Recent News

Powered by eSnips.com

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อัพเดทชีวิต

ห่างหายจากการเขียนไปนานเลย ต้อง "ขอโทษ" เพื่อนๆทั้งหลายด้วย ที่หลายวันนี้ หลายๆคนต้องเข้ามาใน blog เก้อ สำหรับงานเขียนวันนี้ เป็นของ "น้องวอดก้า" (น้องแมวสุดที่รักของเรา)


เมื่อวาน วันที่ 22 ตุลาคม เป็นวันคล้ายวันเกิดของ "น้องวอดก้า" ครบ 4 ปี แล้ว ระยะเวลาผ่านไปเร็วมาก นับตั้งแต่เราเจอเขาวันแรก "หล่อ ซน ดื้อ" อย่างไร ตอนนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น (ช่างเป็นแมวที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงเสียนี่กระไร?)


ยังไงพี่ก็ Happy Birthday ย้อนหลังให้หนูนะจ๊ะ พี่รู้ว่า "ของขวัญ" ที่หนูอยากได้ในวันเกิดก็คือ "วอดก้าอยากมีเมียครับ" (เหอะๆ สายไปแล้ว คุณวอดก้า เพราะว่า คุณทำหมันแล้วนะจ๊ะ) ครองชีวิต "พรหมจรรย์" ต่อไปนะ สำหรับ "ของขวัญ" ที่พี่ตั้งใจจะมอบให้ ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า ความรัก ความห่วงใย ความเอาใจใส่ ที่พี่ได้มอบให้หนูสุดหัวใจในทุกๆวันแล้ว (อย่าดื้อให้มากนะจ๊ะ)


พี่รักหนูวอดก้า และหนูมอมแมมเสมอนะ


ไม่ค่อยได้เขียนอะไรลงใน "Blog” ไม่ได้หมายความว่า "ไม่มีเรื่อง หรือเหตุการณ์อะไรน่าตื่นเต้นเข้ามาในชีวิต" ตรงกันข้าม ชีวิตช่วงนี้ "ยุ่งได้ใจ" มีเรื่องต่างๆเข้ามามากมาย ทั้งเรื่องที่ดี เรื่องที่ชวนปวดหัว และเรื่องที่ทำให้กังวลใจ แต่สิ่งเดียวที่ยังพอทำให้เรารู้สึกสบายใจได้ก็คือ "ความปลอดภัย" ที่ได้รัก และถูกรักจากใครสักคน


จริงๆแล้ว ชีวิตมนุษย์เรา ก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย


แค่อยู่ในสถานที่ที่ "ปลอดภัย" (จากภัยธรรมชาติ และภัยเหนือธรรมชาติต่างๆ)


อยู่กับคนที่ทำให้รู้สึกว่า "ปลอดภัย" (อยู่กับเขาแล้วจะไม่มีความทุกข์ หรืออันตรายใดๆ ทำร้ายเราได้)


รักใครสักคนโดยรู้สึกว่า "ปลอดภัย" (ถ้าจะนำหัวใจไปฝากไว้กับเขา)


แค่นี้คงเป็น "หลักประกันความสุข" ได้ดีที่สุด


ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ เพื่อนๆดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน




วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

At Phuket

เมื่อวานตั้งใจจะมาถ่ายทอดกิจกรรม ณ ภูเก็ต ต่อภาค 2 แต่สืบเนื่องจากเราไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ มาต่อกันเลยดีกว่านะคะ


Day 2 at Phuket


ตื่นมาแต่เช้า ต่อมซ่า ก็เริ่มจะทำงาน เราจึงไปตลาดทานขนมจีนภูเก็ตเป็นมื้อแรก (อร่อยดีเหมือนกัน) กลับมาที่พัก อยู่ได้ไม่ถึง 20 นาที เราก็ออกไปทัวร์อีกรอบ ครั้งนี้ไปไกลกว่าเดิม แวะทานติ่มซำ เล็กน้อย รสชาติก็งั้นๆ ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่ ตอนขี่มอเตอร์ไซค์อยู่ๆ ฝนก็เทลงมา อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เรารีบแวะข้างทาง ใส่เสื้อกันฝน ใส่เสร็จขี่ไปได้ไม่ถึง 50 เมตร ฝนหยุดตกเฉยเลย งงมาก เราจอดอีกรอบเพื่อที่จะเก็บเสื้อกันฝน แต่พอเราขี่ไปได้อีกเกือบ 200 เมตร ก็เทลงมาอีกแล้ว (นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับฟ้งฝนที่ภูเก็ตนี่ หรือนี่เป็นเรื่องปกติของที่นี่??) สุดท้ายเราจึงไม่ใส่เสื้อกันฝนแล้ว (แต่ลึกๆ ก็หวั่นๆเหมือนกัน เพราะไปเกาะช้างครั้งล่าสุด ก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตากฝนแบบนี้แหละ สุดท้าย ไข้หวัดก็รับประทานเราไปหลายอาทิตย์) ขากลับเราแวะซื้อ ข้าวแกงเมืองนคร (ที่เขาว่า อร่อยนักอร่อยหนา) มาทานด้วยหนึ่งถุง


กลับมาถึงที่พัก เราร้อนมาก จึงลงไปนอนแช่น้ำในอ่างให้สบายอุราเสียหน่อย (แปลกไหม? ทุกครั้งที่ไม่สบายใจ แล้วลงไปแช่น้ำ ในอ่าง หรือว่ายน้ำ จะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และบรรเทา เหมือนกับว่า ร่างกายย้อนกลับไปสู่ความสมดุลอีกครั้ง) อาบน้ำตัวหอมๆแล้ว ต่อมซนเริ่มกระตุกอีกครั้ง คราวนี้เราขี่รถไป airport แล้วกลับมาที่ลากูน่า และไปป่าตอง (ทางคดเคี้ยวมาก ขาสั่นเล็กน้อย) แล้วก็กลับมาที่พักอีก ขี่ไปตั้งแต่บ่ายโมงถึงสี่โมงครึ่ง (3 ชม. ครึ่งบนรถมอเตอร์ไซค์) เข้าใจอาการก้นเป็นตะคริวเลย รวมระยะทางร่วมร้อยกิโลเมตรได้ (ขี่ไป และกลับ) เหมือนข้ามจังหวัดเลย


กลับมาถึงที่พัก ท้องเริ่มหิว เราจึงไปเดินตลาดนัด ตลาดนัดที่ี่นี่ของขายเยอะ ทั้งของกินและของใช้ เดินสนุกมากเลย และจุดหมายสุดท้ายของเรานั่นคือ ขี่เข้าไปในเมือง (ซึ่งห่างออกไป 20 กว่า กิโล) เพื่อไปห้างดังของภูเก็ต (ไม่ใช่ robinson, central, big c or lotus) แต่นั่นคือ Super Cheap ที่นี่มีลักษณะคล้าย แม็คโคร ต่างกันตรงที่ไม่ติดแอร์ และมีตลาดนัดอาหารเล็กๆหน้าห้อง ของที่นี่มีทุกอย่าง ราคาก็ไม่แพงมาก เดินอย่างเพลิดเพลินเลยเรา กลับมาถึงที่พักก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว ขอนอนก่อนดีกว่าเนอะ เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับ กทม.แล้ว


Day 3 at Phuket


เราตื่นมาแต่เช้าอีกแล้ว เพื่อจะไปทานอาหารเช้าที่ตลาด และมื้อแรกของวันนี้ ก็ยังคงเป็น ขนมจีนภูเก็ตเหมือนเดิม เป็นการส่งท้ายวันสุดท้ายที่นี่ เรากำหนดไปขึ้นเครื่องช่วงบ่าย แต่ปรากฏว่า เครื่อง delay เนื่องจากมีการแสดง thunder bird ที่ดอนเมือง กว่าเราจะได้ออกมาจากภูเก็ตก็ 15.00 กว่าจะมาถึงกทม. ก็ 16.00 กว่าๆแล้ว เรารีบสุดฤทธิ์ เนื่องจากมีนัดตอน 17.30 และต้องอ่านบทอ่านที่โบสถ์ รวมถึงซ้อมเพลง เรียกได้ว่า คิวแน่นเอียด เรามาถึงดอนเมือง ปรากฏว่า คนมากมายมหาศาล เนื่องจากการแสดงโชว์เพิ่งจบ รถติดแน่นมาก มีรถชน และมีขบวนเสด็จอีก ที่สำคัญฝนตกแบบเทกระหน่ำ (ทุกอย่างดูวุ่นวายไปหมด) สุดท้ายแผนที่วางไว้ต้องเป็นอันต้อง "เปลี่ยนแปลง" หมด เนื่องจาก เราติดอยู่ที่ดอนเมือง จากที่ต้องกลับไปบ้านก่อนเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่สุดท้ายต้องเดินทางตรงไปที่โบสถ์เลย ทั้งๆที่ตัวเปียกปอน กว่าจะถึงโบสถ์ก็หกโมงกว่าแล้ว เราต้องดำเนินกิจกรรมต่อไปจนถึงห้าทุ่ม ถึงจะได้กลับถึงบ้านอาบน้ำ เรียกได้ว่า "เป็นวันที่โหดที่สุด" แต่สุดท้ายเราก็ผ่านมันมาจนได้


และนี่คือเรื่องราวเล็กๆของเรา เรารู้สึกปวดหัว เราขอตัวไปนอนพักก่อนนะคะ


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน



วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Day 1 in Phuket

เรากลับมาถึงกทม. ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่กว่าจะกลับมาได้ เรียกได้ว่า ต้อง "ผจญ"กับเหตุการณ์ต่างๆมากมาย งานเขียนวันนี้ เป็นการเล่าถึง trip to phuket ทั้ง 3 วันของเรา


เราเริ่มออกเดินทางไปภูเก็ตวันพฤหัสที่แล้ว เมื่อถึงสนามบินนานาชาติภูเก็ต สิ่งแรกที่เรามองหาก็คือ แผนที่ (การเดินทางครั้งนี้ เป็นการเดินทางไปภูเก็ตครั้งแรก)


จุดหมายแรกที่ภูเก็ตนั่นคือ ที่พัก ลากูน่า ตอนแรกเราว่าจะนั่ง airport bus แล้วค่อยต่อรถเข้าไปในลากูน่า แต่ดูฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจ เราจึงนั่งรถ taxi (ไม่ใช่รถแบบในกทม. ที่มีสีสันสะดุดตานะคะ ที่นี่เป็นรถเก๋งส่วนบุคคลธรรมดา ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นรถสาธารณะแต่อย่างใด ไม่มีมิเตอร์ ดังนั้นราคาจึงต้องตามใจคนขับ) เขาเรียกราคาเรามาที่ 550แต่เนื่องด้วยว่า เราเป็นคนต่อไม่ค่อยเก่ง และขี้เกรงใจ สรุปราคาเลยอยู่ที่ 400บาทถ้วน เราเอากระป๋าไปเก็บ หลังจากนั้น เรามีความจำเป็นต้องเข้าเมือง ทำให้เราต้องใช้บริการ taxi รอบที่สองของวัน คราวนี้ราคาอยู่ที่ 500 บาท (ลดแล้วจาก 600)


ระหว่างทางเข้าเมือง ฝนก็ได้ตกโปรยปรายมาเป็นระยะๆ ถึงในเมืองด้วยความหิวมากเราจึงไปทาน บะหมี่ฮกเกี้ยนชื่อดัง ตรงวงเวียนหอนาฬิกา (ร้านอร่อยตามคำแนะนำของgoogle) สำหรับบะหมี่ฮกเกี้ยนร้านนี้เราว่าเฉยๆนะ แต่เราประทับใจในรสชาติของ หมูสะเต๊ะ (อร่อยมาก) หมูนุ่มมาก เราถามหาขนมปังปิ้งมาทานคู่กับหมูสะเต๊ะ คนขายบอกว่า ที่นี่ไม่มี คนที่ไม่กินกัน (หน้าแตกตามระเบียบ) จริงแล้ว เราอยากตะเวนหาของกินมากกว่านี้ แต่สืบเนื่องจาก เย็นมากแล้ว และฝนก็ตกพรำๆตลอดด้วย ทำให้เราต้องรีบกลับที่พัก


ตกดึกเราเริ่มหิวอีกแล้ว จึงออกไปหาอะไรทาน พร้อมกับสำรวจบรรยากาศภูเก็ต(นอกเมือง) ยามค่ำคืนไปพลางๆ และเราก็ได้ไป จ๊ะเอ๋ กับ ร้านหมูกะทะ (ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมชอบกินหมูกะทะต่างจังหวัด (อาจเพราะหมูกะทะต่างจังหวัดอร่อยกว่าใน กทม. มั้่ง) แต่เท่าที่ "ตะลอนทัวร์" ร้านหมูกะทะต่างจังหวัดไม่เคยทำให้เราผิดหวัง


คืนแรกที่ภูเก็ต เรายอมรับว่า ลึกๆค่อนข้างกลัวผีมาก แต่ด้วยความง่วง และเหนื่อย ทำให้เรานอนหลับตาปี๋ จึงไม่เห็นอะไรในคืนนั้น


จบแล้วสำหรับวันแรกในภูเก็ต พรุ่งนี้เราจะมาเขียนถึงวันที่สองนะคะ ตอนนี้เหนื่อยมากเลย ต้องขอตัวไปอาบน้ำนอนก่อน ซ้อมเพลงดึก สองวันติดเลย พรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าอีก


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน นอนหลับสนิทกันนะคะ



วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กรมขนส่ง & สถานีตำรวจ

เมื่อวานนี้เราได้เดินทางไปสอบใบอนุญาติขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนหกโมงเช้า แต่เมื่อนาฬิกาดังขึ้นเราลุกไม่ไหวจริงๆ นอนต่อไปถึงเจ็ดโมงเช้า จึงรีบล้างหน้า และแปรงฟัน (โดยไม่ได้อาบน้ำ) เนื่องจากกลัวไม่ทัน เพราะเอกสารยังไม่ครบ ยังไม่ได้ไปขอใบรับรองแพทย์เลย และต้องไปให้ทันแปดโมง (เช้าวันอังคารที่แสนวุ่นวายจริงๆ) ต้องขี่มอเตอร์ไซค์ไปที่ขนส่ง น้ำมันรถก็หมด (ไม่เติมเอาไว้ เพราะว่ารถไม่ค่อยได้ใช้)

การสอบใบขับขี่มอเตอร์ไซค์เต็มไปด้วย "วิบากกรรม" (เอาไว้ เราจะเขียนเล่าให้ฟังอีกทีนะคะ)

เมื่อวานตอนดึก เราขี่มอเตอร์ไซค์เข้าเมือง ไปแถวๆจุฬา มาบุญครอง รถเยอะมาก ขนาดขี่ไปตอนกลางคืน เรายังร้อนเหงื่อแตกเลย ยิ่งรถยนต์ด้านหลังขับมาจี้ๆแล้วล่ะก็ พอเข้าใจเลยอ่ะ ว่าคนขี่มอเตอร์ไซค์ตามท้องถนนนั้น รู้สึกอย่างไร? เป็นความรู้สึกที่โหดร้ายมากเลย ต้องระวังรถเล็ก รถใหญ่ ไม่มีเลนเป็นของตัวเอง บีบแตรไล่ใครก็ไม่ได้ ต้องคอยแต่หลบๆ หลีกๆ เพียงอย่างเดียว

เข้าวันนี้ เราขี่มอเตอร์ไซค์คันนี้ไปปิ่นเกล้า (ชักห้าวใหญ่แล้ว ได้ใบขับขี่ แล้วซ่าส์ใหญ่) ขี่ขึ้นสะพานหลายสะพานมาก น่ากลัวมาก ก่อนถึงแยกปิ่นเกล้า เรามัวแต่มองหาไฟแดง เราเลยขี่เลนขวาสุด ขี่ไปได้สักพัก คุณตำรวจก็โผล่มา เดินฝ่ารถสี่เลนมา เพื่อที่จะเรียกเราเข้าไปเลนซ้ายสุด สุดท้าย เราก็โดนยึดใบขับขี่ตามระเบียบ ได้เวลา "เจิมใบขับขี่" เราอยากจะขอเขาเสียค่าปรับ (แต่เขาไม่ยอม) ต้องให้เราขี่ไปที่ สน. บางยี่ขัน (แล้วไปอีกไกลแค่ไหนคะเนี่ย โดนจับก็ตกใจแย่แล้ว ต้องไปจ่ายเงินค่าปรับที่ สน. ที่ไหนก็ไม่รู้ ขี่ไปรอดไหม?) และค่อยเอาใบเสร็จมารับใบขับขี่ เรารีบขี่ไปจ่าย โดนไป 200 บาท (ตำรวจใน สน. บอกว่า นี่เขาเขียนปรับให้ถูกนะ เพราะว่า ถ้ามอเตอร์ไซค์วิ่งเลนขวาสุดต้องเสียค่าปรับ 400) และเมื่อขี่กลับมาที่ด่านตำรวจ ปรากฏว่า ด่านตำรวจนั้น "วาย" คือตำรวจพากันแยกย้ายกลับไปแล้ว (แย่แล้วสิ แล้วจะให้เราไปเอาใบขับขี่ที่ไหน? ตำรวจที่ยึดใบขับขี่ชื่ออะไรก็ไม่รู้? หรือต้องขี่กลับที่ สน. บางยี่ขันอีก) อะไรจะแย่ขนาดนี้

“เราพอเข้าใจเลยว่า การขี่มอเตอร์ไซค์ในกทม.นั้น ยากลำบากเพียงใด ถ้าไม่โดนแดดเผา จนผิวดำๆด่างๆ ก็ต้องสูดควันรถยนต์ ยิ่งถ้าไปติดอยุ่หลังรถเมล์ด้วยแล้ว (ไม่ต้องบรรยายนะคะ ได้ตายก่อนแก่แน่) แล้วยังมาเจอด่านตำรวจอีก สุดยอด!!!!!”


เมื่อวันจันทร์ อยู่ๆเราก็คิดอยากจะเดินทางไปภูเก็ต (ตัดสินใจภายในเวลาห้านาที) เราจึงรีบซื้อตั๋วเครื่องบินไป (การเดินทางในครั้งนี้้ ตัดสินใจแค่เพียงชั่ววินาที) ต้องบอกตามตรงว่า เกิดมาไม่เคยเดินทางไปเที่ยวทะเลทางใต้เลย นอกจากหัวหิน ชะอำ และปราณบุรี เที่ยว 3 วัน จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ รวมถึง ป่าตอง)

เราจะออกเดินทางวันที่ 8 เดินทางกลับวันที่ 10 เพราะว่า เย็นวันที่ 10ต้องอ่านบทอ่านที่โบสถ์ และซ้อมร้องเพลง (เอาไว้เราจะมาเขียนเล่ารายละเอียด) สำหรับการเดินทางไปภูเก็ตครั้งแรก แบบไม่มีคนรู้จักที่นั่น (หลายๆคนอาจคิดว่าเราห้าว กล้า เปล่าเลย!!!!! แต่ชีวิต ต้องเดินก้าวต่อไป ไม่มีอะไรโหดร้ายเกินไปหรอกบนโลกใบนี้)

เรามีเรื่องอีกเยอะแยะมากมาย อย่างแบ่งปัน ไว้เรากลับมาค่อยว่ากันใหม่เนอะ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บาปสงวน

มีคนถามเราใน msn ว่า ทำไม? อยู่ๆ เราถึงได้เขียนเรื่อง "การแก้บาป และบาปต่างๆ" มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจหรือ? จริงๆแล้ว เรื่องที่เราได้เขียน 2 เรื่องที่ผ่านมานั้น เป็นเพียง "การเกริ่นนำ" จริงๆแล้ว เราต้องการจะเขียนเรื่อง "บาปสงวน" คำๆนี้ เราซึ่งเป็นคริสตชนมานาน ก็ไม่เคยได้ยิน หรือเข้าใจความหมาย แต่คำๆนี้ ก็มาสะดุดใจเรา เมื่อมีคุณพ่อท่านนึงได้เอ่ยขึ้นมา เราจึงไปหาความหมาย และทำความเข้าใจกับคำๆนี้


หลายๆคนก็คงรู้สึก "งงๆ" ไม่เข้าใจคำๆนี้ ขนาดเราเป็นคาทอลิก อ่านพระคัมภีร์มาก็เยอะ แต่ไม่เคยเจอคำว่า "บาปสงวน" นี้เลย แล้วบาปสงวนนี้ "สงวน" ไว้เพื่ออะไร? หรือว่า บาปที่ "ต้องห้าม" ทำไม่ได้??????


"บาปสงวน"คือบาปที่ "พระสังฆราช" สงวนไว้ว่า "เป็นบาปที่เฉพาะพระสังฆราชเท่านั้น" สามารถยกบาปให้ได้ ก็หมายความโดยตรงเลยว่า พระสงฆ์ธรรมดา ไม่สามารถยกบาปนี้ได้ (คือการแก้บาป ตามธรรมเนียมคาทอลิก ซึ่งคริสตชน จะนำบาปของตัวเอง ไปขอคืนดีกับพระเป็นเจ้า โดยการขอคืนดีนี้ ต้องอาศัย พระสงฆ์เป็นคนกลาง) และหากจะแก้ "บาปสงวน" นี้ได้ พระสงฆ์ต้องขออำนาจยกบาปนี้จากพระสังฆราชเสียก่อน (คนที่มีบาปสงวน ไม่จำเป็นต้องไปพบพระสังฆราช เพียงแต่ขอให้ท่านอนุญาติ ให้พระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปไปขออำนาจ "ยกบาป" มาเท่านั้น) ซึ่งหากคุณรับศีล หรืออยู่ในวัดในสังฆมณฑลเขตไหน คุณต้องไปขอให้พระสังฆราช ในสังฆมณฑลนั้นเป็น ผู้อนุญาติ


ณ ปัจจุบัน มีบาปที่บัญญัติไว้ว่าเป็น "บาปสงวน" มีเพียงบาปเดียวเท่านั้น นั่นคือ "การทำแท้ง (Abortion)” หากพูดถึงบาปนี้ หลายๆคนอาจคิดว่า เป็นบาปเฉพาะหญิงผู้ที่ทำแท้งเท่านั้น แต่เนื่องจากบาปนี้ เป็นบาปที่หนักมาก เพราะไม่ใช่การฆ่าคนธรรมดา แต่เป็นการฆ่าลูกตัวเอง (ด้วยความรู้ตัว หรือตั้งใจ) ดังนั้น ผู้มีส่วนร่วมในการทำแท้งทุกคน ต้องตกอยู่ในสถานะบาปนี้ทั้งหมด เช่น สามีที่รู้เห็นการทำแท้ง บิดา มารดา ที่เห็นด้วย และยินยอมให้กระทำ นายแพทย์ พยาบาล คนแนะนำ (แค่เพียงบอกว่ามีสถานที่ไหนรับทำแท้งก็ถือว่ามีบาปนี้) คนพาไปทำแท้ง คนให้ยืมเงินไปทำแท้ง (คนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลือในการทำแท้ง จัดว่าตกอยู่ในบาปนี้ทั้งหมด) ถึงแม้ว่าบางประเทศจะมีกฏหมายรับรองการทำแท้ง แต่ พระศาสนจักรคาทอลิกของเรา ยังไม่รับรอง (จึงยังคงจัดเป็น "บาป" ที่ร้ายแรง)

หลายๆคนไปทำแท้ง ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ เป็นเหตุผลที่น่าเห็นใจ และน่าสงสารมาก ๆ แต่พระศาสนจักรคาทอลิกก็ไม่ยอมรับเหตุผลใด ๆ ที่จะอนุญาตให้ฆ่าเด็กในครรภ์ของตนเอง เพราะเคารพสิทธิ์ในการมีชีวิต คิดอีกอย่างหนึ่ง หากอนุญาตให้ทำแท้งได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ แล้ว มีความเสี่ยงที่จะทำให้ชีวิตด้านศีลธรรมของเรา เผชิญกับวิกฤตได้ เราจะพบกับการสำส่อนทางเพศมากขึ้น ปัญหาทางด้านศีลธรรมจะมากขึ้น (เป็นเงาตามตัว) บรรดาเยาวชนก็จะปล่อยตัวปล่อยใจง่ายมากขึ้น พระศาสนจักรจึงพยายามหาทางช่วยให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสที่จะเกิดมา


เราเคยมีเพื่อนๆ และบุคคลรอบตัวไปทำแท้งมา เราบอกได้เลยว่า ไม่มีคนไหนที่ทำไปแล้ว จะไม่มานั่งเสียใจ ปวดร้าวในใจ และทรมานใจในภายหลัง เพราะเป็น "ตราบาป" ที่ฝังใจไม่รู้ลืมเลยก็ว่าได้ ความทุกข์ใจนี้ เทียบไม่ได้เลย กับความทุกข์ใจ ที่เห็นเด็กคนหนึ่งเกิดมา หลายๆคนอาจจะเสนอเหตุผลว่า "หากปล่อยให้เด็กเกิดมา คงทุกข์ใจอย่างมาก แต่ที่ไหนได้การไม่ให้เขาเกิดมา กลับทำร้ายจิตใจอย่างร้ายกาจทีเดียว"



(ในกรณีที่มีการแท้งลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น ตกบันได หรือ รถชนฯลฯ) กรณีเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ ก็ไม่เป็นบาปแต่ประการใด การที่พระสังฆราชสงวนบาปนี้ไว้ ก็เพื่อให้บรรดาสัตบุรุษ ตระหนักว่า บาปนี้มีความสำคัญมากจริง ๆ จึงไม่สามารถให้อภัยกันได้ง่าย ๆ และโทษของบาปนี้ ก็หนักหนามาก เพราะมีโทษถึงขนาด ถูกตัดขาดจากพระศาสนจักร แม้แต่โทษบาปเอง พระสังฆราชก็จะต้องเป็นผู้ยกเว้นให้ คือ อนุญาตให้กลับเข้าสู่พระศาสนจักรได้นั่นเอง


และเนื่องด้วยหลังจากหมดเดือนนี้ (เดือนตุลาคม เดือนแห่งแม่พระ) แล้ว ก็จะเข้าสู่ปีพระสงฆ์ และเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่ง เนื่องจากมีการเปิดปีพระสงฆ์ ในวันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม 2009 ที่วัดมารีย์สวรรค์ ดอนเมือง ซึ่งพระอัครสังฆราช (พระคุณเจ้าฟรังซิสซาเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช) ได้ประทานอนุญาติให้พระสงฆ์ในเขต 2 สามารถ "โปรดบาปสงวน" นี้ได้ในเฉพาะวันนั้นเท่านั้น


(ไม่ได้หมายความว่า ในสังฆมณฑลกรุงเทพของเรา มีผู้ทำบาปนี้กันมากมาย (จนต้องจัดพิธีโปรดบาปนี้) แต่พระศาสนจักร ได้มองไปถึง ผู้ที่กำลังเป็นทุกข์เสียใจกับบาปนี้ แล้วยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ดังนั้น หากเรา หรือคนใกล้ๆตัวเรา คือผู้ที่กำลังทนทุกข์เสียใจอยู่กับบาปนี้อยู่ ก็ขอเชิญไปร่วมพิธีได้ อย่างน้อยเราก็ได้ขอโทษพระเจ้า พระศาสนจักร หันมาใช้บาปที่ได้กระทำไป พระสงฆ์ทุกองค์เต็มใจช่วยเหลือคนบาปทุกคนโดยผ่านทางศีลอภัยบาปอยู่แล้ว

ในวันนั้น เราก็ต้องไปแก้บาปสงวนนี้เช่นกัน สืบเนื่องจากหลายปีก่อน เราเคยไปกับเพือน โดยไม่รู้ว่า เธอไปทำแท้ง แต่เราก็กลับไปนั่งรอเธอ และขับรถพาเธอกลับบ้าน กว่าจะมารู้ว่าวันนั้นเธอไปทำอะไร ก็หลายเดือนหลังจากนั้นแล้ว เราจึงเป็นบุคคลนึง ที่มีบาปสงวนนี้ติดตัวมา อาจด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ ก็ถือว่าเป็นบาป


ฝากไว้นะคะ หลายๆคนอาจคิดว่า เรื่องการทำแท้ง กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วในสังคม เพราะว่าคนรอบข้างเรา ก็เดินเข้าออกไป "รีดเด็กทิ้ง ฆ่าลูกในไส้ตัวเอง" บ่อยครั้ง พอๆกับ การเดินเข้าไป "ขูดหินปูนในช่องปาก" (ทำลายก้อนเลือดของตัวเอง ทำลายวงจรชีวิตของธรรมชาติ) และสำหรับใครก็ตามที่คิดว่า "การทำแท้ง" เป็นเรื่องปกติ ลองคิดย้อนดูสิคะ ถ้าเพื่อนสนิท คนรัก ของคุณ เคยฆ่าชีวิตน้อยๆเลือดเนื้อของเขาแล้ว มีหรือ? ที่เขาจะรัก และซื่อสัตย์ กับคุณได้ตลอดชีวิต (เพราะความสามารถในการยอมรับปัญหา รวมถึงศีลธรรมในตัวของเขา ได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว)


"มโนธรรม" หรือ "จิตสำนึก" ภายในตัวเรานั้น ไม่อาจวัดได้ด้วย "กระแส หรือค่านิยม" ตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์ การทำลายชีวิตมนุษย์ด้วยกัน ถือว่าเป็นสิ่งที่โหดร้ายท่ีสุด


(เรารู้ดีว่า เรื่องที่เราพยายามนำเสนอตลอด 3 วัน อาจดูน่าเบื่อ หรืออ่านไม่เข้าใจ จุดประสงค์ในการเขียนของเรานั้น แค่อยากถ่ายทอดความรู้ และแง่คิดในทางศาสนา ถึงแม้เราและคุณ จะไม่ได้มีความเชื่อ ความศรัทธาในทิศทางเดียวกัน แต่ธรรมชาติก็ทำให้ความแตกต่างนี้ อยู่ร่วมกันอย่าง “สมดุล” ได้เสมอ)


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน









วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ว่าด้วยเรื่อง "บาป"

หลายๆคน อาจจะเริ่มสงสัย และสับสนว่า "คำว่า บาป" ในความหมายของ ศาสนาคริสต์ หมายถึงอะไร?

