Recent News

Powered by eSnips.com

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

ต้องอ่าน!!!!!

เงียบหายไปนานเลยสำหรับงานเขียน เราไม่ได้หายไปไหนคะ ชีวิตประจำวันก็ “ยังเป็นอยู่” เหมือนเดิม เพียงแต่ว่า เราได้ไปรับ “หลาน” มาอยู่ด้วยเพียงเท่านั้น ช่วงที่เราได้ใช้เวลาร่วมกับเขา เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย เด็กอะไร พลังงานเยอะมาก เยอะจนทำให้เราตระหนักได้เลยว่า นี่เราแก่ไปอีก step แล้วหรือนี่?


โชคดีที่เราเดินทางแค่ไปรับเขามาเพียงอย่างเดียว แต่ตอนกลับคุณแม่ และพี่สาวของเขามา กทม. เราเลยยุ่งๆตั้งแต่วันพุธ เนื่องจากต้องพาเขาไปเดินงานกาชาด เดินหลายชั่วโมงมาก “จนขาลาก” วันพฤหัสก็ไปเดินแพตตินั่ม และไปต่ออีกหลายที่ กลับมาไม่ต้องพูดถึง “ขาลากสะสม” เมื่อวานหนักสุด พาไปซื้อชุดนักเรียน ไปเดินคาร์ฟูร์ และไปว่ายน้ำต่อ กลับมาถึงบ้านเพื่อทานข้าว เพราะพวกเขาตั้งใจจะเดินทางกลับคืนเมื่อวาน แต่เมื่อไปถึงหมอชิต พบว่า “ตั๋วเต็ม” ก็ต้องซื้อตั๋วรอบ 6.00 เช้าวันนี้ เมื่อคืนกว่าเราจะได้นอนตี 2 ตื่นตี 4 ครึ่ง ออกไปส่งเขา กลับมานอนได้สักพักก็ต้องตื่น เนื่องจากนัดช่างล้างแอร์ไว้ กิจกรรมวันนี้ยังไม่จบ ต้องไปธุระที่บางนา และกลับมาพาคุณพ่อ คุณแม่ออกไปทานข้าวเย็นอีก ถ้าขอพรได้ตอนนี้ อยากจะให้ขาเป็น “อัมพาต” สัก 5 วัน ขอนอนพักผ่อนแบบ non stop สักพัก 5555 แต่ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป


ขณะที่เรารอช่างร้านแอร์อยู่นั้น ตาก็เหลือบไปเห็น หนังสือ “อุดมสาร” หนังสือพิมพ์รายอาทิตย์ของคาทอลิก ที่เราเป็นสมาชิกอยู่ (เหตุผลข้อนึงที่เป็นสมาชิกนั้น เพราะติดตามอ่าน บทความของคุณพ่อ (พระสงฆ์) ท่านนึง ที่ใช้นามว่า “บ.สันติสุข” และในวันนี้ เราอยากจะนำบทความในอาทิตย์นี้มาแบ่งปันให้เพื่อนได้อ่านกัน เราเชื่อว่า เพื่อนๆคงได้อะไรดีๆจากงานเขียนของคุณพ่อแน่นอน)


มนุษย์เกิดมาเพื่อมีความสุข เพราะนั่นคือ “ธรรมชาติมนุษย์” ที่มีต้นกำเนิดมากจาก “พระเจ้า” องค์ความดีสูงสุด


มนุษย์จึงเกิดมาในความสุข และเพื่อความสุข และมีทุกอย่างในตัวตนเพื่อเป็นสุข โดยมีสิ่งภายนอกเป็น “ตัวเสริม” ให้


ในเมื่อมนุษย์มีทั้งกายและจิตใจ นอกจากสุขใจแล้ว ยังต้องการสุขใจด้วย แม้กายและสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกายจะเปลี่ยนแปลงไป พร้อมกับกาลเวลา ความไม่เที่ยงแห่งวัตถุสังขาร แต่ความสุขที่ “แก่นใจ” ยัง เหนียวแน่นคงอยู่ได้ เหมือน จิตวิญญาณที่ไม่เสื่อมไปพร้อมกับกาย หากแต่ยัง “สวนทาง” กันไปได้ตลอด “ร่างกายคนหมดแรง เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา ทว่า แก่นแห่งความเป็นคนเข้มข้นมากขึ้นด้วยประสบการณ์” ฉันใดฉันนั้น


น่าเสียดายที่หลายคนเริ่มต้น “ผิด” เข้าใจว่าเกิดมายังไม่มีความสุข จึงต้องแสวงหา กอบโกยเพิ่มพูน ไม่ต่างกับ “กระสอบที่ว่างเปล่า” ที่ต้องหาข้าวสารมาเติม เต็มมาก เต็มน้อย คือ “ดัชนีแห่งความสุข” เลยพร้อมจะทำทุกอย่าง แลกทุกอย่าง เพื่อจะได้มาในสิ่งที่ตนถือว่าเป็น “ความสุข” หรือเป็นตัวบันดาลความสุขให้


จากความสุข ใจที่บัลดาลให้กายเป็นสุข บวกสิ่งของนอกกายช่วยเสริม ช่วยเอื้อความสุขใจ กลายเป็นกาย และวัตถุสิ่งของ เป็นตัวบันดาลให้ใจเป็นสุข และนี่คือที่มาของ “ถมเท่าไรไม่รู้จักเต็ม”


ก็ในเมื่อกายและสิ่งของไม่เที่ยงแท้ถาวร ความสุขที่ได้มาก็ขึ้นๆ ลงๆ ตามไปด้วย มีก็สุข ขาดก็ทุกข์ มีมากก็สุขมาก มีน้อยก็สุขน้อย กระบวนการ “ไล่ล่าหาความสุขจึงไม่มีตอนจบ” ไม่ต่างกับการไล่เหยียบเงาตนเองในแสงแดด กระทั่งตอนเที่ยงวัน เมื่อตัวกับเงาเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงสามารถเหยียบเงาตัวเองได้ในที่สุด


ตราบใดที่เอาแต่วิ่งไล่ล่าหาความสุข เหมือนจะได้มาเหมือนจะสัมผัสได้ด้วยมือ ความสุขต้องมีอันต้องหลุดมือไปทุกครั้ง กระทั่งเข้าไปหาความสุขใจส่วนลึกแห่งตัวตนเท่านั้นแหละ จึงได้พบได้สัมผัสได้รู้สึกถึงความสุขได้


เมื่อมาคำนึงว่า ความสุขแท้อยู่ในใจตน เราก็มาพบเป็นสัจธรรมว่า “ความสุขแท้คือ อิสรภาพจากทุกสิ่งที่ทำให้ใจเราเป็นทุกข์” แทนที่จะไล่ล่าหาความสุขไปวันๆ น่าจะถามตนเองว่า อะไรบ้างที่ทำให้ฉันยังไม่เป็นสุข การพยายามหาความสุขน่าจะเปลี่ยนเป็นการออกแรงค้นพบ


ค้นพบว่าความสุขแท้จริงอยู่ที่ไหน


ค้นพบว่า อะไรเป็นอุปสรรคหรือตัวทำลายความสุข


แล้วคุณก็จะค้นพบตัวเอง?


เราชอบ “บทความ” เรื่องนี้บ้าง เพราะ “สะกิดใจ” เราอย่างแรง คงจะปฏิเสธได้ไม่เต็มปากว่า ในชีวิตที่ดำเนินไปเรื่อยๆของเราในแต่ละวันนั้น ก็แอบมีคำถามในใจลึกๆว่า “ความสุขอยู่ที่ไหน ความสุขนั้นจะมาเยือนเราอีกไหม จะทำอย่างไรให้มีความสุข” แต่คำถามเหล่านี้ ได้กลายเป็น “คำถามเคยชิน” จนหลอกให้ตัวเราเองเชื่อว่า “ชีวิตไม่มีความสุข ทั้งที่จริงแล้ว เรามีความสุข แต่เรามองไม่เห็น เพราะกำลังเป็น “ทาส” ของความทุกข์” ได้เวลา “ปลดปล่อย” ตัวเองเป็น “ไท” เสียที


ข้อแนะนำ อ่านหลายๆรอบ เพื่อความเข้าใจอย่างแท้จริง


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน