หลายคนใช้ชีวิตอยู่กับ “การยึดติดกับเรื่องราวในอดีต” จนทำให้มองไม่เห็น “อนาคต” สภาวะโหยหาอดีตนั้นเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศไม่ว่าทอม, ดี้ หรือเลส ทุกวัย ไม่เลือกวันเวลาและสถานที่ “อดีตก็ไม่ได้มีไว้ให้เราโหยหาเท่านั้น แต่มีไว้ให้เราเยียวยา” (เริ่มเรื่อง หลายๆคน ก็เริ่ม “งง” วันนี้เราไม่แฉเรอะ ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้ผิดหวัง หายไปหลายวัน ตั้งใจจะเขียนเรื่องแฉ “เลส” สักหน่อย แต่เผอิญไปสะดุดกับ “ความสำออย”ทางด้านอารมณ์ของคนๆหนึ่งเกี่ยวกับอดีตของเขา เลยต้องเอามาตีแผ่ เห็นแล้วชวนให้น่า “สมเพช” ยิ่งนัก)
“บี” ทอมวัย 38 เขาใช้ชีวิต “ยึดติด” กับแฟนคนเก่า (ที่ทิ้งเขาไปแต่งงาน) มากมาย จนต้อง “บังคับ” ให้คนใหม่ที่คบด้วย ประพฤติ และปฏิบัติตัวเหมือน “แฟนเก่าที่เขารักมากคนนั้น” และนี่ก็ทำให้ความรักครั้งต่อๆไปของเขา สับสนวุ่นวาย เพราะตัวเขาปล่อยให้ความทรงจำ และความรู้สึกกับคนรักเก่าทำร้ายทุกคนที่เขาเลือกคบ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิต เสาะหาคนมาร่วมชะตากรรมรักกับเขาต่อไปเรื่อยๆ เขาเปลี่ยนแฟนอยู่บ่อยครั้ง แล้วมักจะบ่นว่า “ทำไมดวงเขาถึงไร้คู่แบบนี้?” (เราก็เคยหลงกล สงสารเขา ไปช่วยเขาหาแฟนเฉยเลย เราแนะนำเพื่อนเราให้เขารู้จัก) แต่เธอ (เพื่อนเรา) และเขาคบกัน 3 เดือน ก็ต้องเลิกรากันไป ร้อนถึงเราผู้เป็น “แม่สื่อ” ต้องไถ่ถาม ติดตามผล
เธอบอกกับเราว่า เขาพูดจาดี ไม่เจ้าชู้ ข้อเสียก็คือไม่ค่อยมั่นใจ ชอบทำอะไรซ้ำๆ ยึดติดกับแฟนเก่า ชอบนั่งดูรูปแฟนเก่า อ่านจดหมายแฟนเก่า (เรื่อง sex ก็ทำแบบเดิมทุกครั้ง ท่าทางเขาจะเป็นเอามากนะเนี่ย) สิ่งที่ทำให้เธอรับเขาไม่ได้ก็คือ เขามักจะเอาเธอไปเปรียบเทียบกับแฟนเก่า แฟนคนนั้นชอบใส่เสื้อยืดตัวเล็กๆ และกางเกงยีนส์ 4 ส่วน (กางเกงเลยเข่ามาหน่อย) เขาก็บังคับให้เธอใส่ (เธอตัวไม่สูงมากนะ 155 ซม. ใส่กางเกง 4 ส่วน ก็ยิ่งดูเตี้ยเข้าไปใหญ่ เธอมองดูตัวเองในกระจกแล้ว “ทุเรศ” แต่ก็ต้องทนใส่เพราะสงสารเขา) เขาบังคับให้เธอใส่น้ำหอมกลิ่นที่แฟนเก่าชอบใส่ (ทั้งๆที่เธอแพ้น้ำหอม) เขาบังคับให้เธอ “ดัดผม” (เธอหน้ารูปไข่ ไม่ใช่คนหน้ายาว ดัดไปแล้วจะดูได้ไหมล่ะ) สรรพนามที่ใช้เรียกแทนชื่อกันก็ต้องเป็น “ป๋า กับ ม๋า” ฯลฯ สิ่งที่เขาพยายามจะเปลี่ยนทำให้เธอรับไม่ได้ (ใครจะไปทนได้ล่ะ) ยังดีนะที่เธอ “ทนไม่ได้” เธอก็เลยบอกเลิกกับเขา ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะต้องเป็นแบบใครอีกหลายคน ที่ต้องทน และต้องทน ไปเรื่อยๆ เพราะ “ความรัก” ที่มีต่อเขา
หลังจากที่เธอเลิกกับเขา เขาไม่เสียใจเลย หลังจากนั้นไม่เกินอาทิตย์ เขาก็ไปคบกับเพื่อนรุ่นน้องของเธอ เธอได้ข่าวมาว่า “รุ่นน้องคนนั้น ก็โดนเปลี่ยนแปลง เหมือนที่เธอเคยโดนมา” เราฟังเรื่องนี้แล้ว ก็สงสาร เพราะการยึดติดอยู่กับคนรักเก่า และความไม่รู้จักตัวเองของเขานำพาคนอื่นเข้ามา “ร่วมชะตาชีวิต” (คุณบีคะ ถ้ามันลำบากแสนสาหัสมากกับการลืมคนเก่าแล้วเริ่มต้นใหม่ ก็อยู่ใน “รู” ต่อไปนะคะ อย่าออกมาให้คนอื่นเขาต้องเหนื่อยใจกับการกระทำของคุณ เห็นแล้วสมเพชคะ)
หลายๆคนได้ “กักขัง” ตัวเองไว้กับเรื่องราวความรักครั้งเก่า จมอยู่กับความทรงจำ และหัวใจที่แตกสลาย ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันด้วยความทุกข์ระทม และความกลัว เพราะไม่ยอมปลดปล่อยตัวเองจากอดีต (คนประเภทนี้น่าสงสารที่สุด ตัวเขา เขายังไม่รู้จักเลย ช่างน่าเศร้าแท้) ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ ความทรงจำครั้งเก่า สร้างให้เกิด “ความกลัวและกังวล” ต่อความรักครั้งใหม่ มีแต่ตัวเขาเองเท่านั้น ที่จะปลดปล่อยอดีตของตัวเองได้ บางครั้งการรวบรวม “ความกล้า” กลับไปเผชิญหน้ากับคนรักเก่า อาจทำให้เราได้ล่วงรู้ความรู้สึกที่แท้จริงในส่วนลึกของเราได้ว่า “คน” ตรงหน้าไม่ได้มีอิทธิพลในหัวใจเราอีกต่อไป และไม่มีใครกักขังหัวใจเราไว้ได้นอกจากเรากักขังมันไว้เอง
จงจำไว้ว่า ประตูที่ปิดตายแล้ว
แถมเจ้าของก็โยนกุญแจทิ้งไป
ในมหาสมุทรอันแสนกว้างใหญ่
อย่าหวังว่าเราจะได้กุญแจดอกนั้นกลับคืนมา
เพื่อไขเข้าไปในหัวใจของเขาอีกต่อไปเลย
“มันเหนื่อยเปล่า”
ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่าน เรื่องราวในวันนี้อาจทำให้เพื่อนๆต้องอ่านซ้ำ เชื่อว่าเพื่อนหลายคนที่ใช้สติในการอ่าน คงจะได้แง่คิดอะไรบ้าง (สำหรับคนที่ยังสติไม่อยู่กับตัวเองตอนนี้ ตั้งสติให้ดี แล้วค่อยๆอ่านใหม่ อ่านช้าๆ ออกเสียงดังๆ พวกคุณต้องเข้าใจได้แน่ๆ อย่าเพิ่งท้อนะคะ)