"บาป" หมายถึง การจงใจฝ่าฝืน พระบัญญัติของพระเป็นเจ้า และพระบัญญัติของพระศาสนจักร

บาปมี 3ชนิด คือ บาปหนัก บาปเบา และบาปสงวน

"บาปหนัก" คือ การฝ่าฝืนพระบัญญัติใน "ข้อหนัก" โดยรู้ตัว และยินยอมเต็มใจ


"บาปเบา" คือ การทำผิดพระบัญญัติใน "ข้อเล็กน้อย" โดยรู้ตัว และยินยอมเต็มใจ หรือผิดพระบัญญัติในข้อหนักโดยไม่สู้ยินยอมเต็มใจ

หมายเหตุ: "บาป"ที่จะจัดว่าเป็น "บาปหนัก"

จะต้องมีเงื่อนไขครบ 3 ประการ ดังนี้

1.บาปที่ผิดในเรื่องหนัก

2.กระทำด้วยความรู้ตัวและเต็มใจ

3.ด้วยความยินยอมพร้อมใจ

การทำบาปนั้น (อาจทำได้ด้วยความคิด ความปรารถนา วาจา กิจการ และการละเลย)


ขั้นตอนการแก้บาป ก่อนการแก้บาปควรมี "การพิจารณามโนธรรม" (เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ก่อนไปแก้บาป) หากไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นแก้บาปอย่างไร ก็ให้เริ่มต้นจาก "การสวดขอพระจิตเจ้า ขอแสงสว่างในความคิด ในการพิจารณามโนธรรมของตัวเอง


การพิจารณาบาป อาจจะเริ่มจากบาปที่ผิดพระบัญญัติทั้ง 10 ประการก่อน แล้วค่อยๆไล่ไปยังบาปต้น 7 ประการ (เราได้อธิบายไว้ใน blog หน้าเมื่อวานนี้)


การเป็นทุกข์ถึงบาป (Contrition) เป็นทุกข์เสียใจ ถึงบาป อย่างสมบูรณ์ และตั้งใจจะไม่กระทำบาปนั้นอีก



การสารภาพบาป (Confession) เป็นวิธีการคืนดีกับพระเจ้า พระศาสนจักร และผู้อื่นด้วย จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรแก้บาปหนักของเราอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง ก่อนรับศีลมหาสนิท


การทำกิจใช้โทษบาป การชดเชยบาป (Satisfaction) เราได้กระทำบาป เมื่อเราคืนดีกับพระเป็นเจ้าแล้ว เราควรชดเชยความผิดด้วยวิธีการใด วิธีการหนึ่ง


และนี่คือขั้นตอนในการคืนดีกับพระเป็นเจ้า หรือการสารภาพบาป


เราว่าจริงๆแล้ว ไม่เพียงแต่ เราต้องยอมรับความผิด หรือสารภาพความผิด กับพระเป็นเจ้าเท่านั้น เราต้องยอมรับ และกล้าที่จะเปิดใจ บอกความผิดของเรานั้น กับคนในครอบครัว คนใกล้ชิด เพราะชีวิตในโลกนี้ของเราไม่ได้ "ดำรง" อยู่เพียงลำพัง เราเป็นแค่ "ข้อต่อเล็กๆ" ใน "ห่วงโซ่" ที่ย่ิงใหญ่ในโลกใบนี้


ฝากไว้ด้วยนะคะ "การยอมรับความผิดบกพร่อง" ภายในตัวเองนั้น อาจเป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก แต่เมื่อคุณได้ผ่านการกระทำครั้งแรกไปแล้วนั้น ครั้งต่อๆไป ก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณอีกแล้ว


ไหนใครมีความลับอะไรกับคนข้างๆตัว หาโอกาสบอกเขาหรือเธอซะนะคะ


เป็นกำลังใจให้เสมอคะ ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน (พรุ่งนี้เราจะอธิบายคำว่า "บาปสงวน" ให้เพื่อนได้อ่านกันนะคะ)









วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บาปต้น 7 ประการ

เราเชื่อเหลือเกินว่า "คนภายนอก" (บุคคลที่ไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์) อาจไม่เข้าใจ สิ่งที่พวกเราถือปฏิบัติ นั่นคือ "การแก้บาป หรือสารภาพบาป"


ใครที่พอจะมีความรู้เบื้องต้นในศาสนาคริสต์มาบ้าง อาจเข้าใจ (ไปเอง) ว่า คริสตชน (บุคคลที่นับถือศาสนาคริสต์) เมื่อทำบาปแล้วก็สามารถแก้บาปได้ ดังนั้น ก็จะไม่ต้องตกนรก หรือ กรรมชั่ว ก็ไม่สามารถมาตามจองล้างจองผลาญ (ช่างเป็นกลุ่มคนที่มี "อภิสิทธิ์" เสียจริงๆ) ดังนั้น หลายคนก็อาจเข้าใจผิด (ไปเอง) และอยากจะมาเป็น "คาทอลิก" (โดยรู้เท่าไม่ถึงการ)


เราอยากจะให้อธิบายให้พวกคุณฟังเหลือเกินว่า "จริงๆแล้ว การแก้บาป หรือสารภาพ เป็นวิธี "การยอมรับ" ในสิ่งที่เราทำผิด และขอคืนดีกับพระเป็นเจ้า ด้วยความสมัครใจ และสัญญาว่า จะไม่กระทำบาปนั้นอีก"


บางคนอาจบอกว่า "คนชั่วแค่ไหน ก็สามารถได้รับการอภัยได้สิ"


เราขอตอบว่า "จริงๆแล้ว มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น ที่จะตัดสินพระทัยว่า เราควรได้รับการอภัยจากบาปที่เราได้ทำพลาดผิดไปไหม?”


(ด้วยความเข้าใจของเรา) "การสารภาพบาป ก็คือการที่เรากล้าเปิดใจยอมรับว่า สิ่งที่เราได้ "เคย" กระทำไปนั้น (จะด้วยความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ตาม) เป็นสิ่งที่ "ผิด" และกล้าที่จะสารภาพ "ความผิด" นั้น ออกมา กับพระเจ้า


(แค่เพียง "การยอมรับ" ว่าตัวเองกระทำผิดนั้น ก็ยากแล้วในตัวมนุษย์แต่ละคน ลองตรองดูนะคะ คุณจะกล้าเดินไปบอกใครได้ไหมว่า ในแต่ละวัน แต่ละอาทิตย์ คุณเคยทำให้ใครเสียใจ ผิดหวัง หรือทำร้ายร่างกาย หรือจิตใจของใครแต่ละคนบ้าง)


การยอมรับ" อาจเป็นคำพูดที่ดูง่าย แต่การกระทำนั้นกลับเป็นเรื่องที่ยากมาก ในสังคมสมัยนี้ เพราะด้วยความที่ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (จนล้นโลก) หรือ ทรัพยากร ถูก "ล้างผลาญ" อย่างรวดเร็ว (จนขาดแคลน) หรือ ธรรมชาติ ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว (จนโลกขาดสมดุล) หรือ มาตรฐานทางมโนธรรมความเป็นมนุษย์ ถูกแทนที่ด้วย Fashion (จนมนุษย์ขาดสำนึก) ก็คงไม่มีใครตอบได้


แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ชาวคาทอลิกอย่างพวกเรา ก็ยังคงถือปฏิบัติวิธีการแก้บาปอย่างต่อเนื่องต่อไป


เราอยากจะอธิบายถึงคำว่า "ศีลอภัยบาป" หมายถึง การที่คริสตชนปรารถนาที่จะรับศีลอภัยบาป (การคืนดีกับพระเป็นเจ้า) แต่ก่อนที่จะ "แก้บาป" ได้ เราต้องเป็นทุกข์ถึงบาป และตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่เสียก่อน และต้องแสดงออกมาด้วยการสารภาพบาปซึ่งกระทำกับพระสงฆ์ (ตามกฏพระศาสนจักร) ด้วยการชดเชยบาป



เราขออธิบาย บาปต้น 7 ประการ


บาปแรก "ราคะ (lust)" (ภาษาละติน: luxuria ลุกซุเรีย)

การคิดในทางเสื่อม ความต้องการเป็นที่สนใจจากผู้อื่น ความต้องการความเร้าใจ หมกมุ่นทางเพศที่มากจนเกินไป หรือที่ผิดมนุษย์ปกติ ความใคร่ที่เกิดขึ้นในทางทุจริต เช่น การมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ กับพ่อแม่หรือลูกหลานตัวเอง การข่มขืน การมีชู้


บาปที่สอง "ตะกละ (gluttony)” (ภาษาละติน: gula กูลา)

การสนองความต้องการโดยไม่ยั้งคิด มุ่งร้ายเอาของคนอื่น บริโภคสิ่งต่างๆ จนขาดการการไตร่ตรอง บริโภคจนมากเกินไป มากจนเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหาร รวมถึงการบริโภคสิ่ง ต่างๆ โดยไม่คำนึงสนใจ หรือเห็นใจคนอื่น ทำให้เวลาสรรเสริญพระเจ้าน้อยลง และยังเป็นบาปที่สามารถชักจูงให้ทำบาปอื่นๆ ได้ เช่น ปรารถนาในความหิว (ราคะ) ฆ่าเพราะความหิว (โทสะ) เป็นต้น


"การตะกละ" แบ่งแยกย่อยออกเป็น

Praepropere - กินเร็วเกินไป

Laute - กินแพงเกินไป

Nimis - กินมากเกินไป

Ardenter - กินอย่างกระตือรือร้นเกินไป

Studiose - กินอย่างประณีตเกินไป

Forente - กินอย่างแรงกล้าเกินไป


บาปที่สาม "โลภะ (greed/avarice) (ภาษาละติน: avaritia อวาริเทีย)

ความทะเยอทะยาน อันแรงกล้าในการให้ได้มาซึ่งทรัพย์สิน และอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงแนวทาง หรือคุณธรรมในการได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการขโมย การขู่กรรโชกทรัพย์ ยักยอก การกักเก็บทรัพย์สินต่างๆ โดยไม่แบ่งปันหรือช่วยเหลือผู้อื่น ต่อมาโลภะรวมถึง การหาทรัพย์อย่างทุจริตมาใช้ เพื่อประโยชน์ทางศาสนาด้วย ถือเป็นการมุ่งร้ายต่อศาสนา และเป็นการหักหลังต่อผู้นับถือคริสต์ศาสนาอีกด้วย


บาปที่สี่ "เกียจคร้าน (sloth/laziness)” (ภาษาละติน: acedia อาซีเดีย)

ความไม่สนใจใยดี ต่อการเปลี่ยนแปลง ต่อสิ่งรอบข้าง ใช้เวลาอย่างไร้ค่า ความไม่ต้องการที่จะทำอะไร โดยปล่อยให้ผู้อื่น เป็นผู้ทำงานหนักเพื่อตนเองเท่านั้น การปล่อยปละละเลย ต่อหน้าที่ของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การละเลยที่จะทำดี รวมถึงการละเลยที่จะเคารพต่อพระเจ้าด้วย ผู้ที่เกียจคร้านจะอยู่เฉยๆ รักษาสภาพ ความเป็นอยู่ของตนเองในภาวะเดิมตลอดเวลา ไม่ทำอะไรมาก แต่ก็ไม่ใช้อะไรมากเช่นกัน


บาปที่ห้า "โทสะ (wrath) (ภาษาละติน: ira ไอรา)

ความโกรธเคือง และพยาบาท ที่ขาดความเหมาะสม การทนรับสภาพในบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ การแสวงหาหนทางผิดกฎหมายบ้านเมือง ในศีลธรรมในการล้างแค้น การมุ่งร้ายที่จะทำสิ่งต่างๆ แก่บุคคลที่ตนไม่ชอบ รวมถึงการไม่ชอบบุคคลอื่นโดยไร้เหตุผล เช่น สีผิว เชื้อชาติ ศาสนา นำไปสู่การฆ่าและฆาตกรรมผู้อื่น


บาปที่หก "ริษยา (envy) (ภาษาละติน: invidia อินวิเดีย)

ความปรารถนาให้ผู้อื่นรับเคราะห์ การไม่ยอมรับผู้อื่นที่มีสิ่งต่างๆ ดีกว่าตนเอง ทั้งด้านทรัพย์สมบัติ ลักษณะรูปร่าง นิสัย และ การประสบความสำเร็จ ความอิจฉา นำไปสู่การรังเกียจตัวเอง ต้องการอยากเป็นผู้อื่น นำไปสู่การขโมยและทำลายผู้อื่น ความอิจฉาริษยา เป็นการพัฒนาต่อจากตะกละและโลภะที่สุดขั้ว


บาปที่เจ็ด "อัตตา (vanity/pride) (ภาษาละติน: superbia ซูเปอร์เบีย)

อัตตา เป็นยอดแห่งบาปทั้งปวง หมายถึงความต้องการเป็นผู้ที่มีความสำคัญ และอำนาจเหนือผู้อื่น (เช่นต้องการเป็นพระราชา) การที่รักตนเองมากจนเกินไป หลงในอำนาจและรูปลักษณ์ของตัวเอง


นี่คือคำอธิบายอย่างคร่าวๆ สำหรับ บาปต้นเจ็ดประการ


พรุ่งนี้เราจะมาเขียนเรื่อง "การแก้บาป หรือสารภาพบาป"


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน






วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วิธี Detox จิตใจ

วันนี้เป็น “วันแรก” ของเดือน “ตุลาคม” ซึ่งถือเป็นเดือนสุดท้ายของ “ฤดูฝน” เพื่อรอต้อนรับ “ฤดูหนาว” ที่จะเวียนมาถึงอีกครั้ง (โดยส่วนตัว เราชอบฤดูหนาวที่สุด เพราะความหนาวทำให้เราต้องการที่จะโอบกอดตัวเราเองมากขึ้น)

ขณะนี้เรากำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน (ในห้องนอน) มองออกไปนอกหน้าต่าง (ที่เปิดม่าน) มองเห็นสายฝนโปรยลงมาอย่างช้าๆ เมื่อมองออกไปไกลตา เรามองเห็นตึกต่างๆเพียงลางๆ เนื่องจากสายฝนที่ไหลลงมาคง “พรางตา” เราไว้ บรรยากาศเช่นนี้ อาจชวนให้ใครหลายๆคน อยากจะซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ แต่เรากลับอยากจะลุกขึ้น มา “สัมผัส” บรรยากาศชวน “เศร้า และเหงา” เช่นนี้ เพราะ “ในความเหงา ในความเศร้า” นั้น คือช่วงเวลาที่ “เหมาะสมที่สุด” ที่เราจะได้คุยกับตัวเอง ปลอบประโลมตัวเอง และสัมผัสกับความทุกข์ในตัวเอง เพื่อหาหนทาง “หลุดพ้น” จากสิ่งเหล่านี้ (ด้วยตัวเอง เพียงลำพัง) เพราะความทุกข์ต่างๆที่อยู่ในใจเรานั้น คงไม่มีใครทำให้มันหลุดออกไปได้ นอกจากตัวเรา


โดยปกติ เราจะ “จิตตก” ทุกๆเดือน อาการจิตตก สำหรับเรา คงเป็น “ปฏิกิริยา” ที่เกิดขึ้น หลังจาก “แบกรับ หรือเก็บอารมณ์” ต่างๆเอาไว้ และสิ่งเหล่านี้ก็ค่อยๆ อัดและกดทับความรู้สึกต่างๆของเรา และเมื่อสิ่งต่างๆนั้น “ล้นเอ่อ” ก็เป็นธรรมดาที่เราต้อง “ปลดปล่อย” ออกมา

มีวิธีมากมายที่เราจะปลดปล่อยสิ่งเหล่านี้ เช่น ฟังหรือร้องเพลงเศร้าๆ คิดถึงเรื่องเศร้าๆ มองชีวิตแบบเศร้าๆ แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา (โดยไม่มีเหตุผล) ประมาณ 15 นาที หรือจนกว่าความเศร้าที่เก็บเอาไว้จะหลุดออกมาหมด

“น้ำตาที่หลั่งไหล” ลงมาสองข้างแก้ม น้ำตาเหล่านี้เป็นน้ำตาที่ถูกดึงออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดในหัวใจ (ก็คงจะดี หากในแต่ละเดือน เรามีเวลาให้กับตัวเอง คิดถึงเรื่องเศร้าๆสักเรื่อง และร้องไห้ออกมาให้น้ำตา และความเศร้าโศกที่ขังอยู่ลึกๆภายในจิตใจ ได้ “หลั่งไหล และระบาย” ออกมาบ้าง อย่างน้อยเมื่อผ่านการร้องไห้อย่างหนัก คุณก็จะรู้สึกสบายใจ นอนหลับได้อย่างสนิท และก็จะยิ้ม และมีแรงสู้กับช่วงเวลาที่จะผ่านเข้ามาของชีวิตอีกครั้งนึง (จิตใจ และกลไกความคิดทางสมองของมนุษย์ ก็คงเหมือน คอมพิวเตอร์ ที่บางครั้งต้อง Refresh หรือไม่ก็ต้อง Format บ้าง เพื่อให้สิ่งไม่เหมาะสมต่างๆ หลุดออกไป” และวิธีนี้ก็ใช้ได้ผลเสมอมา (เพื่อนๆลองนำวิธีนี้ไปใช้ก็ได้นะคะ)

วันแรกเริ่มต้นเดือน เราก็เขียนเรื่องที่ดูเศร้าๆไปแล้ว แต่คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า “จริงๆแล้ว ก็มีบ้างบางวันที่อยู่ดีๆ น้ำตาก็หลั่งไหลออกมา แบบไม่มีเหตุผล”

แด่เพื่อนๆ ที่รู้สึกว่าชีวิตมีแต่ความเศร้าหมอง ลองใช้วิธีนี้ดูนะคะ แล้วคุณจะค้นพบว่า “ความสุข เราสร้างได้ด้วยตนเอง” (ไม่เห็นต้องเอาชีวิต เอาหัวใจ ไปเป็น “เมืองขึ้น” ของทอม ดี้ เลส คนไหนเลย)

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน