มีคนถามเราใน msn ว่า ทำไม? อยู่ๆ เราถึงได้เขียนเรื่อง "การแก้บาป และบาปต่างๆ" มีอะไรเป็นแรงบันดาลใจหรือ? จริงๆแล้ว เรื่องที่เราได้เขียน 2 เรื่องที่ผ่านมานั้น เป็นเพียง "การเกริ่นนำ" จริงๆแล้ว เราต้องการจะเขียนเรื่อง "บาปสงวน" คำๆนี้ เราซึ่งเป็นคริสตชนมานาน ก็ไม่เคยได้ยิน หรือเข้าใจความหมาย แต่คำๆนี้ ก็มาสะดุดใจเรา เมื่อมีคุณพ่อท่านนึงได้เอ่ยขึ้นมา เราจึงไปหาความหมาย และทำความเข้าใจกับคำๆนี้
หลายๆคนก็คงรู้สึก "งงๆ" ไม่เข้าใจคำๆนี้ ขนาดเราเป็นคาทอลิก อ่านพระคัมภีร์มาก็เยอะ แต่ไม่เคยเจอคำว่า "บาปสงวน" นี้เลย แล้วบาปสงวนนี้ "สงวน" ไว้เพื่ออะไร? หรือว่า บาปที่ "ต้องห้าม" ทำไม่ได้??????
"บาปสงวน"คือบาปที่ "พระสังฆราช" สงวนไว้ว่า "เป็นบาปที่เฉพาะพระสังฆราชเท่านั้น" สามารถยกบาปให้ได้ ก็หมายความโดยตรงเลยว่า พระสงฆ์ธรรมดา ไม่สามารถยกบาปนี้ได้ (คือการแก้บาป ตามธรรมเนียมคาทอลิก ซึ่งคริสตชน จะนำบาปของตัวเอง ไปขอคืนดีกับพระเป็นเจ้า โดยการขอคืนดีนี้ ต้องอาศัย พระสงฆ์เป็นคนกลาง) และหากจะแก้ "บาปสงวน" นี้ได้ พระสงฆ์ต้องขออำนาจยกบาปนี้จากพระสังฆราชเสียก่อน (คนที่มีบาปสงวน ไม่จำเป็นต้องไปพบพระสังฆราช เพียงแต่ขอให้ท่านอนุญาติ ให้พระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปไปขออำนาจ "ยกบาป" มาเท่านั้น) ซึ่งหากคุณรับศีล หรืออยู่ในวัดในสังฆมณฑลเขตไหน คุณต้องไปขอให้พระสังฆราช ในสังฆมณฑลนั้นเป็น ผู้อนุญาติ
ณ ปัจจุบัน มีบาปที่บัญญัติไว้ว่าเป็น "บาปสงวน" มีเพียงบาปเดียวเท่านั้น นั่นคือ "การทำแท้ง (Abortion)” หากพูดถึงบาปนี้ หลายๆคนอาจคิดว่า เป็นบาปเฉพาะหญิงผู้ที่ทำแท้งเท่านั้น แต่เนื่องจากบาปนี้ เป็นบาปที่หนักมาก เพราะไม่ใช่การฆ่าคนธรรมดา แต่เป็นการฆ่าลูกตัวเอง (ด้วยความรู้ตัว หรือตั้งใจ) ดังนั้น ผู้มีส่วนร่วมในการทำแท้งทุกคน ต้องตกอยู่ในสถานะบาปนี้ทั้งหมด เช่น สามีที่รู้เห็นการทำแท้ง บิดา มารดา ที่เห็นด้วย และยินยอมให้กระทำ นายแพทย์ พยาบาล คนแนะนำ (แค่เพียงบอกว่ามีสถานที่ไหนรับทำแท้งก็ถือว่ามีบาปนี้) คนพาไปทำแท้ง คนให้ยืมเงินไปทำแท้ง (คนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้ความช่วยเหลือในการทำแท้ง จัดว่าตกอยู่ในบาปนี้ทั้งหมด) ถึงแม้ว่าบางประเทศจะมีกฏหมายรับรองการทำแท้ง แต่ พระศาสนจักรคาทอลิกของเรา ยังไม่รับรอง (จึงยังคงจัดเป็น "บาป" ที่ร้ายแรง)
หลายๆคนไปทำแท้ง ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ เป็นเหตุผลที่น่าเห็นใจ และน่าสงสารมาก ๆ แต่พระศาสนจักรคาทอลิกก็ไม่ยอมรับเหตุผลใด ๆ ที่จะอนุญาตให้ฆ่าเด็กในครรภ์ของตนเอง เพราะเคารพสิทธิ์ในการมีชีวิต คิดอีกอย่างหนึ่ง หากอนุญาตให้ทำแท้งได้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ แล้ว มีความเสี่ยงที่จะทำให้ชีวิตด้านศีลธรรมของเรา เผชิญกับวิกฤตได้ เราจะพบกับการสำส่อนทางเพศมากขึ้น ปัญหาทางด้านศีลธรรมจะมากขึ้น (เป็นเงาตามตัว) บรรดาเยาวชนก็จะปล่อยตัวปล่อยใจง่ายมากขึ้น พระศาสนจักรจึงพยายามหาทางช่วยให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสที่จะเกิดมา
เราเคยมีเพื่อนๆ และบุคคลรอบตัวไปทำแท้งมา เราบอกได้เลยว่า ไม่มีคนไหนที่ทำไปแล้ว จะไม่มานั่งเสียใจ ปวดร้าวในใจ และทรมานใจในภายหลัง เพราะเป็น "ตราบาป" ที่ฝังใจไม่รู้ลืมเลยก็ว่าได้ ความทุกข์ใจนี้ เทียบไม่ได้เลย กับความทุกข์ใจ ที่เห็นเด็กคนหนึ่งเกิดมา หลายๆคนอาจจะเสนอเหตุผลว่า "หากปล่อยให้เด็กเกิดมา คงทุกข์ใจอย่างมาก แต่ที่ไหนได้การไม่ให้เขาเกิดมา กลับทำร้ายจิตใจอย่างร้ายกาจทีเดียว"
(ในกรณีที่มีการแท้งลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น ตกบันได หรือ รถชนฯลฯ) กรณีเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ ก็ไม่เป็นบาปแต่ประการใด การที่พระสังฆราชสงวนบาปนี้ไว้ ก็เพื่อให้บรรดาสัตบุรุษ ตระหนักว่า บาปนี้มีความสำคัญมากจริง ๆ จึงไม่สามารถให้อภัยกันได้ง่าย ๆ และโทษของบาปนี้ ก็หนักหนามาก เพราะมีโทษถึงขนาด ถูกตัดขาดจากพระศาสนจักร แม้แต่โทษบาปเอง พระสังฆราชก็จะต้องเป็นผู้ยกเว้นให้ คือ อนุญาตให้กลับเข้าสู่พระศาสนจักรได้นั่นเอง
และเนื่องด้วยหลังจากหมดเดือนนี้ (เดือนตุลาคม เดือนแห่งแม่พระ) แล้ว ก็จะเข้าสู่ปีพระสงฆ์ และเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่ง เนื่องจากมีการเปิดปีพระสงฆ์ ในวันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม 2009 ที่วัดมารีย์สวรรค์ ดอนเมือง ซึ่งพระอัครสังฆราช (พระคุณเจ้าฟรังซิสซาเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช) ได้ประทานอนุญาติให้พระสงฆ์ในเขต 2 สามารถ "โปรดบาปสงวน" นี้ได้ในเฉพาะวันนั้นเท่านั้น
(ไม่ได้หมายความว่า ในสังฆมณฑลกรุงเทพของเรา มีผู้ทำบาปนี้กันมากมาย (จนต้องจัดพิธีโปรดบาปนี้) แต่พระศาสนจักร ได้มองไปถึง ผู้ที่กำลังเป็นทุกข์เสียใจกับบาปนี้ แล้วยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ดังนั้น หากเรา หรือคนใกล้ๆตัวเรา คือผู้ที่กำลังทนทุกข์เสียใจอยู่กับบาปนี้อยู่ ก็ขอเชิญไปร่วมพิธีได้ อย่างน้อยเราก็ได้ขอโทษพระเจ้า พระศาสนจักร หันมาใช้บาปที่ได้กระทำไป พระสงฆ์ทุกองค์เต็มใจช่วยเหลือคนบาปทุกคนโดยผ่านทางศีลอภัยบาปอยู่แล้ว
ในวันนั้น เราก็ต้องไปแก้บาปสงวนนี้เช่นกัน สืบเนื่องจากหลายปีก่อน เราเคยไปกับเพือน โดยไม่รู้ว่า เธอไปทำแท้ง แต่เราก็กลับไปนั่งรอเธอ และขับรถพาเธอกลับบ้าน กว่าจะมารู้ว่าวันนั้นเธอไปทำอะไร ก็หลายเดือนหลังจากนั้นแล้ว เราจึงเป็นบุคคลนึง ที่มีบาปสงวนนี้ติดตัวมา อาจด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ ก็ถือว่าเป็นบาป
ฝากไว้นะคะ หลายๆคนอาจคิดว่า เรื่องการทำแท้ง กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วในสังคม เพราะว่าคนรอบข้างเรา ก็เดินเข้าออกไป "รีดเด็กทิ้ง ฆ่าลูกในไส้ตัวเอง" บ่อยครั้ง พอๆกับ การเดินเข้าไป "ขูดหินปูนในช่องปาก" (ทำลายก้อนเลือดของตัวเอง ทำลายวงจรชีวิตของธรรมชาติ) และสำหรับใครก็ตามที่คิดว่า "การทำแท้ง" เป็นเรื่องปกติ ลองคิดย้อนดูสิคะ ถ้าเพื่อนสนิท คนรัก ของคุณ เคยฆ่าชีวิตน้อยๆเลือดเนื้อของเขาแล้ว มีหรือ? ที่เขาจะรัก และซื่อสัตย์ กับคุณได้ตลอดชีวิต (เพราะความสามารถในการยอมรับปัญหา รวมถึงศีลธรรมในตัวของเขา ได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว)
"มโนธรรม" หรือ "จิตสำนึก" ภายในตัวเรานั้น ไม่อาจวัดได้ด้วย "กระแส หรือค่านิยม" ตราบใดที่เรายังเป็นมนุษย์ การทำลายชีวิตมนุษย์ด้วยกัน ถือว่าเป็นสิ่งที่โหดร้ายท่ีสุด
(เรารู้ดีว่า เรื่องที่เราพยายามนำเสนอตลอด 3 วัน อาจดูน่าเบื่อ หรืออ่านไม่เข้าใจ จุดประสงค์ในการเขียนของเรานั้น แค่อยากถ่ายทอดความรู้ และแง่คิดในทางศาสนา ถึงแม้เราและคุณ จะไม่ได้มีความเชื่อ ความศรัทธาในทิศทางเดียวกัน แต่ธรรมชาติก็ทำให้ความแตกต่างนี้ อยู่ร่วมกันอย่าง “สมดุล” ได้เสมอ)
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน