส์ “ยิงปืน”
20:00 เดินทางกลับ กทม.
21:00 แวะร้าน “แม่กิมไล้” ซื้อลูกตาลสด น้ำตาลสด ชมพู่เพชร หม้อแกง กล้วยหอม
23:00 ถึงบ้านอย่างปลอดภัย
01:00 นอนหลับอย่างสบาย
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน
11:30 ตื่นนอน
13:00 อาบน้ำ แต่งตัว
14:00 คนขับรถส่วนตัว พาไป The Mall งามวงศ์วาน เพื่อไปทาน สลัดหมูทอด มักกะโรนีกุ้ง เอานาฬิกาที่เราให้เขาไปตัดสาย (ดีใจนะคะที่คุณชอบนาฬิกาเรือนนั้น)
17:00 ออกจาก The Mall ไป Central ลาดพร้าว
17:30 ถึง Central ลาดพร้าว เขาพาเราไปเลือกนาฬิกา และซื้อนาฬิกาให้ (ขอบคุณนะคะ)
19:30 นั่งอยู่ Coffee World รอเขาเลือกหนังสือ และดื่มกาแฟ
20:30 ออกจาก Central และกลับบ้าน
ณ ตอนนี้อยู่บ้านแล้วคะ นั่งเขียนไดอารี่ให้เพื่อนๆได้อ่านเล่นๆกัน
หมายเหตุ ถึงแม้ว่าการเดินทางไป “เข้าเงียบ” ในครั้งนี้ จะ “ล้มเหลว” แต่เราเชื่อว่า “พระ” อยู่ในใจเราเสมอ
ใครที่อยากแลกเปลี่ยน facebook กับเรา สามารถ search คำว่า revealtomdy@hotmail.com แล้วคุยกันนะคะ
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553
เตรียมตัวไป "เข้าเงียบ" สว่างรีสอร์ต เพชรบุรี
ไดอารี่ที่เขียนไว้เมื่อวันศุกร์ เอามา “เกริ่นนำ” ให้อ่านกันก่อนนะคะ
วันนี้วุ่นๆกับการเตรียมเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า (ต้องหาเฉพาะเสื้อผ้าสีขาว) เนื่องจาก เราจะไป “เข้าเงียบ” ที่ “เขาย้อย จ.เพชรบุรี” ซึ่งเราไม่ได้แต่ไปแต่เพียงลำพัง “คนขับรถส่วนตัว” จะขับรถพาไป แล้วไปร่วม “เข้าเงียบ” ด้วย (ทั้งๆที่เขาไม่ได้เป็นคาทอลิก และการไปครั้งนี้ต้องตื่นแต่เช้าด้วย ไม่รู้ว่า เราสองคนจะตื่นกันไหวไหม? เนื่องจากต้องตื่นมาภาวนาแต่เช้ามืด)
“การเข้าเงียบ” (ทางคาทอลิก) ก็คล้ายๆกับการไป “ถือศีล อยู่ร่วมทำกิจกรรมที่วัด” ของคนพุทธ การเดินทางไปครั้งนี้ สืบเนื่องจาก คุณพ่อ (พระสงฆ์ทางศาสนาคริสต์) ที่เราได้เคยร่วมงาน “จิตอาสาอ่านพระคัมภีร์ให้คนตาบอด” ได้ส่งจดหมายติดต่อเรามาให้ไปร่วมเข้ากิจกรรม เมื่อเราได้รับจดหมาย เราก็รีบโทรไปหาคุณพ่อทันที และได้จองที่ไว้ 2 ที่ ตอนแรกคุณพ่อต้องการคนไปร่วมกิจกรรม 40 คน แต่คุณพ่อต้องการไปๆ มาๆ คุณพ่อต้องการแค่ 20 คนเท่านั้น (ดีนะที่เรารีบโทรไปจองล่วงหน้าก่อน)
เราจะต้องไปรายงานตัววันนี้ตอน 16.00 คิดว่าจะออกจากบ้านสักช่วงบ่าย และกลับเลิกเข้าเงียบวันอาทิตย์ตอนบ่าย “คนขับรถส่วนตัว” อยากจะพาเราไป “หัวหิน” ต่อ เพื่อไป dinner ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาวันอาทิตย์หรือเปล่า
ช่วงนี้น้องแมวของเรา “น้องวอดก้า” อ้วนปุกลุกเลย เนื่องจากได้รับประทาน snack ตลอด (แบบไม่ยั้ง) สงสัยต้อง “ให้เข้าคอร์สไดเอ็ท” เสียแล้ว
วันนี้แล้ว ที่ album เต็มตัว ของ “ดิว” นักร้องคนเดียวที่เราชื่นชอบ จะวางแผน บอกตามตรง ในชีวิตของเรา เราไม่เคยซื้อ เทป หรือซีดีเพลง ของนักร้องคนไหนเลย (อ๊ะ อย่าคิดนะว่า เราซื้อแต่ เทปผี ซีดีเถื่อน เปล่าเลยคะ เพียงแต่ว่า ส่วนใหญ่เพื่อนๆก็จะซื้อมาให้ฟัง หรือไม่เราก็ฟังวิทยุซะส่วนใหญ่) ยังไงก่อนเดินทาง เราต้องหาโอกาสไปซื้อซีดีให้ได้ เพื่อจะได้ไปฟังในรถ
ช่วงนี้เรากำลัง "เพลิดเพลิน" กับการอัพรูป และเล่น facebook เพื่อนๆคนไหน ก็สามารถ add เราได้ โดย search หา e-mail ของเรา revealtomdy@hotmail.com หรือ search คำว่า "Reveal Heal"
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553
Lesla Night
เมื่อวานเรามีโอกาสได้เข้าใน www.lesla.com เราเห็นประกาศงาน Lesla Night ที่จะมีขึ้นในต้นเดือนหน้านี้ เรารู้สึกดีใจเป็นอย่างมากแทน ทอม ดี้ เลส ทุกท่าน ที่จะได้กลับมาพบกับ “มิตรภาพ และความสนุกสนานแบบอบอุ่น” อีกครั้งนึง (สำหรับวันที่ พี่ดี๋ยังไม่ได้ประกาศออกมาเป็นทางการ) แต่เราเคลียร์วันให้ว่างไว้เสมออยู่แล้ว หากมีการประกาศวันจัดงานที่แน่นอน เราจะแจ้งให้เพื่อนๆได้ทราบอย่างแน่นอนคะ (แล้วเจอกันที่ Lesla Night นะคะ )
ขณะที่เรากำลังนั่ง “จินตนาการ” ย้อนกลับไปยัง “อดีต” ตอนที่ไปเที่ยว “งานเลสล่า” เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เราพลันนึกถึงหน้าทอมคนนึง ซึ่งเขาจะเป็นที่รู้กันในงานว่า “เขามาเพื่อเก็บเกี่ยวความเมากลับบ้าน” หากได้เห็นเขาที่งานทีไร ไม่มีหรอกที่จะเห็นเขา เดินเข้าไป “หลี” หรือ “ขอเบอร์” หญิง เขาจะนั่งดื่ม และก็ดื่ม เหล้าแก้วแล้ว แก้วเล่า ถูก “กรอก” เข้าปาก จนบางครั้งเราก็อดคิดในใจไม่ได้ว่า “ไปตายอด ตายอยาก มาจากไหนเนี่ย” และทุกๆครั้งเมื่องานเลิก เขาก็จะค่อย “พยุงสังขาร” อันไร้สติ และไร้มาดทอม ค่อยๆ เดินออกไปเรียก taxi หากวันไหน เขาดื่มจนเมาแบบ “จุกอก” เขาก็จะ “สำรอก” ความเมาออกมาให้ ทอม ดี้ เลส ในงาน ได้เป็น “สักขีพยาน” ในการดื่ม เราไม่เคยนึกถึงภาพของเขาตอน “มีสติ” ออกเลย
จนกระทั่งวันนึง เรารีบไปงานเลสล่า แต่ “หัววัน “ เวลาประมาณ 20.00 ช่วงนั้นพี่ดี๋กำลังจะแจกตุ๊กตา และแผ่นหนัง L word (เราคาดหวังว่าจะ “ได้อะไรติดไม้ติดมือ” กลับมาเป็นที่ระลึกเสียหน่อย) และวันนั้น เราก็ได้เจอเขา (ในสภาพปกติ) เขาเป็นทอมวัย 27 ที่หน้าตาใสๆ มีรอยยิ้มที่แสนเศร้า และมีดวงตาที่เลื่อนลอยเล็กๆ แต่ก็เป็นทอม “มีมาด” คนนึง ก่อนที่เขาจะ “สั่งเหล้าชุดใหญ่” เราจึงไม่รอช้า เดินเข้าไปทำความรู้จัก (ต้องออกตัวก่อนว่า ปกติเราไม่ค่อยเป็นฝ่ายเริ่มคุยกับคนแปลกหน้าเท่าไหร่? แต่ความกล้าในครั้งนี้ อาจด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า เขาจะใช้ปากในการสนทนาได้ดีเหมือนดื่มเหล้าไหม?)
เราเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเอง และก็คุยเรื่องใกล้ตัวไปเรื่อยๆ เขาก็ตอบกลับอย่างดี เขาเล่าว่า เขาเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อบริษัทที่มีชื่อเสียงแห่งนึง เขาจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวที่ค่อนข้างจะมีฐานะ เขารู้ตัว และยอมรับว่าตัวเองเป็นทอมตอนเขาเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก ในงานรับน้องเขาได้พบกับ “แฟน” (คนแรก และคนปัจจุบัน) ของเขา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นแห่ง “วิบากกรรม” ในชีวิตรักของเขา
เธอเป็นดาวคณะที่สวยมาก เธอเรียนเก่ง และเป็นคนที่ไม่ค่อยคบหากับใครเท่าไหร่ เขาจึงเปรียบเสมือนโลกทั้งใบของเธอ ซึ่งตอนแรก เขาคิดไปเองว่า “เธอคือทุกอย่าง ทั้งหมด ในชีวิตรักที่เขาต้องการ” แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า “ความรักที่มากเกินไป มันก็ก่อให้เกิดทุกข์” และ “ทุกข์” นั้นก็เริ่มต้นจาก “ตัวเธอ” เมื่อเธอ “หึงและหวง” เขามาก เรียกได้ว่า เขาไม่สามารถมีสังคม มีเพื่อนไม่ว่าจะ ชาย หญิง ทอม หรือดี้ได้เลย และทุกครั้งที่ทะเลาะกัน เธอจะลงไม้ลงมือ ทั้งตบ ตั้งปาของใส่หัวให้หัวแตก ทำให้เขาต้องเจ็บไปทั้งตัวและใจ หากเขาต้องการให้เธอหายโกรธ ต้องคลานเข้าไป “กราบเท้า” ของเธอ แล้วเธอก็จะให้อภัย แต่เธอก็ไม่ยอมลืมเรื่องเก่าๆ เพราะเมื่อไหร่ เธอนึกขึ้นได้ เธอก็จะพูด ย้อนด่า และใช้กำลังกับเรื่องเก่าแต่เล่าใหม่ อยู่ร่ำไป (ตามแต่สภาวะฮอร์โมน)
ประโยคเด็ดของเธอนั่นคือ “เลิกกันเลยไหม? อย่างมึงจะไปไหนรอด สุดท้ายก็ต้องมายอมกราบตีน ง้อกูอยู่ดี” หลายครั้งที่เขาต้องการที่จะ “เลิกรา” จริงๆ เพราะเนื่องจาก ครอบครัวเขาเริ่มรับรู้เรื่องของเธอ และรู้สึกไม่ปลื้มมากๆ ถึงขนาดที่แม่ของเขา ร้องไห้ ขอร้องให้เขาเลิกกับเธอ แต่เมื่อเขาตั้งใจเลิกจริงๆ เธอก็ “ขู่” จะฆ่าตัวตาย จะเอาคลิปที่เคยถ่ายตอนเขาและเธอแก้ผ้ามีอะไรกัน ไปเผยแพร่ ทำให้เขาต้องทนเก็บเรื่องราวต่างๆ และทนอยู่มาจนถึงทุกวันนี้
และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขา “เก็บกด” มาตลอด เราฟังแล้วก็ได้แต่ “ขอบคุณพระเจ้าในใจ ที่เราไม่ได้เอาหัวใจไปเสี่ยงกับคนจิตไม่ปกติเช่นเธอ” และ ช่วงนี้ เธอต้องไปดูแลคุณพ่อที่ป่วยที่ต่างจังหวัดทุกเสาร์ และอาทิตย์ จึงทำให้เขามีโอกาสเป็น “อิสระ” และ Lesla Night นี้แหละ ที่เป็น “สถานที่” ที่ทำให้เขารู้สึก “ปลอดภัย และสนุก” ในแบบของเขาเพียงลำพัง เพราะเขาไม่อยากจะรู้จัก หรือนำตัวไป “พัวพัน” กับความรักรูปแบบอื่นๆอีก
และนี่คือเรื่องราวของ “ทอมอีกคนนึงในสังคม” ที่คืนนั้น เขาก็กลับไปอยู่ในสภาพเดิม คือ “เมาเพื่อให้ลืมความรักที่มีแต่ความทุกข์ลืมความจริงของชีวิตที่ละเอียดอ่อน และ “เป็นปม” จนยากแก่การ “คลาย” ลืมทุกอย่าง” เพราะช่วงเวลาที่เมานี้ เขามีโอกาสที่จะเป็นตัวของตัวเอง และ “ปลดปล่อยสมอง” ออกจาก “เครื่องพันธนาการ” ที่โหดร้ายในชีวิต
นี่ก็ผ่านมานานแล้ว พอเราย้อนคิดถึงเขา เราก็ใคร่อยากจะรู้ว่า “ตอนนี้เขาเป็นเช่นไร? ยังทุกข์อยู่หรือเปล่า?”
และนี่คือ “บันทึก” แห่งความประทับใจอีกหน้า ที่เรามีต่อการไป Lesla Night เพราะหลังจากที่เราได้คุยกับเขา เรามีสติมากขึ้นในการใช้ชีวิต และเลือกที่จะคบใครสักคน เพราะ “ความรัก” และ “การตัดสินใจ” เลือกแฟนสักคน ที่ใครๆคิดว่า เป็นเรื่อง ชิวๆ ง่ายๆ นั้น สามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้จริงๆ
ที่ Lesla Night ไม่เพียงแต่คุณจะได้เพื่อนใหม่ หรือมาสนุกในคืนวันเสาร์เท่านั้น คุณจะ “ค้นพบ” สิ่งดีๆ และประสบการณ์ชีวิตมากมายที่นี่ แล้วเจอกันนะคะ
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553
ทางเลือกของ "มือที่สาม หรือ กิ๊ก"
ดังนั้น เรามาดูข่าวบันเทิงกันดีกว่า ซึ่งตอนนี้ที่กำลังเป็นที่จับตามองของประชาชนก็ต้องเป็นข่าว เรื่อง รักสามเศร้า ของ พิงค์กี้ ธัญญเรศ และพี่เป็ก เพราะดูเหมือนว่า จะเป็นปัญหาที่ "เหยี่ยวข่าว และประชาชนที่ต้องการจะรู้เรื่องของดารา" ต้องการข้อมูลเป็นอย่างยิ่ง" แต่สำหรับเรา เราคิดว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิตรัก ที่จะต้องมี "มือที่สาม หรือกิ๊ก" เข้ามาวุ่นวายอยู่ร่ำไป แต่ "บทสรุป" ของความรักนี่สิ จะเป็นอย่างไรก็ต้องติดตามกันต่อไป แต่ข่าวนี้ ก็ทำให้เราได้คิดที่จะ "แบ่งปัน" บางสิ่งให้กับเพื่อนๆได้อ่านกัน
วันนี้เราจะบอกเล่าเรื่องราว ที่สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของคน 2 คน ที่เรารู้จัก ที่มีจุดเริ่มต้นเดียวกัน ปัญหาในประเด็นเดียวกัน แต่ทั้งสองมีวิธีแก้ปัญหา "ต่างกัน" จึงทำให้ชีวิตหลังจากนั้นของคน 2 คนนี้ "ต่างกัน" โดยสิ้นเชิง
“ป้อม" ทอมหน้าตาดีคนนึง เขาเป็นคนที่จะรู้สึก "รัก" ผู้หญิงคนไหนนั้นยากเหลือเกิน ไม่รู้เพราะว่าอะไร? แต่แล้ว "หัวใจดวงน้อยๆของเขา" ก็ต้อง "หยุดเต้น" เมื่อได้มาเจอ "กุ้ง" ดี้รุ่นพี่ ด้วยความช่างพูดของเขา ทำให้ชนะใจเธอได้ไม่ยากเท่าไหร่ ทั้งสองคบกันมาได้ 2 เดือน เขาจึงมารู้ความจริงว่า จริงๆแล้ว เธอมีแฟนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้แฟนเธอไปทำงานที่สิงคโปร์ จะกลับมาในอีก 2 เดือนข้างหน้า
ณ วินาทีที่เขารู้ว่าเป็นตัวเองตกอยู่ในสภาพ "กิ๊ก หรือมือที่สาม" แบบไม่ได้ตั้งใจ เขารู้สึก "รับไมไ่ด้" และอยากจะเป็น ฝ่ายเดินออกมา แต่ด้วยความรักที่เขามีต่อเธอ และคำพูดที่เธอบอกว่า "ยังไงเธอก็รักเขามาก ขอเวลาให้แฟนตัวจริงของเธอกลับมาก่อน" แล้วเธอจะบอกเลิกกับแฟนคนเก่า และเขยิบฐานะให้เขาเป็น "แฟนคนเดียวของเธอ" ณ ตอนนี้ เราก็ "กิ๊ก" กันไปก่อน จะด้วยว่า "เขารักเธอมากเกินไป หรือว่า สมองเสื่อมชั่วคราว" ก็ไม่ทราบ เขาจึงยอมตกอยู่ในฐานะกิ๊ก
และแล้ว วันที่แฟนตัวจริงเธอกลับมาก็มาถึง เขาจึงทวงสัญญากับเธอ แต่สิ่งที่เธอตอบกลับนั้นก็คือ "เธอยังคงขอเวลา ขอเวลา" ผ่านไป ปีกว่าๆ ที่เขายังอยู่ในฐานะ "กิ๊ก" จากที่เคย "ละอาย และเรียกร้อง" ที่จะเป็น แฟนตัวจริง ก็กลับกลายว่า "รับสภาพ และสถานะกิ๊ก" ได้ซะงั้น หลังจากนั้นอีกไม่นาน เขาก็ต้องมารับรู้ความจริงอีกข้อ นั้นคือ เธอไปมี "กิ๊ก" อีกคน นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขารับไม่ได้ และด้วยความเบื่อ เป็นทุนอยู่แล้ว ทำให้เขา "เดินออกมาจากชีวิตเธอ" เพื่อ "ยุติ" ความสัมพันธ์
แต่นั่นเป็นแค่ "จุดเริ่มต้น" เพราะหลังจากนั้น เขาจะไป "คบ" กับใคร ก็ต้องไปเจอ ไปรัก ผู้หญิง ที่มี "เจ้าของ" อยู่ร่ำไป อาจเพราะ "เวรกรรม" หรือ "ความชอบในความตืื่นเต้น" หลังจากที่ผ่านช่วงชีวิตนั้นมาก็ไม่ทราบ ณ ปัจจุบัน เขาจึงมีชีวิตอยู่เป็น "กิ๊ก" ลักกิน ขโมยกิน แฟนของชาวบ้านอยู่เรื่อยไป (นี่แหละหนา เวรกรรมของคนที่เป็น "กิ๊ก")
นั่นคือเรื่องราวของ "ป้อม" ทอมที่ตอนแรกเป็น "กิ๊ก" แบบไม่สมยอม แต่ตอนนี้ เขามีชีวิตรัก สนุกอยู่กับการเป็นกิ๊กชาวบ้าน แบบไม่ "ละอาย"
“ปุ๊ก" ทอมต่างจังหวัด ที่มาทำงานในกรุงเทพฯ เขาพักอยู่แถวรามคำแหง จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะเดินตลาดหน้าราม และวันนึงเขาก็ได้มาเจอกับ "หน่อย" โดยบังเอิญ และทั้งคู่ก็ตัดสินใจคบกันเป็นแฟน โดยที่เขามักจะนัดทานข้าว ดูหนังกันบ่อยๆ เธอได้มารู้จักกับเพื่อนชายที่สนิทของเขา ทั้งสามกิน เที่ยวกันอย่างสนุกสนาน จนกระทั่งวันนึง เพื่อนชายของเขา เห็นเธอเดินกอดกับทอมอีกคนนึงที่ "สยาม" จึงรีบยกหูโทรศัพท์โทรบอกเขา เขาพยายามโทรหาเธอ แต่เธอไม่ยอมรับสาย เขาจึงบุกไปหาเธอที่หอ เธอจึงอธิบายอย่างใจเย็นให้เขาฟังว่า เธอมีแฟนอยู่แล้ว คบกันมา 8 ปี เขาเป็นทอมอีกคนที่เธอรัก แต่เธออยากให้เขาเข้าใจถึง "ลำดับความมาก่อนมาหลัง" เธอขอร้องให้เขาคบกับเธอเป็น "กิ๊ก" รอจนกว่า "เธอจะจับได้ว่าแฟนตัวจริงของเธอมีกิ๊ก" แล้วเธอก็จะได้หาเรื่องบอกเลิกได้ง่ายๆ แบบไม่ต้องมีปัญหา เขานิ่งไปครู่นึงก่อนที่จะบอกว่า "ตกลง เขาจะรอ" เธอยิ้มอย่างสบายใจ แต่หลังจากนั้นอีก 3 วัน เขาโทรไปหาเธอและบอกว่า "เขายอมไปจากเธอ ไม่ใช่เพราะไม่รัก หรือโกรธ เพียงแต่เขาคิดว่า ไม่มีเหตุจำเป็น ที่เขาจะเอาชีวิตของเขา มาผูกไว้กับคนที่ไม่แน่นอนในความรักอย่างเธอ ลาก่อน"
ชีวิตรักของเขาหลังจากนั้น ก็ยัง "ผจญภัย" ไปเรื่อย ณ ตอนนี้ เขาได้คบกับดี้คนนึงที่มีเขาเพียงคนเดียว เขามีความสุข (นี่ถ้าวันนั้นเขาไม่ตัดสินใจบอกเลิกกับเธอคนนั้น เขาคงจะยังคงเป็น "กิ๊ก" และไม่ได้มาเจอเธอคนนี้ คนที่เป็นเจ้าของหัวใจของเขาอย่างแท้จริง)
บางทีการยอมรับความจริง อาจทำให้คุณเจ็บปวด และยากจะตัดสินใจ แต่หากอยู่แบบหลอกตัวเองไปวันๆ ด้วยคำว่า "รัก" ชีวิตก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นอย่างแน่นอน
เราเชื่อว่า หลายๆคน อาจจะเคยประสบ หรือตกอยู่ในฐานะ "กิ๊ก" ที่อาจจะไม่ตั้งใจ และบางคนก็เลือกที่จะ "ใจอ่อน" ยอมรับสภาพนั้นต่อไป (แบบป้อม) หรือบางคนอาจจะเลือกที่จะ "รักตัวเอง" และมองไปข้างหน้า เพราะชีวิตยังคงต้องเดินต่อไป ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ (แบบปุ๊ก)
สังเกตุไหมคะ เหตุผล และข้ออ้าง ของคนที่ต้องการเก็บอีกคนนึงเอาไว้ให้อยู่ในสภาพ "กิ๊ก" นั้น มักจะให้ว่า "รอหน่อยนะ เดี๋ยวจะเลิกกับอีกคนแล้ว ให้อดทนรอหน่อย" (นี่คือ เหตุผล และข้อแก้ตัว ของ "คนเห็นแก่ตัว" ที่ไม่เคยรักใครจริง นอกจากตัวเอง) และเหตุผลนี้ หลายๆคน ก็หลงกล (เพราะ รัก) สุดท้ายก็ไงอ่ะ "ฝืนทน จำทน อดทน" จนต้องติดอยู่ใน "กับดักความเป็นกิ๊ก" จนไม่ได้เจอ "ความรักแท้"
และนี่คือ 2 ตัวอย่าง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จาก ทอม 2 คน เราเชื่อว่า เพื่อนๆคงได้ "แง่คิด" ไม่มากก็น้อย ดังนั้น ใครที่ตอนนี้กำลัง "คิดแบบหัวระเบิด" ว่าจะเอายังไงดี จะตัดสินใจเลือกทางเดินไหนดี ณ งานเขียนนี้ "คำตอบ" ลอยมาแล้ว คว้าไว้นะคะ
“จงมีความรักอย่างมีสติ"
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553
กิจกรรม เสาร์ อาทิตย์
เมื่อวานเราไปว่ายน้ำกับน้องสาว และคนขับรถส่วนตัวมา ที่หมู่บ้าน แถวๆรามอินทรา หลังจากว่ายน้ำเสร็จเราก็ไปทาน “ผักสด หมูอร่อย” ตรงแถวๆแยกเหม่งจ๋าย อิ่มกันมาก แต่พอขับรถใกล้จะถึงบ้าน ด้วยความที่เราอยากทาน “บัวลอยไข่หวาน” คนขับรถส่วนตัวของเรา จึงพาเราขับรถไป “พระราม 4” เพียงเพื่อที่จะไปซื้อบัวลอยเพียงถุงเดียว ไปถึงร้านกำลังจะเก็บ เพราะเขาขายหมดแล้ว และแล้ว “ความผิดหวัง” ก็ได้มาเยือนเรา แต่แม่ค้าใจดีมาก บอกเหลืออีกถุง แต่ “ไข่” แตกในนั้น เรายอมซื้อทันที เพราะอยากทานมาก ในที่สุดเราก็ได้ทานบัวลอยไข่หวานจนได้
วันนี้เราก็ไปว่ายน้ำ ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะไป แพตตินั่ม ก่อน แต่เนื่องจากตื่นสายมาก เราจึงต้องตัดโปรแกรมนั้นไปอย่างช่วยไม่ได้ ว่ายน้ำเสร็จ เราก็ไป dinner ที่ takumi โรงแรม swissotel ถ. รัชดา กินอิ่มมากมาย ขอบคุณนะคะสำหรับอาหารที่แสนอร่อย และการ take care อย่างดี (จนเราขับรถเองไม่เป็นแล้ว)
ตอนนี้เราติด “BB” อย่างหนัก เนื่องจาก ปกติ จะคุยได้แค่คนต่อคน แต่ ณ ตอนนี้ มีเพื่อนสร้าง group ขึ้นมาแล้วคุยกันเหมือน chatroom คนเยอะมาก ประมาณ 24 คนได้แล้วตอนนี้ คุยกันตลอดวัน สนุกมากมาย เราก็แวะเข้าไปคุยบ้างเป็นครั้งคราว แต่ข้อเสียคือ แบตหมดง่ายเหลือเกิน เมื่อก่อนว่างเมื่อไรเป็น ร้องเพลง อ่านหนังสือ แต่ตอนนี้ ว่างเมื่อไหร่ หยิบ BB เล่น chat หรือไม่ก็ IPhone เล่น yak เป็น “โลกส่วนตัว” อีกใบ
เอาไว้เราจะมาเขียนเรื่องให้อ่านอีก ตอนนี้ก็รายงานกิจวัตรประจำวันไปก่อนนะคะ
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553
Yak on IPhone
เมื่อวานนี้หลังจากกลับมาจาก “อัมพวา” เราเห็นน้องสาวเรา “วุ่นๆ” อยู่กับ Iphone ของเธอ ด้วย “ความสงสัย และใคร่อยากจะรู้” เราจึงเดินเข้าไปถามว่า “ทำไรอยู่” น้องเรายังไม่เงยหน้า แต่ส่งเสียงมาบอกว่า “กำลังทดลองเล่น yak yak เป็น app ที่คล้ายๆ BB Messenger คือ ถ้าเพื่อนใช้ Iphone เหมือนกัน และมีโปรแกรมนี้ ก็คุยกันได้เลย โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไร นอกจากค่า internet โดยส่วนใหญ่คนที่ใช้ Iphone มักจะใช้ Package เล่นเน็ต แบบ unlimited อยู่แล้ว” เธอกำลังสนุกอยู่กับคุยกับแฟนอยู่ เราไม่รอช้า อยากจะ keep in touch กับน้องสาวเรา เราจึงไปเอา Iphone ของเรามา Load App แล้ว Add เธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเราก็ขอให้คนขับรถส่วนตัว add เราต่อไปด้วย สรุป เราจะคุยกับคนขับรถส่วนตัวทั้งทาง BB and Yak (การสื่อสารแบบ “เบ็ดเสร็จ”)
และถ้าใครๆเคยเล่น google map ก็จะรู้ว่า เดี๋ยวนี้ เราสามารถจะเช็คว่าเพื่อนเราอยู่ที่ไหน ได้แบบ online และ โปรแกรม yak นี้ก็สามารถส่ง location ของเรา ว่าอยู่ที่ไหน? ให้กับเพื่อนได้อีก ถ้าคิดในแง่บวก เทคโนโลยี “กว้างไกล” ทำให้โลกแห่งการติดต่อสื่อสาร “แคบลง” แต่ถ้าในแง่ลบก็อาจทำให้ “ความเป็นส่วนตัว และอิสระ” ในการใช้ชีวิตของมนุษย์ “ถูกตีกรอบลง” อย่างช่วยไม่ได้
เราหวังว่า โปรแกรม yak นี้จะทำให้เราและน้องสาว ได้คุยกันมากขึ้น เพื่อนคนไหนต้องการโหลด app ให้ไปโหลดใน app store จาก social networking เลือก Top free ก็จะเจอ yak
ตอนแรกเราตั้งใจจะไปทาน “เซกิเต้” ร้านโปรด ในวันอาทิตย์ แต่หลังจากที่คุยกับคนขับรถส่วนตัวแล้ว ก็มีโปรแกรมการกินอีกนึงที่ นั่นคือ “ทาคุมิ” ก็เลยโทรจองว่าจะไปทานวันนี้ แต่โต๊ะเต็ม ก็เลยต้องสลับวัน วันนี้ไปทานเซกิเต้ วันอาทิตย์ไปทานทาคุมิ (มีแต่ trip ตะลอนกิน)
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553
อัมพวา
หลังจากที่มีโปรแกรมว่าจะไปหัวหินตั้งแต่วันที่ 13 แต่ต้อง “ม้วนเก็บ” แทบไม่ทัน วันนี้ก็ได้ ฤกษ์ เสียที ตื่นตั้งแต่เก้าโมงแต่กว่าจะลุกบิดขึ้เกียจ ไปอาบน้ำ แต่งตัว ก็ออกจากบ้านเกือบเที่ยงแล้ว ไม่ได้ทานอะไรเลยตอนเช้า หิวมากมาย ตอนแรกตั้งใจว่า ลงทางด่วนดาวคะนองแล้ว จะแวะทานข้าว แต่ “คนขับรถส่วนตัวของเรา” เสนอว่า ให้ไปทานที่ “อัมพวา” (เราไม่เคยไปที่นั่นเลยสักครั้ง) ด้วยความหิว และความอยากรู้อยากเห็น เราจึง “ตอบตกลง” อย่างไม่ลังเล พร้อมกับคำถามว่า “อีกไกลไหมคะกว่าจะถึง” เขาได้แต่ยิ้มๆและตอบกลับมาว่า “ปกติขับรถจาก กทม ก็ประมาณ ชั่วโมงนึง” เราก็ตอบว่า “โอเค” แต่ในใจคิด “ขับรถให้ไวๆเลย หิวมาก” ขับไปได้สักพัก เราก็บอกเขาว่า “ไม่ต้องไปหัวหินแล้วนะ ร้อน และไกลด้วย วันนี้่เดินอัมพวาแล้วกัน ขากลับค่อยแวะ shopping ที่ central ladproae” (สรุปก็อดไปหัวหินอีกจนได้)
เมื่อไปถึงอัมพวา เราต้องตื่นตาตื่นใจกับตลาดน้ำ และของขายมากมาย เดินไป กินไป ร้อนไป สนุก และก็อิ่มคะ ชอบมากๆเลยคะ ที่ประทับใจที่สุด ก็ “น้ำมะนาวดองโซดา” อร่อยชื่นใจจัง
ออกจากที่นั่น บ่ายสามโมงกว่า แต่ต้องติดอยู่บนถนนที่ปิดเหลือเพียงช่องทางเดียว นอกนั้น “สงวนไว้” ให้กับคนเล่นนำ้สงกรานต์ ติดสุดยอดมาก ก่อนกลับ มาถึง “แม่กลอง” ไม่ทานปลาทูก็จะกระไรอยู่ เราจึงไปซื้อปลาทูนึ่งกลับมาบ้าน มาทอดทานเป็นอาหารเย็น กว่าจะกลับถึงบ้านได้ก็เกือบทุ่มนึง (เหนื่อยแต่สนุกมากมาย)
วันศุกร์หน้า เราต้องไป เข้าเงียบฟื้นฟูจิตใจที่ เพชรบุรี แต่หลังจากที่จบการเข้าเงียบ วันอาทิตย์ตอนบ่าย คนขับรถส่วนตัวของเรา จะพาเราไป “หัวหิน” ต่อ การเข้าเงียบครั้งนี้ ต้องเดินทางไปเอง เราจึงไม่มีทางเลือก ขอพา “คนขับรถส่วนตัว” ไปด้วยก็แล้วกัน (คุณไม่ได้เป็น คาทอลิก ไปเข้าเงียบแบบนี้จะเบื่อไหม? เปลี่ยนใจก็ไม่ทันแล้วล่ะ)
ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ เหนื่อยมากเลย
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553
วันที่ 13
ทริปที่จะเดินทางไป “หัวหิน” วันนี้ ต้อง “ม้วนเก็บไป” เนื่องจากอารมณ์เล็กๆน้อยๆ ของเรา นี่ขนาดขับรถขึ้นทางด่วนลง ดาวคะนอง ขับต่อไปอีกเกือบ 30 กิโลแล้ว ก็ยัง “กลับรถ” เปลี่ยนใจกลับบ้าน พอมาถึงหน้าบ้าน อยากจะไปเดินตากแอร์ (แบบไม่เสียเงิน ซะหน่อย) ขับรถไปที่ central ladproae รถเยอะมาก ตัดสินใจกลับมา “จ่ายค่าไฟเอง” เปิดแอร์นอนที่บ้านดีกว่า
ไม่ต้องถามถึงความรู้สึกในใจนะ อุตส่าห์วางแผนไว้อย่างดี ถนนหนทางใน กทม. ก็โล่งด้วยแล้ว อารมณ์ส่วนตัวไม่อยากไป ซะงั้น นี่แหละหนา ใครหลายๆคนจึงเรียกเราว่า “art ตัวแม่”
เมื่อหลายวันก่อน ได้รับจดหมายจาก “คุณพ่อ พระสงฆ์ทางคาทอลิกท่านนึง” ท่านชวนเราไป “เข้าเงียบ” (เป็นการร่วมกิจกรรมเพื่อเจริญชีวิตภายใน) ที่เขาย้อย เพชรบุรี เราโทรไป “ตอบตกลง” โดยไม่คิดอะไรมาก เหตุผลหลักๆ ก็คงต้องการไปเพื่อพักผ่อนร่างกาย และ “เว้นวรรค” ให้กับชีวิต และความยุ่งยากต่างๆ กลับมา เราคงได้อะไรมาแบ่งปันให้เพื่อนได้อ่านกันบ้างนะคะ
เพื่อนๆได้เล่นน้ำสงกรานต์กันบ้างหรือเปล่าคะ เปียกกันบ้างหรือเปล่าเอ่ย โดยส่วนตัวเราไม่ชอบเล่นเท่าไหร่ แต่ชอบดูคนเขาสาดน้ำกันมากกว่า
ยังไงก็ สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ สำหรับเราคงเป็นแค่วันธรรมดา ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเท่านั้น
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
สุขสันต์ วันสงกรานต์
สุขสันต์วันสงกรานต์นะคะ มีหลายๆคนถามว่า เราจะไปเที่ยวไหน? บอกตามตรงว่าตอนแรก “เราตั้งใจอย่างแรงว่า จะอยู่บ้าน นอนตากแอร์ อากาศร้อนแบบนี้ ใครออกไปเที่ยวก็ “บ้า” แล้ว” แต่ในนาทีสุดท้าย หลังจากที่คิดอยู่นาน เราจึงตัดสินใจเดินทางไป “หัวหิน” พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะตื่นเดินทางกี่โมง คงเป็นการเดินทางแบบไปเช้า เย็นกลับ ไม่ได้ค้างอะไร เอาไว้จะมาเขียนให้เล่าให้ฟังนะคะ
เมื่อวานหลังจากกลับจากโบสถ์เราได้มาเปิดดู the star และเราก็ได้พบกับ “ดิว” the star 5 ที่เรา “ชื่นชอบ” มากมาย ได้มาร้องเพลง เปิดอัลบั้มใหม่ของเขาซึ่งจะวางแผงในวันที่ 23 แต่ MV จะออกมาให้ชมก่อนในวันพรุ่งนี้ เพลงเปิดตัวคือ เพลง “นางฟ้า” เนื้อหา และทำนองออกแนวสนุกสนาน ฟังแล้วไม่เบื่อ ตอนนี้เราก็ได้โหลดเพลงนางฟ้ามาตั้งเป็น ringtone ในBlackberry ของเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ช่วงนี้เปิดไปช่องไหนก็มีแต่ข่าวการชุมนุม ที่ดูเหมือน “บังคับและยัดเยียด” ให้คนที่เปิดทีวีต้อง “เครียด และกดดัน” ไปตามสภาวะบ้านเมือง (อะไรกันนักหนาเนี่ย!!!) หลังจากที่เราเอาตัวลง ไปแทนที่คนแต่ละคนที่เป็น "หมากหลัก" เราจึงเข้าใจสภาวะ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ของคนหลายๆกลุ่ม” อธิบายภาพง่ายๆก็เหมือนเล่นเกมส์หมากรุก คงเป็นไปไม่ได้ที่ไม่มีใครบาดเจ็บ หรือว่าต้องเดินออกไปจากเกมส์ เพราะหากไม่มี “การเสียสละ” ชัยชนะก็คงไม่มาถึง (บางครั้งเราต้องสละตัวเดิน เพื่อให้ได้โอกาสที่จะทำลายฝั่งตรงข้าม) คงไม่มีทางไหนที่ไม่มีผลกระทบ ตราบใดที่ชีวิตของ “มนุษย์” ยังหายใจ ก็เป็นธรรมดาที่คนเราแต่ละคน ต้องมีวิถีทางดำเนินชีวิตที่ “กระทบกระทั่ง” คนอื่นๆบ้าง ไม่มากก็น้อย
ไปนอนดีกว่า ไว้จะมาเขียนให้อ่านนะคะ
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553
ต้องอ่าน!!!!!
เงียบหายไปนานเลยสำหรับงานเขียน เราไม่ได้หายไปไหนคะ ชีวิตประจำวันก็ “ยังเป็นอยู่” เหมือนเดิม เพียงแต่ว่า เราได้ไปรับ “หลาน” มาอยู่ด้วยเพียงเท่านั้น ช่วงที่เราได้ใช้เวลาร่วมกับเขา เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย เด็กอะไร พลังงานเยอะมาก เยอะจนทำให้เราตระหนักได้เลยว่า นี่เราแก่ไปอีก step แล้วหรือนี่?
โชคดีที่เราเดินทางแค่ไปรับเขามาเพียงอย่างเดียว แต่ตอนกลับคุณแม่ และพี่สาวของเขามา กทม. เราเลยยุ่งๆตั้งแต่วันพุธ เนื่องจากต้องพาเขาไปเดินงานกาชาด เดินหลายชั่วโมงมาก “จนขาลาก” วันพฤหัสก็ไปเดินแพตตินั่ม และไปต่ออีกหลายที่ กลับมาไม่ต้องพูดถึง “ขาลากสะสม” เมื่อวานหนักสุด พาไปซื้อชุดนักเรียน ไปเดินคาร์ฟูร์ และไปว่ายน้ำต่อ กลับมาถึงบ้านเพื่อทานข้าว เพราะพวกเขาตั้งใจจะเดินทางกลับคืนเมื่อวาน แต่เมื่อไปถึงหมอชิต พบว่า “ตั๋วเต็ม” ก็ต้องซื้อตั๋วรอบ 6.00 เช้าวันนี้ เมื่อคืนกว่าเราจะได้นอนตี 2 ตื่นตี 4 ครึ่ง ออกไปส่งเขา กลับมานอนได้สักพักก็ต้องตื่น เนื่องจากนัดช่างล้างแอร์ไว้ กิจกรรมวันนี้ยังไม่จบ ต้องไปธุระที่บางนา และกลับมาพาคุณพ่อ คุณแม่ออกไปทานข้าวเย็นอีก ถ้าขอพรได้ตอนนี้ อยากจะให้ขาเป็น “อัมพาต” สัก 5 วัน ขอนอนพักผ่อนแบบ non stop สักพัก 5555 แต่ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป
ขณะที่เรารอช่างร้านแอร์อยู่นั้น ตาก็เหลือบไปเห็น หนังสือ “อุดมสาร” หนังสือพิมพ์รายอาทิตย์ของคาทอลิก ที่เราเป็นสมาชิกอยู่ (เหตุผลข้อนึงที่เป็นสมาชิกนั้น เพราะติดตามอ่าน บทความของคุณพ่อ (พระสงฆ์) ท่านนึง ที่ใช้นามว่า “บ.สันติสุข” และในวันนี้ เราอยากจะนำบทความในอาทิตย์นี้มาแบ่งปันให้เพื่อนได้อ่านกัน เราเชื่อว่า เพื่อนๆคงได้อะไรดีๆจากงานเขียนของคุณพ่อแน่นอน)
มนุษย์เกิดมาเพื่อมีความสุข เพราะนั่นคือ “ธรรมชาติมนุษย์” ที่มีต้นกำเนิดมากจาก “พระเจ้า” องค์ความดีสูงสุด
มนุษย์จึงเกิดมาในความสุข และเพื่อความสุข และมีทุกอย่างในตัวตนเพื่อเป็นสุข โดยมีสิ่งภายนอกเป็น “ตัวเสริม” ให้
ในเมื่อมนุษย์มีทั้งกายและจิตใจ นอกจากสุขใจแล้ว ยังต้องการสุขใจด้วย แม้กายและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกายจะเปลี่ยนแปลงไป พร้อมกับกาลเวลา ความไม่เที่ยงแห่งวัตถุสังขาร แต่ความสุขที่ “แก่นใจ” ยัง เหนียวแน่นคงอยู่ได้ เหมือน จิตวิญญาณที่ไม่เสื่อมไปพร้อมกับกาย หากแต่ยัง “สวนทาง” กันไปได้ตลอด “ร่างกายคนหมดแรง เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ทว่า แก่นแห่งความเป็นคนเข้มข้นมากขึ้นด้วยประสบการณ์” ฉันใดฉันนั้น
น่าเสียดายที่หลายคนเริ่มต้น “ผิด” เข้าใจว่าเกิดมายังไม่มีความสุข จึงต้องแสวงหา กอบโกยเพิ่มพูน ไม่ต่างกับ “กระสอบที่ว่างเปล่า” ที่ต้องหาข้าวสารมาเติม เต็มมาก เต็มน้อย คือ “ดัชนีแห่งความสุข” เลยพร้อมจะทำทุกอย่าง แลกทุกอย่าง เพื่อจะได้มาในสิ่งที่ตนถือว่าเป็น “ความสุข” หรือเป็นตัวบันดาลความสุขให้
จากความสุข ใจที่บัลดาลให้กายเป็นสุข บวกสิ่งของนอกกายช่วยเสริม ช่วยเอื้อความสุขใจ กลายเป็นกาย และวัตถุสิ่งของ เป็นตัวบันดาลให้ใจเป็นสุข และนี่คือที่มาของ “ถมเท่าไรไม่รู้จักเต็ม”
ก็ในเมื่อกายและสิ่งของไม่เที่ยงแท้ถาวร ความสุขที่ได้มาก็ขึ้นๆ ลงๆ ตามไปด้วย มีก็สุข ขาดก็ทุกข์ มีมากก็สุขมาก มีน้อยก็สุขน้อย กระบวนการ “ไล่ล่าหาความสุขจึงไม่มีตอนจบ” ไม่ต่างกับการไล่เหยียบเงาตนเองในแสงแดด กระทั่งตอนเที่ยงวัน เมื่อตัวกับเงาเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงสามารถเหยียบเงาตัวเองได้ในที่สุด
ตราบใดที่เอาแต่วิ่งไล่ล่าหาความสุข เหมือนจะได้มาเหมือนจะสัมผัสได้ด้วยมือ ความสุขต้องมีอันต้องหลุดมือไปทุกครั้ง กระทั่งเข้าไปหาความสุขใจส่วนลึกแห่งตัวตนเท่านั้นแหละ จึงได้พบได้สัมผัสได้รู้สึกถึงความสุขได้
เมื่อมาคำนึงว่า ความสุขแท้อยู่ในใจตน เราก็มาพบเป็นสัจธรรมว่า “ความสุขแท้คือ อิสรภาพจากทุกสิ่งที่ทำให้ใจเราเป็นทุกข์” แทนที่จะไล่ล่าหาความสุขไปวันๆ น่าจะถามตนเองว่า อะไรบ้างที่ทำให้ฉันยังไม่เป็นสุข การพยายามหาความสุขน่าจะเปลี่ยนเป็นการออกแรงค้นพบ
ค้นพบว่าความสุขแท้จริงอยู่ที่ไหน
ค้นพบว่า อะไรเป็นอุปสรรคหรือตัวทำลายความสุข
แล้วคุณก็จะค้นพบตัวเอง?
เราชอบ “บทความ” เรื่องนี้บ้าง เพราะ “สะกิดใจ” เราอย่างแรง คงจะปฏิเสธได้ไม่เต็มปากว่า ในชีวิตที่ดำเนินไปเรื่อยๆของเราในแต่ละวันนั้น ก็แอบมีคำถามในใจลึกๆว่า “ความสุขอยู่ที่ไหน ความสุขนั้นจะมาเยือนเราอีกไหม จะทำอย่างไรให้มีความสุข” แต่คำถามเหล่านี้ ได้กลายเป็น “คำถามเคยชิน” จนหลอกให้ตัวเราเองเชื่อว่า “ชีวิตไม่มีความสุข ทั้งที่จริงแล้ว เรามีความสุข แต่เรามองไม่เห็น เพราะกำลังเป็น “ทาส” ของความทุกข์” ได้เวลา “ปลดปล่อย” ตัวเองเป็น “ไท” เสียที
ข้อแนะนำ อ่านหลายๆรอบ เพื่อความเข้าใจอย่างแท้จริง
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน