Recent News

Powered by eSnips.com

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

นาทีสุดท้าย


มันเนิ่นนานแค่ไหนแล้วนะ? ที่ต้องอยู่กับ “อารมณ์เศร้า และเหงา” กับทุกสิ่งรอบตัวที่ “ไม่ชัดเจน” ส่งผลให้หัวใจร้อนๆ หนาวๆ ไปกับ “ความไม่แน่นอน” ของชีวิตอยู่นานสองนาน จนเคยสงสัยแล้วถามตัวเองว่า “เราตกอยู่ในอารมณ์อะไร? ต้องการใครสักคนหรือ? อยู่คนเดียวไม่ได้หรือ? แต่ดูเหมือนยิ่งวิ่งตามหา “คำตอบ” ในคำถามที่มีอยู่เต็มหัว ก็เดิน “หลงทาง” ไปจากความเป็นจริงทุกที และทุกที หรือว่าเป็นเพราะเรา “มองผ่าน” ที่จะ “ซึมซับ” ความรู้สึกเล็กๆของใครบางคนที่มีให้เราเสมอมา

จนกระทั่ง “คนบนฟ้า” ได้ส่ง “สัญญาณ” ลงมากระตุ้น ให้นึกถึง คนๆเดิม ที่เราอาจเคย “หลงลืม” จังหวะการหายใจของเขาไปแล้ว เพียงแค่วินาทีเดียวที่เราได้ยินเสียงเขา “น้ำตาแห่งความหวัง” ได้ไหลลงมาอาบแก้มทั้งสอง “ความกลัว ความสับสน ความผิดหวังที่เคยสะสมมา” จบลง และได้ข้อสรุปในวินาทีนั้นโดยทันทีว่า “ความรัก” ที่เราเคยวิ่งตามหานั้น เป็นแค่เพียง “อารมณ์ตื่นเต้นชั่วครู่ ชั่วยาม” เท่านั้น เพราะจริงๆแล้ว “ความรักแท้” นั้นอยู่ใกล้ตัวเรามาตลอด หาได้อยู่ไกลตัวเราไม่ เขาคนนั้น ก็ยังคงอยู่ที่เดิม รู้สึกกับเราเหมือนเดิม เพียงแค่เราไม่เคย “สัมผัส หรือรับรู้” ได้ (อาจเพราะด้วย “ความอคติ” หรือ “การปิดกั้น”)

เขาจะรู้ไหมนะ? แค่เพียง “รอยยิ้มที่แสนธรรมดา (ของเขา)” ก็มี “พลัง” มากพอที่ “เปิดหัวใจ” ของผู้หญิงที่กำลังท้อแท้ และหมดหวังได้เพียงช่วงเสี้ยววินาที, “น้ำเสียงที่อบอุ่น (ของเขา)” ได้กลายเป็น “เชื้อพลัง” อย่างดี ในการ “จุดประกายความสุข ความสดชื่น” ในช่วงที่ชีวิตดูเหมือนมืดมนที่สุด ได้อย่างน่าอัศจรรย์ และ “สัมผัสที่แสนอ่อนโยน (ของเขา)” ขจัดความกลัว กระตุ้นให้หัวใจที่เคยหลับไหล ได้เตรียมพร้อมที่เต้น (อย่างมั่งคง) อีกครั้ง


จนทำให้มีคำถามตามมาว่า “ความรัก” ที่เฝ้า “ตามหา และใฝ่ฝันถึง” ที่ต้องใช้ “พลังกาย แรงใจ และปัจจัยเสี่ยง” ค้นหามาตลอดนั้น จะมีอยู่จริงหรือเปล่า? หรือว่าจริงๆแล้ว เรามีสิ่งนั้นอยู่ข้างๆตัวเราเสมอ เพียงแต่เราไม่เคยเหลียวมอง และให้ความสนใจอย่างจริงๆจังเสียที

อยากให้ “ผู้อ่าน” ทุกคนที่มีโอกาสได้อ่านเรื่องนี้ ได้ “ย้อนคิด ทบทวน” ว่า “ณ วินาทีนี้ของชีวิต คุณได้มองข้ามความรัก(ของใครบางคน) ไปหรือเปล่า?”

ไม่เคยมีคำว่า “สาย” สำหรับ “ความรัก”

ณ วินาทีนี้ คงไม่มี “ความทุกข์ และความกังวลใดๆ” มา “ขัดจังหวะ” ช่วงเวลาที่เราจะมี “กันและกันตลอดไป” ได้อีกแล้ว เชื่อมั่นในความรู้สึกของเรานะคะ

Thanks GOD, I Found You.


ป.ล. ขอบคุณน้องเบียร์สำหรับ comment เมื่อวาน (ยาวมากกว่าไดอารี่พี่อีก)

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
ชื่อเพลง : นาทีสุดท้าย ศิลปิน : อีทีซี (ละคร บุพเพเล่ห์ร้าย)
วันที่เรามีรักให้ใครสักคน ถ้ามันเป็นเพียงความรักข้างเดียวก็คงต้องเสียใจแต่รักเค้าแล้วไม่บอก ไม่ยอมพูดเพียงคำเดียวและปล่อย ปล่อยมันให้สายไป ยิ่งช้ำใจ

* ความในใจของฉันที่มีต่อเธอ มันคือคำว่ารัก รักตั้งแต่วันที่พบกันแต่เหมือนว่าฉันไม่แคร์ไม่เคยสนใจในความรู้สึกของใจเธอเลยสักครั้งอยากให้รู้มันไม่จริง

** แหละในชีวิตของฉันต้องการแค่เพียงคนเดียวคือเธอ ก็คงไม่มีประโยชน์ต้องทนเก็บไว้ในใจ อยากบอกให้เธอได้รู้ฉันจะไม่หนีความจริงจากนี้ไปนาทีสุดท้าย คงยังไม่สายสำหรับเรา
ซ้ำ ( *,** )

เฝ้ารอมานานแสนนาน วันที่กล้าจะบอกเธอไป พูดมาจากใจของฉันว่าฉันรักเธอ.....ซ้ำ ( ** )

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ไม่มีคำว่า "สาย"

หลายครั้ง “การสรรสร้างความรัก”ของพวกเราแต่ละคน เป็นไปอย่างไม่สมบูรณ์ อาจมีผลทำให้ “อีกฝ่าย” ทุกข์ทรมานใจ ร้องไห้ เสียน้ำตา อย่างไม่ได้ตั้งใจ บางคนต้อง “สูญเสีย” ทั้งๆที่ไม่รู้ต้นสาย ปลายเหตุ บางคนอาจจะยังมี “กรรมเก่า”ต่อกันอยู่ จึงทำให้ต้อง “วนเวียน” มาอยู่ใน “วิบากกรรม” เดียวกัน แต่ในความรัก ไม่มีคำว่า “สาย” สำหรับ “คนที่เพิ่งจะมีสติ” เพราะมักจะมี “โอกาส” รอเราอยู่เสมอ

เรื่องราวในวันนี้ เป็นเรื่องของทอมดี้คู่หนึ่ง (“มิ้นท์” ทอมบ้างาน และ “ก้อย” ดี้แสนโรแมนติก) ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ได้เริ่มขึ้นจากความเป็นเพื่อนสนิทในกลุ่มเดียวกัน (แล้ว “ลมก็พัด” ให้ “ความผูกพัน” เล็กๆ เริ่มสะสม และตกตะกอนเป็น “ความรัก” แต่ “เวลา” ก็เป็น “ตัวแปร” สำคัญ ที่ทำให้ “ความรัก” กลับกลายเป็น “ความเคยชิน และหน้าที่”) เขาสม่ำเสมอ ทำหน้าที่แฟนที่ดีได้แค่ปีเดียว เขาก็เริ่มที่จะเบื่อ หมางเมิน และห่างเหินไปจากเธอ เขา “ละเลย” ที่จะเอาใจใส่ความรู้สึก และความต้องการของเธอ สายตาที่เคยมีความอ่อนโยนในความรัก เริ่มลางเลือน จนทำให้มองข้าม “ความหวังดี” ที่เธอ “เติมเต็ม” ให้เขาอย่างสม่ำเสมอในทุกๆวัน หลายครั้งที่เธอต้องมาแอบนอนร้องไห้ เพราะ “คำพูด การกระทำ และความคิด” ของเขา แต่ด้วยความรู้สึกรักที่เธอมีต่อเขา ทำให้เธอมีประคองชีวิตคู่ได้อย่างดี โดยมีความหวังเล็กๆอยู่ในใจเสมอว่า “เขาจะกลับมาเป็นคนดี คนเดิมในสักวัน” (และเพราะความเชื่อนี่แหละ ที่ทำให้คนหลายๆคน ต้องเดินย่ำอยู่กับความทุกข์ใจ เสียใจ และเจ็บปวดเพราะความรัก)

และวันนึง “อุปสรรค” ได้โหมกระหน่ำความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เมื่อ พ่อแม่ของเธอมีความต้องการให้เธอสานต่องานของครอบครัว พวกท่านยื่นคำขาดให้เธอย้ายกลับไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด และด้วยเหตุการณ์นี้ก็เป็น “ชนวน” ให้เขาเริ่มเรียกสติกลับมา และสำรวจตัวเขาเองอย่างจริงๆจังอีกครั้ง เขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่า “เขารักเธอมากแค่ไหน ชีวิตเขาจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรเมื่อขาดเธอ” กว่าที่เขาจะรู้สึกได้ เขาก็ทำร้ายเธอมานานนับปี

สุดท้าย เธอและเขาก็ต้องพรากจากกัน ด้วยระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร โดยมีเพียงคำสัญญาจาก ทอมกลับใจ เช่นเขาว่า “จะดูแลความรักครั้งนี้ให้ดีที่สุด และความห่างไกลจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป หากเพียงใจสองใจ เต้นในจังหวะเดียวกัน เพื่อกันและกัน”

นี่เป็นอีกตัวอย่าง สำหรับใครที่กำลังคิดว่า คนที่คุณกำลังคบอยู่เป็น “ของตาย” ตอนนี้คุณอาจจะยังไม่รู้สึก แต่สักวันเราเชื่อว่า จะมีเหตุการณ์ หรือ เหตุบังเอิญบางอย่างในชีวิต อาจจะทำให้ “ของตาย” ของคุณนั้น ฟื้นคืนชีพและงอกงามอีกครั้งนึง และเมื่อถึงตอนนั้น คุณอาจจะต้องเสียใจเพราะคงไม่มีโอกาสเหลือให้คุณแก้ตัวได้อีก

ขอฝากเรื่องนี้ไว้สำหรับคนทั้งหลาย ที่กำลัง “หยิ่งผยอง” ในความรัก

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Life Is Beautiful


ไดอารี่วันนี้เราขอยก “ความคิดเห็น” อันนึง ที่อ่านแล้วก็ “ยิ้ม และมองเห็นอีกมุมหนึ่งของความรัก” ขอขอบคุณ “ผู้เขียนความคิดเห็น” นี้ด้วยนะคะ


“คนเรามักซุ่มซ่ามกับความสัมพันธ์เสมอ”ผมว่าผู้เขียนสะท้อนมุมมองในแง่ความรักเชิงข้อเท็จจริงได้อย่างดี เพราะชีวิตมันก็เป็นอย่างนั้นเอง มนุษย์เรานี่ก็แปลก .....พอไม่มีก็ไขว่คว้า พอมายืนอยู่ตรงหน้าก็เอ่ยว่า “ไม่ใช่”ผมว่ามนุษย์คิดเป็นคณิตศาสตร์ (Geometric From) เกินไปที่ผมบอกว่าอย่างนั้นเพราะสัตว์ไม่คิดแบบนั้น รูงูจึงคดเคี้ยว รังมดแดงจึงไม่เป็นทรงกลมได้รูป ในเรื่องความรักก็ดี เราปล่อยให้ 1+1=2 หรือ 1-1=0เกาะกุม กัดกินหัวใจเกินไปวันนี้ สมจิตร เลยฆ่าตัวตายเพราะจำเนียรไปมีหญิงอื่นเพราะ 1+1=2 คือมโนภาพที่สมจิตรอยากมีจำเนียรไปตลอดชีวิต เมื่อสุดทาง เธอจึงเลือกที่จะลบตัวเองออกจากสมการหรือแม้กระทั่งตั๋งโต๊ะกับลิโป้ ซึ่งเป็นพ่อลูกกัน รักสุดๆ ก็ฟาดฟันกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งแม่นางเตียวเสี้ยน เหตุอันเกิดจาก ความหลงใหลไปในกามารมณ์อันขาดพื้นฐานความรักยึดเหนี่ยวเพราะหลงใหลไปกับรูป รส กลิ่นเสียง ก็มีเหตุจาก1+1=2ผมว่า 1+1=2 มันคือ กิเลส (โทสะ โมหะ โลภะ) ดีๆนี่เองกลับมาสู่ประเด็นที่ว่าสาเหตุที่จะทำให้คนที่คบหาดูใจกันอยู่ (หมายถึงเพิ่งเริ่มคบในระยะ 3 เดือนแรก) เลิกกันนั้น ผมว่ามันเป็นช่วงที่ต่างคนต่างปรับค่า PH (ความเป็นกรดเป็นด่างของชีวิต) เพื่อให้มาเราทั้งคู่มายืนอยู่ตรงกลางและรับได้มากที่สุด ในความเป็นปัจเจกชนของกันและกัน จำได้ไหมครับประโยคเปิดผมในเบื้องต้น ผมบอกว่า“คนเรามักซุ่มซ่ามกับความสัมพันธ์เสมอ”คนอ่อนแอ.....อย่างที่ผู้เขียนบอก มักใช้ประโยคเหล่านั้นในการหักความสัมพันธ์ที่ดำเนินมาอย่างสวยงามให้สะบั้นลง“ความอ่อนแอ” ทำให้ต้องใจอ่อนยอมให้มือที่สามเข้ายึดผืนแผ่นอธิปไตยที่เราเรียกว่า “หัวใจ” ผมถือเป็นความซุ่มซ่ามอย่าง ไม่น่าให้อภัย (เชื่อเถิดครับ เวลามีใครพร้อมกันสองคน หากต้องเลือก เรามักเลือกผิดเสมอ เชื่อในรักเดียวเถิดครับ พระเจ้าไม่ได้สร้างให้เราอยู๋กันเกินกว่าสองคน มากกว่านั้นหัวใจเกิดการลำเอียงแน่นอน)“ของตาย” ทางวิทยาศาสตร์อาจถือกำหนดจากการมีชีวิต แต่พออนุโลมเอามาใช้ในเรื่องนี้ได้ ความรัก ก็มีชีวิต เมื่อคนสองคนตัดสินใจมาอยู่ด้วยกัน ก็สามารถสร้างโลกได้อีกโลก นั่นคือ โลกของคุณกับเขา และผมเชื่อว่าทุกขณะที่คุณสร้างกัน มันเต็มไปด้วยชีวิต ถ้าในวันนี้คุณซุ่มซ่ามเผลอ คิดว่าโลกนั้นได้สถิตอยู่ถาวร นั่นถือว่าคุณได้ละทิ้งอีกคนกับอดีตไว้ในโลกใบนั้น (คุณคิดหรือว่าในขณะที่คุณหลงระเริงกับกิเลสนอกโลกของความซื่อสัตย์ สิ่งมีชีวิตอีกฝ่าย (ของตายไม่มีในโลกคนที่กำลังหายใจ) เค้าจะไม่ลุกมาทำอะไรหรือ) สุดท้ายโลกของคุณกับเขาก็กลายเป็น “โลกรัก ที่รกร้าง”“เข้ากันไม่ได้” (เป็นประโยคอะไรที่ ซุ่มซ่ามสุดๆ หรือ ห่วยมากๆนั่นเอง) ตั้งคำถามกับตัวเองก่อนสิครับว่า คุณ“ไม่ได้เข้ากัน” หรือเปล่า เคารพในการเป็นปัจเจกชนของกันและกันหรือเปล่า (เรื่องเซ็กซ์ผมขอไม่ออกความเห็นครับ) มันเหตุผลของคนที่ไม่มีการกลั่นกรองทางความคิด (ถ้ามีคนพูดกับคุณแบบนี้ ปล่อยเขาไปเถิดครับ แล้วหันหลังกันถาวร ให้เขาไปและสิ่งเดียวที่ทำได้คือ ตาต่อตาฟันต่อฟัน ใครจะบุญหนักได้คนรักมั่นคงกว่ากัน เพราะในเมื่อเขาไม่ เลือกสิ่งที่ดีให้กับตัวเองแล้วใครจะให้โอกาสเขาครับ)อ่านดีๆนะครับ ผมไม่ได้บอกว่า คนรักกัน จะต้องเห็นพ้องกันซะทุกเรื่อง เพราะถ้าเห็นพ้องกันไปทุกเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องมีอีกคน ....... ยิ่งเรายอมรับความเป็นจริงของชีวิตเท่าไหร่ เรายิ่งเข้าใจและปรับเข้าหากันได้เร็วเท่านั้นขอออกความเห็นไม่หมดทุก Topic นะครับ บางครั้งคงต้องขอเก็บไว้อมยิ้มคนเดียว ความรักออกแบบได้ครับ แต่จะสร้างให้เหมือนแบบได้หรือไม่เป็นอีกเรื่อง ความรัก ต้องมาจากความเข้าใจและเคารพในกันและกันเป็นปฐมเล็กๆน้อยๆค่อยๆเปิดและปรับกันไป ดีกว่าออกแบบ สร้าง และพังครืนลงมาตั้งแต่ยังไม่วางเสาบทส่งท้าย......ขอเป็นแรงใจสำหรับผู้ที่กำลังเริ่มต้นเดินทางกับความรัก(อีกครั้ง) ด้วยความยินดีอย่างบริสุทธิ์ครับ โลกเราเหมือนตลกร้าย แต่ความรักเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเรา ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่ง เราจะเจอคนที่ใช่คนนั้น (ถ้าเจอแล้ว อย่าปล่อยให้โอกาสเหล่านั้นเดินจากไปโดยที่คุณยังไม่ได้ทำอะไรเต็มที่)“Life is beautiful “ครับขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน

เคยไหมคะ เพื่อนๆ เคยรู้สึกหรือเจอกับเหตุการณ์ที่ตัวเองคิดว่า ตัวเองไม่มีค่าบ้างหรือเปล่า เรื่องราวในวันนี้เราจะไม่ทำตัวเป็น “นางฟ้า” เพื่อที่จะชักชวนให้เพื่อนๆมองชีวิตรักในด้านดี แต่เราจะเป็น “นางมารร้าย” เพื่อจะให้เพื่อนๆได้ตื่นและรู้สึกตัวเสียที หลายครั้งที่หนทางการตามหาความรักของพวกคุณ เดินอยู่บนทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป หนทางของความรักของคุณอาจจะเจอคนที่เข้ามา (ทั้งโสดจริง และโสดหลอก, ดีจริง และดีหลอก, คนที่รู้จักตัวเขาเองจริง และตอแหลแม้กับตัวเองได้ตลอด) สาเหตุที่จะทำให้คนที่คบหาดูใจกันอยู่ (หมายถึงเพิ่งเริ่มคบในระยะ 3 เดือนแรก) เลิกกันนั้น ส่วนใหญ่ไม่ใช่เพราะพวกเขาเข้ากันไม่ได้หรอกคะ แต่เป็นเพราะคนใดคนหนึ่งหรืออาจทั้งสองคนอ่อนแอ (ไม่เคยรู้จักตัวเองเลย) ทำให้ความสัมพันธ์ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ (ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า “ล่ม” คนละ meaning กับ “เรือล่มในหนองทองจะไปไหน” นะคะ)


เราขอ share ความหมายของคำต่างๆ ที่เรามักได้ยินบ่อย (ไหนๆก็เขียนไดอารี่แล้ว พวกเพื่อนๆที่รู้จักเรา ก็เลิกถามเราถึงความหมายคำพูดพวกนี้สักทีนะจ๊ะ copy ไว้อ่านเลยเนอะ)

คำว่า “อยากจะมีคู่ชีวิต” กลายเป็น fashion ทางคำพูดไป หลายคนพูดไปโดยไม่ได้ถามตัวเองเลยว่า สัมผัสอะไรได้จากคำยอดฮิตคำนั้น (ไม่พูดซะยังดีกว่านะ เพราะความไม่รู้ของคุณ มันทำให้หลายคนต้องเสียใจและเกือบบ้าไปเพราะมัน เบื่อๆๆๆ พวกคนอ่อนแอจริงๆเลย ใครรู้ตัวว่าเข้มแข็งพอ แล้วอยากจะใช้ชีวิตคู่จริงๆ ก้าวออกมาคะ)

คำว่า “ความสับสน” เป็นความคิดที่มนุษย์เราใช้อธิบายเหตุการณ์ที่พวกเขาต้องการจะหลบเลี่ยงความรู้สึกผิดของตัวเอง (อย่างงี้ คนที่สับสน ก็สามารถไปอยู่ รพ. บ้าได้สิคะ เพราะว่าคนที่สับสนในความรัก ไม่เคยผิดเลย) โยนความเลวให้สมองและอารมณ์ตัวเอง เพื่อทำให้ความบริสุทธิ์ของหัวใจตัวเองยังคงดำรงอยู่ได้

คำว่า “ความอ่อนแอ” หลายคน hit ใช้คำนี้เมื่อเจอโอกาสที่ดีกว่า (โอกาสที่ตัวเองหามาเพิ่มเติมเมื่อเกิดความเบื่อ ขี้เบื่อมาก ระวังจะโดนวางยาเบื่อนะคะ)


คำว่า “ของตาย” ใครบางคนใช้เรียก “คน” ที่เขาคิดว่า รักเขา ไม่ไปไหนจากเขาแน่นอน คนที่คิดแบบนี้ทั้งหลายคะ เคยได้ยินไหมที่ว่า “ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” ช่วยอ่านประโยคนั้นซ้ำหลายๆครั้ง แล้วใช้ความคิดประกอบด้วย เผื่อว่าจะคิดได้บ้าง และย้อนกลับไปสำรวจดูตัวเอง ไม่แน่คุณอาจจะเป็น “ของตาย” ของใครบางคนอยู่นานแล้วก็ได้

คำว่า “คุณดีเกินไป” หลายๆคนอาจจะปลื้มกับคำพูดแบบนี้ จนเมื่อเลิกรากับคนเลว (คนพูดคำนี้) แล้วไม่สามารถไปมีใครใหม่ได้ (ประมาณว่าฉันดีเกินไป ดังนั้นความเป็นดีของฉัน ฉันควรจะทนเป็นคนดีอยู่ในวนเวียนความรักของเธอ ถึงแม้ฉันจะทรมาน และทำให้ในใจฉันจมความทุกข์กับคำว่า “ดีเกินไป” และ “คำถามว่าทำไม?” ได้ในเวลาเดียวกัน ก็ตาม)

คำว่า “เข้ากันไม่ได้” เป็นการเข้ากันไม่ได้จริงๆในทุกๆด้าน ทำให้การคบกันต่อแค่เพียงวันเดียว หรือช่วงเวลาเดียว อาจทำให้ทรมานถึงขั้นตายจากกันได้เลย หาเหตุผลเข้ากันไม่ได้ยกมันมาทุกเรื่อง (ยกเว้นแต่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือ จังหวะ รับ-ส่งในการมีเรื่อง sex ของคนสองคน เพราะดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เข้ากันง่ายที่สุด)

คำว่า “เพิ่งรู้จักใจตัวเอง” เป็นคำที่ใช้ในการบิดเบือนเหตุผลจริงๆของการเลิกกัน (อ้าว แล้วที่ผ่านมาไม่ได้รู้จักใจตัวเองเลยเหรอคะ ที่พร่ำบอกว่า “รักและจะอยู่ด้วยกัน ตราบจนซัดดัมคืนชีพกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ” นั่น ก็ตอแหลทั้งสิ้นซิย่ะ) บางคนพูดคำนี้แล้วชวนให้ “สมเพช” เพราะวัยคนพูดก็เลยวัยเบญจเพศมาแล้ว ย่างเข้าสู่วัยทองแล้วต่อเนื่องไปยังโลงอีกในไม่ช้าแล้ว

คำว่า “รับไม่ได้ (ในสิ่งที่อีกคนหนึ่ง “เป็น”)” เป็นเหมือน “คำตัดสิน หรือคำพิพากษา” ที่ “ผ่า” ลง “กลางใจ” ของผู้รับฟัง ขอถามคนที่เปล่งประโยคนี้ออกมาสักนิด “คุณคิดว่า คุณดีเลิศ ประเสริฐกว่าคนอื่นหรือไง? สิ่งที่คุณเป็นนั้น สร้างความเจริญให้กับโลกมากกว่ามนุษย์เดินดินคนอื่นหรือ?” (คนที่มีจิตใจโน้มเอียงเช่นคุณ สมควรแล้วหรือ? ที่จะเป็น “มนุษย์”)

ระบายอารมณ์ เบื่อ และเซ็งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฮ้อ!!! สบายใจจัง นับตั้งแต่วินาทีนี้ จะสูดความคิดและการมีสติกลับมาตั้งอยู่ตรงกลางใจ ไม่อ่อนไหว หวั่นไหวไป กับอะไรที่มันเป็นแค่ภาพลวงตาของชีวิตแล้ว เพราะบางที “ชีวิต” ก็ไม่ได้ยุ่งเหยิง หรือซับซ้อนเกินกว่าที่เราจะเข้าใจ ว่าไหมคะ?”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

หากเหลียวมอง

ช่วงนี้ คนที่เรารู้จักรอบข้าง มักจะเจอ “มรสุมชีวิตรัก” ระลอกใหญ่ อกหัก ชีวิตคู่พังทลายกันเป็นแถบๆ หลายคนเมื่อ “อกหัก” แล้วก็ “เศร้า” ร้องไห้ทั้งวัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไหน (ขนาดเข้าห้องน้ำท้องเสีย ยังนั่งสะอื้นได้ เชื่อแล้วคะ ว่าขาดเขาไม่ได้ ท้องไส้ยังไม่เป็นใจเลย) “เซื่องซึม” มัวแต่นั่งทำตาลอยไปหาอดีต (เป็นที่น่าสงสารแก่ผู้คนรอบข้างยิ่งนัก) “เมามาย” ดื่ม ดื่ม และก็ดื่ม เพื่อจะได้ลืม ลืม แต่ยังไงก็ไม่ลืม (ยิ่งต้องการจะสลัดภาพของเขาออกไป ภาพและความเจ็บปวดยิ่งตามหลอกหลอนหนักเข้าไปอีก) สุดท้าย “ประชดตัวเอง” ปิดกั้นตัวเองจากความรักรอบตัว อยู่คนเดียว เก็บตัว (ถ้าไม่ได้เขากลับคืนมา ฉันก็จะไม่มีคนใหม่)

“อ้อม” ทอม และ “วาย” ดี้ ทั้งคู่ก้าวเข้าสู่รั้วมหาลัยเป็นปีแรก เธอและเขาอยู่คณะเดียวกัน เขาสะดุดตาเธอ ตั้งแต่วันแรกของการรับน้อง เขาคิดว่า “ผู้หญิงคนนี้ ดูมั่นใจและบุคลิกดีได้ขนาดนี้” ส่วนเธอก็สะดุดใน “ความเงียบ ไม่ค่อยพูดของเขา” ช่วงที่เรียนมหาลัย เธอและเขา มักจะบังเอิญเจอกันบ่อยๆในห้องสมุด (เพราะเขาชอบไปแอบนอนหลับในห้องสมุด ส่วนเธอก็ชอบอ่านหนังสือในห้องสมุด) แต่ทั้งคู่ไม่เคยมองเห็นซึ่งกันและกัน ไม่เคยสังเกตุเห็นซึ่งกันและกัน อาจเพราะ เธอมีแฟนแล้ว เป็นทอม อยู่คนละมหาลัย ส่วนแฟนของเขาก็เป็นดี้ที่อยู่ในมหาลัยเดียวกัน แต่คนละคณะ (เขาเคยเป็นคนที่เธอเคยสนใจ ส่วนเธอก็เป็นคนที่เขาสนใจเช่นเดียวกัน) หลังจากเรียนจบ พวกเขาก็แยกย้ายกันไปทำงาน แต่โชคชะตาก็นำพาให้พวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้ง ณ ผับแห่งหนึ่ง เขาได้มาระบายความเศร้าเนื่องจากอกหัก เขาดื่มอย่างหนัก ส่วนเธอก็เพิ่งอกหักมาเช่นกัน เธอเหงา นอนไม่หลับ อยากจะมาปลดปล่อยอารมณ์เศร้าให้หายไป แวบแรกที่เขาเห็นหน้าเธอ เขาจำเธอได้ทันที เขาเดินเข้าไปทักเธอ ทั้งคู่ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวของกันและกัน หลังจากคืนนั้นเขาทั้งคู่ก็โทรคุยกันตลอด ความประทับใจครั้งแรกของทั้งคู่เริ่มผุดขึ้นมาอีกครั้ง ไม่นานนักความเศร้าจากอาการอกหักก็จางหายไป ทั้งคู่ตัดสินใจคบกันเป็นแฟน ถึง ณ ปัจจุบัน เธอและเขาคบกันได้ 5 ปีแล้ว

บางครั้ง ความรักจะมาถึงก็ต่อเมื่อคนทั้งคู่พร้อมที่จะรับมันเท่านั้น เขาอาจมีความรู้สึกบางอย่างกับเธอ แต่เขาและเธออาจไม่เคยสังเกตเห็นกัน บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาทั้งคู่มัวแต่พัวพันกับคนอื่น เมื่อความสัมพันธ์เหล่านั้นสิ้นสุดลง เขาจึงเริ่มมองเห็นเธอ ถ้าพวกเขาเริ่มคบกันเมื่อหลายปีก่อน บางทีความรักของพวกเขาอาจจะไม่ได้เรื่อง และมีอันต้องเลิกรากัน แต่ตอนนี้พวกเขาได้ไปเรียนรู้ความรักจากคนอื่นมามากเหลือเกิน ทำให้รู้ว่าสิ่งใดที่พวกเขาต้องการจากความรัก ณ ตอนนี้ถึงเวลาที่เหมาะสมของพวกเขาแล้ว (โอกาสในการเริ่มต้นใหม่กับใครสักคนมีอยู่เสมอ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ) คนที่กำลังอกหักอย่าเพิ่งท้อนะคะ ต้องมีคนที่ใช่และเหมาะสมรอคุณอยู่ข้างหน้าแน่นอน อยู่ที่คุณแล้ว ว่าจะเตรียมตัวพร้อมหรือยัง กับการผจญภัยครั้งใหม่ของความรัก

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ตกหลุมรัก

สวัสดีเย็นวันจันทร์ที่การจราจรไม่ติดขัดมากนัก เพื่อนๆ เคยอยู่ในอาการ “ตกหลุมรัก” ไหม จากประสบการณ์ของเรานะ เราว่า หัวใจของมนุษย์ จะเต้นแรง และไม่เป็นจังหวะมากที่สุด 2 ช่วงเวลา ช่วงแรกคือ เวลาเรารู้สึก “ตกหลุมรัก” ใคร อีกช่วงคงเป็นตอนที่เรา “รอคำตอบรับรัก” จากคนที่เรารัก

บางคน เริ่มรู้สึก “ตกหลุมรัก” จากภายนอก เช่น รูปร่าง หน้าตา แต่บางคน เริ่มรู้สึก “ตกหลุมรัก” จากภายใน เช่น ความคิด ลักษณะการพูดคุย หรือ ความอบอุ่นในใจ

“ใบไม้” ดี้ ผู้ที่เดินทางแสวงหาความรักมาตลอด เธอต้องการใครสักคนที่มาเติมเต็มส่วนที่ขาดให้กับเธอ (แน่นอน เราทุกคนต่างต้องการ) วันนึงขณะที่เธอกำลังขับรถผ่านร้านอาหารแห่งหนึ่ง สายตาเธอก็ไปพบกับ “ก๊วย” ทอมเด็กเสริฟ์ในร้าน เธอไม่รอช้ารีบเลี้ยวรถเข้าไปทานข้าวร้านนั้นทันที เขาเดินมาต้อนรับเธอ พร้อมยืนรอรับ order เธอใจเต้นแรงและรัว คำพูดของเขานั้นช่างนุ่มนวล เขาแนะนำอาหารแต่ละอย่างกับเธอ ด้วยรอยยิ้ม อาหารมื้อนั้นเธอไม่สามารถรับรู้ได้ว่ารสชาติอร่อยเพียงไหน เธอรู้แค่เพียงว่า สายตาเธอไม่เคยละไปจากเขา เธอนั่งมองเขาจนร้านเกือบปิด คืนนั้นเธอกลับบ้านไปด้วยอาการหลับฝันดี และทุกเย็นหลังจากนั้น เธอก็จะไปทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งนี้เสมอ (เรียกว่า ไปเพื่อขอเห็นหน้าเขาคนนั้น) เธอทำอย่างนี้อยู่เรื่อยมา จนกระทั่งวันนึง เธอได้รับรู้ว่า เขานั้นมีแฟนแล้ว เป็นเด็กเสริฟ์ด้วยกัน แต่เธอก็ยังยิ้มได้ (ไม่ได้รู้สึกเสียใจเลย แม้แต่น้อย) เธอก็มาทานอาหารร้านนี้ปกติ และก็ยังคงนั่งมองเขาอยู่ทุกวัน อย่างใจจดใจจ่อ หวังเพียงแค่รอยยิ้มเล็กๆจากเขาเพียงเท่านั้น

บางทีการที่เรารู้สึกประทับใจ หรือรักใครสักคน เราอาจจะแค่อยากเห็นแก่ตัว มีเขาเพียงลำพังไว้ในใจคนเดียว โดยไม่เรียกร้องให้เขามาเป็นคนของความเป็นจริง เพราะเพียงแค่ความรู้สึก ก็ทำให้เราอิ่มใจที่สุดแล้ว

ความรัก หรืออาการตกหลุมรัก ที่ไม่สมหวัง หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง แต่ในความคิดของเรา การที่หัวใจของเรายังรู้สึกถึง “ความรัก” (ไม่ว่าจะเป็นรักนั้นจะสมหวังหรือไม่) ก็เป็นตัวบ่งบอกได้แล้วว่า “หัวใจเรานั้น ยังคงเต้นอยู่”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เพราะ "หวังดี"

เรื่องราวในวันนี้ เป็นเรื่องที่มีจุดเริ่มต้นจาก “ความหวังดี” เป็นอีกแง่มุมนึง ของความรู้สึก ที่เกิดจากความพยายามที่จะปลอบใจใครสักคน แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำนั้น กลับสร้างประสบการณ์สอนใจ

เรื่องนี้ เป็นเรื่องเล่าของเลสคนนึง ที่ปัจจุบัน รู้สึกผิดอย่างมากกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น “ฟาง” เลสคิง เวลาว่างเธอก็มักจะคลิกเข้าไปใน Webboard ของเลสล่า เพื่อหาเพื่อนคุยทาง MSN ไปเรื่อยๆ วันนึงเธอได้ไปเจอกระทู้นึงลงว่า “เพิ่งอกหัก อยากหาเพื่อนคุย Add มาที่ E-mail นี้” เธอได้ Add เข้าไป จากบทสนทนา เธอได้รู้จักกับ “เว” ทอม เขาโอดครวญกับเธอว่า “คบกี่คน ก็โดนทิ้ง เศร้ามาก” เธอรับรู้ว่าเขาเป็น “ทอม” แต่เธอไม่ได้บอกกับเขาว่าเธอเป็น “เลส” (เธอเคยเจอประสบการณ์ที่ทอมเกลียดเลส เธอเลยเลือกที่จะปิดบังเขา) เธอพยายามปลอบเขา ทั้งสองคุยกันผ่าน MSN ทุกวัน คุยโทรศัพท์กันบ้าง หลายครั้งที่เขาร้องไห้ เธอก็จะปลอบเขาให้หยุดร้องไห้ เขาเริ่มหลงรักเธอจากการพูดคุย เธอมีมุมมองไม่เหมือนใคร ความรู้สึกดีๆเริ่มก่อตัวในใจเขา แต่สำหรับเธอนั้นเขาเป็นแค่เพื่อนที่ดีเท่านั้น เขานัดเธอออกไปทานข้าว เมื่อเจอกันแล้ว ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกที่มีต่อเธอในทันที (การแต่งตัวของเธอก็เหมือนผู้หญิงปกติทั่วไป) เขาเริ่มปฏิบัติการจีบเธอโดยฉับพลัน เขาเริ่มแสดงออกว่าจะจีบเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด ไม่อยากคุยโทรศัพท์ และไม่อยากนัดเจอเขา เธอชอบเขาแต่ในฐานะเพื่อนเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกรัก เฉกเช่นคู่รักทั่วไป (ก็อย่างที่รู้ เธอเป็นเลส เธอชอบ เลสด้วยกัน ไม่ใช่ทอม) เขานัดเธอออกไปทานข้าวเย็น แล้วเขาก็สารภาพรักกับเธอ เธอตอบปฏิเสธ เขาเริ่มน้ำตาคลอ แล้วร้องไห้ เขาถามเธอว่า “ทำไม” เธอตอบเขาว่า “เธอคิดกับเขาแค่เพื่อน” หลังจากนั้น เธอก็ขอตัวกลับ เธอรับรู้จากเพื่อนของเขาว่า เขาเสียใจมาก เมาหลายวันแล้ว เธอรู้สึกผิด ด้วยความหวังดีของเธอที่จะปลอบเขาจากอาการเสียใจ กลับกลายเป็นเพราะเธอเองที่ทำให้เขาต้องร้องไห้ เรื่องราวนี้กลับกลายเป็นบาปอันแสนสาหัส ที่ทำให้เธอไม่มีวันลืม และเข็ดไปอีกนาน เธอบอกกับเราว่า เธอจะไม่คุยกับทอมอีกแล้ว ไม่ใช่เพราะเธอไม่ชอบทอมหรอกนะ แต่เธอไม่อยากทำร้ายทอมอีก

เธอฝากเรามาบอกทอมคนนั้นด้วยว่า “เธอไม่เคยล้อเล่นกับความรัก เพียงแต่ความรักระหว่างเธอและเขา คงเป็นได้แค่เพื่อน เพราะเธอจะมีความรักได้เฉพาะกับเลสเท่านั้น (สุดท้ายเขาก็ไม่รู้ว่าเธอเป็นเลส)”

เราเข้าใจความรู้สึกของทั้งทอม และเลสนะ บางทีด้วยความรู้สึกที่อยากจะปลอบใจ อยากจะแบ่งปันความรู้สึกดีๆให้ใครสักคนนึง กลับกลายเป็นดาบสองคมที่มาทำร้ายทั้งเขาและเธอ ฝากไว้ด้วยนะคะ ใครที่คิดจะปลอบใจใครสักคน ควรรับรู้และขีดเส้นความสัมพันธ์ไว้ด้วย ช่วงเวลาที่คนเสียใจ เป็นช่วงเวลาที่จิตใจอ่อนแอที่สุด อาจจะเผลอไผลไปกับคำพูดดีๆ ทำให้เกิดเป็นอุบัติเหตุความรักก็เป็นได้

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2551

บาปลิขิต

จากไดอารี่เรื่องเมื่อวาน ไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้ ว่าเราจะเจอ “คนรัก หรือแฟน” ที่แสนดี (ดั่งเทพบุตร) หรือจะแสนเลว (ดั่งสัตว์นรก) เราจะมองและเลือกแฟนจากลักษณะที่ดูดี คำพูดที่แสนหวานและสุภาพไม่ได้ เพราะบางคนสันดานความเลว หยั่งอยู่ลึกซ่อนอยู่ในอณูเม็ดเลือดแดง ดังนั้นถ้าจะตัดสินใจคบกับใครสักคน หรือก่อนที่จะหอบผ้าไปอยู่กับใคร เราควรจะแน่ใจในตัวเขาก่อน มิฉะนั้นอาจจะเสียใจและมีอดีตที่แสนเจ็บปวดติดใจตลอดไปก็ได้

บางคนอาจจะโชคร้ายชั้นที่ 1 เจอแค่การทรยศ
บางคนอาจจะโชคร้าย 2 ชั้น เจอการทรยศ การทำร้ายร่างกาย
บางคนอาจจะโชคร้าย 3 ต่อ เจอการทรยศ ทำร้ายร่างกาย สูญเสียเงินเก็บจนหมดตัว
บางคนอาจอับโชคครั้งใหญ่ในชีวิต เสียทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เงิน การงาน ครอบครัว เพื่อน และเสียสติด้วย

“มะนาว” ดี้หน้าตาธรรมดา อายุ 23 ได้เข้ามาเล่นในห้องแชตเลสล่า และได้รู้จักกับ “ปี่” ทอมแก่ อายุ 37 พวกเขาแลกอีเมล์กัน แล้วก็มาสานสัมพันธ์ต่อกันใน MSN (กามเทพยุคดิจิตอล) คุยกันได้ไม่ถึงเดือน พวกเขาก็ตัดสินใจเจอกัน และตกลงเป็นแฟนกันในที่สุด เขาเป็นคนที่มี่บุคลิกที่สุภาพมาก เขาพาเธอไปเที่ยวฮ่องกง ไปเชียงใหม่ ไปสมุย เป็นคนที่ pay เธอทุกอย่าง พาไปทาน dinner ร้านอาหารดีๆ เธอคิดว่าเธอโชคดีแล้วที่มาเจอเขา ผ่านไป 6 เดือน เธอจับได้ว่าเขามีแฟนอยู่แล้ว เธอเป็นแค่กิ๊กของเขา เมื่อเธอรู้ เธอต่อว่าเขาอย่างแรง ขอเลิกรากับเขาอย่างเป็นทางการ (ใครจะยอมล่ะ เรื่องอื่นยอมได้ แต่เรื่องเป็นที่ 2 นั้น ไม่มีดี้คนไหนยอมได้หรอก) เขาไม่ยอมเลิกกับเธอ เขาเสนอว่า ถ้าอยากเลิกกับเขา ต้องเอาเงินมาให้เขา 3 แสน เนื่องจาก เงินเก็บเขาสูญไปจากการคบกับเธอทั้งหมด 3 แสน ยังไม่รวมหนี้บัตรเครดิตอีกร่วม 5 หมื่น (เที่ยวด้วยกัน กินด้วยกัน ใช้ด้วยกัน แต่ทำไมต้องมาทวงกัน) เขาบอกว่า จะยอมเลิกและไม่ติดต่อกับเธอ ถ้าเธอคืนเงินที่เขาเสียไปให้หมด ถ้าไม่มีจ่ายตอนนี้ ก็ให้เซ็นสัญญากู้ยืมเงินกับเขา ในวงเงิน 3 แสนห้าหมื่น แล้วพอเรียนจบค่อยใช้หนี้เขาก็ได้ ด้วยอารมณ์ตอนนั้นของเธอที่ยังควบคุมสติตัวเองไม่ได้ ไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง คิดอย่างเดียวว่าจะเลิก เธอจึงได้ยอมเซ็นสัญญากู้ยืมเงินฉบับนั้นไป เพื่อหวังจะได้ปัดเขาออกจากชีวิต

หลังจากวันนั้นเมื่อสติเธอกลับมา เธอเริ่มคิดได้ จึงปรึกษาทนายที่เธอรู้จัก แต่ก็สายไปเสียแล้วที่จะทำอะไรได้ เพราะเธอยอมรับสภาพหนี้ และเซ็นเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เธอได้สร้างหนี้ 3 แสนห้าหมื่น ในเวลาเพียง 6 เดือน เพราะเธอหลงคบคนผิด เธอมาคิดได้ทีหลังว่า ทำไมวันนั้นเธอไม่ขอจ่ายแค่ครึ่งเดียว เพราะช่วยกันใช้ ช่วยกันเที่ยว ช่วยกันกิน แล้วทำไมต้องให้เธอที่รับภาระคนเดียว เขาไม่มีความเป็นสุภาพทอมเลย (เลวจริง) แต่คิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้วสำหรับทุกสิ่ง

เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ให้ใครที่จะคบใคร จะเลือกใคร จงมี “สติ” เพราะคงไม่มีใคร อยากจะมีความสุขแค่ช่วงเวลานึง แต่ต้องจมอยู่ในความทุกข์ไปอีกนานหรอก ใช่ไหมคะ?

ดังนั้นจะเลือกคบกับใครสักคนเข้ามาอยู่ร่วมกันเรา ต้องคิดให้ดี มองให้ดี ดูให้ดี อย่าด่วนตัดสินใจ เพราะคนสมัยนี้ สวมหน้ากากเป็นร้อยในคนๆเดียว จนบางทีเขาก็ยัง “งง” ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็น “ตัวอะไร”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน







วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ภาพลวงตา

ช่วงนี้นั่งเขียนงานถึงเช้าเกือบทุกวัน ย้อนไปเมื่อ 3 คืนก่อน เสียงโทรศัพท์มือถือเราดังตั้งแต่ตอนตี 5 น้อง “พิม” โทรมา (เราเพิ่งล้มตัวลงนอนก็ตี 4 แล้ว ใครนะ ช่างไปดลใจให้คุณเธอกดโทรฯมาหาเรา) ตอนแรกเราก็ละเมอคุยว่า “เพิ่งวางหูได้แปปเดียว โทรมาทำไมคะ???.......” แต่ต่อม conscious ก็ต้องกระตุกเมื่อเราได้ยินเสียงผู้หญิง ร้องไห้พรางพูดไปว่า “พี่คะหนูขอโทษที่กวนเวลา แต่หนูมีเรื่องจะปรึกษาจริงๆ แล้วพี่ก็เป็นคนเดียวที่ตื่นเช้าทุกวัน (แต่ไม่ใช่วันนี้นะคะคุณน้อง)” เราตอบว่า “ไหนๆก็ปลุกพี่แล้ว รบกวนน้องช่วยเล่าเรื่องราวให้กระชับ สั้นๆ และได้ใจความด้วยนะคะ (เพราะถ้าเรายืดยาวไป พี่อาจจะหลับได้อีกหลายตื่น)” พิมได้เล่าเรื่องราวต่างๆ เราสรุปได้ใจความ เท่านี้นะคะ (แต่แค่นี้เราก็ว่ามากเกินพอแล้ว สำหรับความไม่แน่นอน และมั่นคงทางด้านจิตใจของทอมคนนึง)

ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน เพื่อนๆในกลุ่มเราตัดสินใจไปงานเลสล่ากระทันหัน ทำให้ไม่ได้โทรจองโต๊ะ ต้องไปอาศัยยืนดักตอน 3 ทุ่ม เผื่อว่าจะมีใครสละโต๊ะ เป็นอันรู้กันในกลุ่มว่าพวกเราชอบโต๊ะหน้าๆเวที เพราะจะได้เห็นการแสดงได้สะดวก และเผื่อฟลุค ได้ตุ๊กตาที่พี่ดี๋โยนมาด้วย (พี่ดี๋คะ ระยะหลังๆนี่ กลุ่มหนูขาด collection ตุ๊กตาพี่ไปนะคะ) วันนั้นเราได้รู้จักพิม (ดี้) ใจดีที่ให้ share โต๊ะของเธอกับกลุ่มเรา เธอจองโต๊ะไว้ 6 ที่ แต่เพื่อนๆของเธอที่นัดไว้ไม่มา ทำให้เธอนั่งคนเดียว (มีกลุ่มพี่ไป น้องพิมไม่เหงาแล้วแน่) วันนั้นเพื่อนเราไปกันเป็นคู่ๆทำให้เราออกจะเหงา ประกอบกับเราไม่ได้ทานข้าวเย็นมา เมื่อท้องเริ่มหิว เราเลยชวนเธอเดินไป 7 eleven กันสองคน พอเดินออกไปจากร้าน น้ำตาเธอก็ไหล พรางบอกว่า “พี่คะ หนูเจ็บปวดหรือเกิน” (เฮ้ย พี่ยังไม่ได้ทำอะไรหนูเลยนะ พี่เข้าใจว่าพี่มีแรงดึงดูดดี้มาก แต่พี่ไม่ได้คิดแบบนั้นกับหนูนะ) เราเลยถามน้องว่า “มีอะไรเล่าให้พี่ฟังก็ได้นะ พี่รับฟังได้ทุกเรื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่าพี่จะแก้ปัญหาได้ทุกเรื่องนะ” พิมเล่าว่า “วันนี้ที่เธอตัดสินใจมางานก็เพราะว่าเธอได้ chat msn กับทอมคนหนึ่ง (เขาและเธอยังไม่เคยได้เห็นหน้าซึ่งกันและกัน จะมาเปิดเผยหน้ากันในงานเลสล่า) “Blind Date” ว่างั้นเถอะน้อง เธอว่า “เขาอาจจะมาแล้ว เห็นเธอแล้วรับไม่ได้ คงหนีกลับบ้านไม่เข้ามาทักพิมแล้ว เพราะเขาคงรับที่พิมหุ่นไม่ดี ไม่น่ารัก เหมือนสาวๆคนอื่นๆ เธอบอกว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เธอเปิดตัวในงานเลสล่า ปกติเธอ chat แล้วเธอจะส่งรูปไป ทอมส่วนใหญ่จะเลิกติดต่อกับเธอ เธอเข้าใจดีว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่สวย แค่เป็นผู้หญิงที่รอความเมตตา จากบรรดาทอมๆทั้งหลายที่ไม่ได้มองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก” (มันจะมีทอมแบบนั้นหรือเปล่า พี่ว่าคงยากนะน้อง) เอาล่ะ แต่คืนนั้นอย่างน้อยเราและเพื่อนๆของเราก็ทำให้น้องพิมมีรอยยิ้มได้

ร่ายยาวไปหน่อย มาเข้าเรื่องที่เธอโทรมาระบายกับเราเมื่อเช้าดีกว่า เธอมีปมอยู่ในใจเกี่ยวกับความไม่น่ารักของเธอ (พี่ก็ไม่เห็นว่าหนูจะหน้าเกลียดตรงไหน แค่อ้วนๆ เตี้ยไปนิด ผิวคล้ำไปหน่อยก็เท่านั้น แต่ในดวงตาหนูแฝงด้วยความจริงใจที่เต็มเปี่ยมนะ พี่ว่า) เมื่อเช้าเธอเล่าว่า “ตั้งแต่วันนั้นที่เราเจอเธอในงานเลสล่า เธอก็เข็ดทอมไปนาน จนกระทั่งเธอได้มีโอกาสคุยกับทอมคนหนึ่ง “พี่ต่าย” (ถ้าเราฟังชื่อไม่ผิดนะ) ทาง msn เขาพร่ำบอกเธอเสมอว่า “เขามองหาใครสักคนที่จะมาดูแลกันและกันให้นานที่สุด เขาไม่ชอบผู้หญิงสวย เพราะผู้หญิงสวยมักจะทำร้ายเขา (เขาผ่านการอกหักมามาก ว่างั้นเถอะ) เขายอมรับได้ที่เธอเป็นเธอ ไม่ว่าเธอจะหน้าตาหรือรูปร่างเป็นอย่างไร (มีทอมประเสริฐยังงี้ด้วยเรอะ คงอาจจะมีมั้งหรือว่าไม่???)” เธอจึงเชื่อคำพูดที่เหมือนจะจริงของเขา ด้วยความเชื่อในคำพูดเขา เธอจึงดำเนินความสัมพันธ์กันลึกลงไป จนกระทั่ง เขาขอนัดเจอเธอ ก่อนนัดเจอ เธอได้บอกให้รู้ว่า “เธอไม่น่ารัก ไม่สวยนะ” เขารับฟังและไม่ได้ว่าอะไร (เราขอออกความคิดเห็นว่า เขาคงจะคาดไม่ถึง หรือไม่ก็อ่อนแอเกินไป ที่จะยอมรับความจริงในใจว่าตัวเองก็หลงในปัจจัยภายนอกมากกว่าจิตใจ ประเภท “ทอมสร้างภาพ”) เมื่อเขาได้เจอเธอ เขาก็เริ่มแสดงอาการรับไม่ได้ ออกท่าทางรังเกียจให้เห็น (อย่างทุเรศที่สุด) ก่อนกลับเขาได้พูดกับเธอว่า “เราคงคบกันไม่ได้ (อ้าว ไหงงั้นล่ะ) เขาไม่เคยมีแฟนที่ดูไม่ดีขนาดนี้ เขาอยากเป็นพี่เป็นน้องกับเธอมากกว่า” เธอเสียใจมาก (อีกแล้วเรอะ) ไม่คิดว่าการที่เธอจะไว้ใจทอมอีกครั้ง จะทำให้เธอทรมานแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก “ทำไมนะ ถ้าเขารับไม่ได้ ทำไมไม่บอกกันตั้งแต่ตอนคุยกัน มาทำเป็นจิตใจดี สร้างภาพว่า รับได้ทุกอย่าง ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง ทำไม???”

ในที่สุด เขาก็ได้ฝากคำถามว่า “ทำไม??????” ลงในสมองของเธออีกครั้ง สำหรับความรักครั้งนี้เธอก็คงต้องเจ็บไปอีก (เจ็บซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเดิมแหละน้อง ไม่ใช่ว่าหนูไม่ดีนะ แต่เพราะว่าทอมพวกนั้นตาไม่ถึงต่างหาก รอพี่นะ เมื่อพี่อายุ 30 แล้วพี่ไม่มีใคร ไม่มีทอมที่ไหนเอาพี่ พี่จะตัดสินใจเปลี่ยนเป็นทอมซะเองเลย แล้วคบกับหนู พี่คิดว่าด้วยมั่นคงทางจิตใจและความจริงใจของพี่ คงจะทำให้หัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักของหนู มีรอยยิ้มขึ้นได้บ้าง) ระหว่างรอพี่ ก็ค้นหาต่อไปนะน้อง เผื่อจะเจอคนที่ใช่ในสักวัน ต้องมีสิ อย่างน้อยก็สักคนบนโลกใบนี้ ที่จะไม่มองเพียงภายนอก

เรื่องราวในวันนี้อาจยาวไปสักนิด แต่พวกเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า มีทอมบางคนหรือดี้บางคนที่ไม่รู้จักตัวเอง แล้วอาจเผลอใจทำร้ายใครอีกหลายๆคน ด้วยความคาดไม่ถึงของพวกเขา เราเชื่อว่า มีทั้งทอมและดี้อีกหลายคนที่ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกับพิม ไม่ใช่ว่าพวกคุณไม่สวย ไม่น่ารัก ไม่เด่นหรอกนะคะ แต่เพราะคนที่คนมองพวกคุณ ไม่ได้ใช้สมองในการมองพวกคุณต่างหาก ใช้แค่สายตา (ซึ่งหลายครั้งมันก็แสดงภาพลวงตา)

“การค้นหาและการรอคอย” อาจเรียกได้ว่า เป็นกิจวัตรของพวกคุณ แต่อย่าเพิ่งท้อนะคะ เพราะต้องมีคนที่ใช่รอพวกคุณอยู่ ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา มีกำลังใจและก้าวต่อไปด้วยรอยยิ้ม แล้วคุณจะพบคุณค่าในตัวของคุณเอง ทำให้มันฉายแสงออกมา ด้วยการรักตัวเอง อย่าทรมานตัวเองด้วยคำว่าผิดหวังและเศร้าใจเลย (จำไว้นะ มีแต่พวกคนอ่อนแอเท่านั้นที่ไม่เห็นค่าของพวกคุณ อาจเพราะเขาไม่คู่ควร) ยิ้มไว้นะ แล้วความรักจะมาเคาะประตูบ้านคุณในสักวัน เคลียร์ตัวเองให้พร้อม ความหวังยังมีเสมอสำหรับคนที่ตื่นรอ

ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ชีวิต เปรียบดัง สวนสนุก

ย้ายมาเขียนไดอารี่ ณ ที่แห่งนี้ ก็ถือโอกาสนี้ เคลียร์สมอง เคลียร์จิตใจ และเคลียร์อารมณ์ เนื่องจากที่ผ่านมา ต้องยอมรับเลยว่า “วิบากกรรม” ได้วนเวียนมาหาเราเป็น “ระลอก” เหมือนคลื่นที่คอยพัดเข้าหาฝั่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” เราเลยถือโอกาส “ตัดผม” (ตัดความทุกข์ ความเศร้า ความเหงา และวิบากกรรมทั้งหลายออกจากตัวเสียที) ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ที่ผ่านมานั้น จะ “แบกรับ” และ “ทุกข์ใจ” ไปกับสิ่งไร้สาระพวกนั้น ไปเพื่ออะไร? ในเมื่อ คิดคนเดียว ทุกข์คนเดียว ร้อนรนคนเดียว สุดท้ายก็ต้องกลายเป็น “คนบ้า” ไปเพียงคนเดียว (คนอื่นๆ หาได้มามีส่วนร่วมไม่)

บางที “ชีวิต” ก็อาจดูคล้ายกับการไปผจญภัยใน “สวนสนุก” หลายครั้งที่เราอาจจำเป็นต้องเลือกเล่นเครื่องเล่นโดยที่เราอาจสมัครใจหรือไม่ก็ตาม ซึ่งแต่ละเครื่องเล่นนั้น ก็จะมี ระดับการทำให้อ๊วกแตกต่างกันไป บางเครื่องเล่น ก็เสียววูบเดียวแล้วอ๊วก บางเครื่องเล่นก็เสียวเป็นห้วงๆ เสียวค้างๆ คาๆ ไปอยู่อย่างนั้น สร้างความปั่นป่วนให้กับท้องไส้เป็นที่สุด ยกตัวอย่างเช่น “เฮอริเคน” จะหมุนไปสัก 10 รอบทีเดียวและหยุดก็ไม่ได้ ต้องมี ม้วนหน้า ม้วนหลัง เกลียวหน้า เกลียวหลัง แล้วก็ค้างไว้ (จะหยุดค้างไปเพื่อ?) จะหมุนให้จบม้วนเดียวไปเลยก็ไม่ได้ ต้องกระชากอารมณ์คนเล่นให้ร้อง กริ๊ดๆๆๆๆ (เหมือนคนบ้า) ได้นานสองนาน

ถ้าจะเปรียบชีวิตรัก กับการเล่นเฮอริเคน ก็เรียกได้ว่า เป็นการเปรียบเทียบที่ค่อนข้างเห็นภาพ เพราะหลายคนทั้งๆที่รู้ว่า “เฮอริเคน” นั้นเป็นเครื่องเล่นที่ชวนให้เสียว และอ๊วก แต่หลายๆคนก็ยอมที่จะยืนต่อแถวกลางแดดเป็นร้อยเมตรเพื่อให้ได้ประสบภาวะเช่นนั้น เปรียบได้กับหลายคนเข้าใจว่า “มีรักย่อมมีทุกข์” แต่ดูเหมือนพวกเขาก็จะเต็มใจที่จะเดินเข้าไปค้นหาประสบการณ์ความทุกข์เสียเหลือเกิน

หลายคนอาจมองว่า “ความรัก คือ การท้าทาย” แต่ในแง่คิดของเรา เราว่า “การประคอง และรักษาความรักไว้นั้น คือ การท้าทายยิ่งกว่า”

เพื่อนๆเห็นด้วยไหมคะ ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ประชดรัก

ไดอารี่วันนี้ เป็นไดอารี่เก่า (ที่เราเคยเขียนและลงไว้ใน Diary ของ Lesla.com)


เคยมีคนบอกว่า “มีรัก” ก็ต้อง “มีทุกข์” เพราะ “รักและทุกข์” มาพร้อมกันเป็น “package คู่” ใครที่ยังโสด (เพราะยังหาแฟนไม่ได้ หรือไม่มีใครเอา) เป็นโชคดีของคุณแล้ว ที่คุณไม่ต้องหนาวๆร้อนเพราะความรัก (แต่อาจจะเฉาตายเพราะความเหงา) คู่รักหลายคู่ได้ผจญภัยมาอย่างโชกโชน ไม่ว่าจะอุปสรรคแบบพิศดารขนาดไหน ก็ต้องฝ่าไปให้ได้ เพื่อที่จะไปให้ถึงยังเป้าหมาย (ไม่มีใครรู้ว่าเป้าหมายและบทสรุปของความรักเป็นเช่นไร แต่ดูทุกคนจะทุ่มเท Fight For Love กันซะเหลือเกิน) เมื่อเย็นวานฝนและลมกระหน่ำ กรุงเทพฯ ทำให้การจราจรแทบทุกเส้นทางเป็นอัมพาต จากที่เราเคยขับบนทางด่วน ด้วยความเร็ว 120-130 กม./ชม. ต้องลดลงเหลือ 10-20 กม./ชม. เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาทั้งคนเขียน (เรา) และคนอ่าน (พวกคุณ) เริ่มเรื่องกันเลยดีกว่า

การที่ “ทอม” และ “ดี้” ตัดสินใจคบกันนั้น เป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่าย แค่ click กันก็คบกัน แต่การที่จะผยุงชีวิตรักให้อยู่ยั่งยืนและยืนยาวนั่นสิ ยากเสียกว่าการขอใครสักคนเป็นแฟนซะอีก (ว่าไหม?) “กิ่ง” ดี้วัย 36 คบกับ “ปราง” ทอมวัย 32 มาได้ 6 ปีแล้ว ทั้งคู่ ช่วยกันทำงานเก็บเงินจนซื้อคอนโดได้ห้องหนึ่งแถวมีนบุรี เธอและเขามีความรักเรียบง่าย เธอไม่เคยคิดหรือเฉลียวใจ (คิดระวังตัวบ้างก็ดีนะคะ ทอมสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน) เลยว่าเขาจะเจ้าชู้ หรือไปมีกิ๊กที่ไหน ด้วยความไว้ใจและมั่นใจ (รับประกันด้วยระยะเวลาที่คบหากันถึง 6 ปี) เธอไม่เคยรู้เลยว่า เขาได้มีกิ๊กซึ่งคบกันมาเกือบ 4 ปีแล้วอีกคน (เขาและกิ๊กทำงานที่เดียวกัน) ก็อย่างที่ใครๆพูด “ความลับไม่มีในโลก” มีเพื่อนร่วมงานของเธอคนใหม่ ย้ายมาจากตึกที่เขาทำงานอยู่ เพื่อนคนนี้เป็นหญิงปกติ เลยค่อนข้างจะตื่นเต้นเมื่อได้รู้จักกับเธอที่เป็นดี้ เพื่อน (ผู้ปากมากคนนี้) ได้เล่าให้ฟังว่าที่ทำงานเก่า มีทอมดี้คู่นึง (เขาและกิ๊ก) รักกันมากเลย เธอถามเพื่อนว่าทอมคนนั้นชื่อ ปราง ใช่ไหม? เพื่อนตอบว่า “ใช่” เธอตัวร้อนวูบวาบ น้ำย่อยดูจะโครกครากในท้อง ความดันเริ่มกระโดดโลดเต้นจังหวะ Rock เธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เธอได้ยิน เย็นวันนั้นหลังเลิกงาน เธอรีบกลับมาที่ห้อง เพื่อที่จะค้นหาความจริง แต่เมื่อมาถึงห้อง เขาได้เขียน note แปะ ไว้หน้าตู้เย็นว่า “คืนนี้จะไปนอนกับแม่นะ ไม่กลับห้อง ป๋ารักม๋านะ” เธอไม่รอช้า จากที่ไม่เคยโทรเช็คที่บ้านเขา เธอโทรไป แม่เขารับบอกว่า “ปรางไม่ได้มาค้างด้วยหลายปีแล้ว” เธอนั่งทรุดลงกับพื้น เพราะสิ่งที่เธอประสบก็คือ เขาขอไปนอนกับแม่เขาอาทิตย์ละ 2 คืนมาหลายปีแล้ว เธอเดินไป เดินมา มือกำโทรฯมือถือไว้แน่น ไม่รู้จะทำอะไรก่อน ควรจะโทรไปหาเขาดีไหม? หรือว่าทำเป็นไม่รู้ดี? จะไปตามเขาได้ที่ไหน? คิดมากไปเองไหม? หลายคำถามประดังเข้ามาในหัวเธอ สุดท้ายอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เธอตัดสินใจ โทรหาเขา เขารับสายและพูดว่า “โทรมาทำไม รู้ไหม เพราะเสียงโทรฯแม่ตื่นเลย แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวแม่ดุเอา” เธอบอกเขาว่า “ม๋ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ทำไมป๋าทำกับม๋าแบบนี้” เขาตอบว่า “รู้จากไหน รู้อะไร” เธอบอกว่า “ถึงเวลาพูดความจริงกันแล้วนะ ป๋า” และมีเสียงผู้หญิงคนนึงบอกว่า “ที่รักบอกเมียแก่ของคุณที่ห้องไปสิคะ ว่าเรารักกัน รักกันมานานเกือบ 4 ปีแล้วด้วย ที่คุณยังไม่ทิ้งหล่อนเพราะว่าสงสารหล่อน” เมื่อเธอได้ฟังแบบนั้น น้ำตาเธอหยุดไหล ร่างกายเธอชา เธอถามเขาว่า “ตกลงตอนนี้ม๋ากับป๋ายังรักกันอยู่ไหม เราคบกันอยู่ไหม เพราะอะไรป๋าถึงทำกับม๋าแบบนี้ ม๋าทำผิดอะไร” เขาหยุดไปครู่นึงก่อนจะตอบว่า “ฉันเคยรักคุณ แต่ระยะหลังมานี่ ฉันไม่แน่ใจในความรู้สึกตัวเอง แต่พอฉันมาเจอ “เอ๋” (กิ๊ก) ทำให้ฉันรู้ว่าฉันรักใคร ฉันรักเอ๋ได้ยินไหม ไม่ต้องโทรมาอีก พรุ่งนี้ฉันจะไปเก็บของออกมา แล้วเราจะขายคอนโดและแบ่งเงินกัน ดีแล้วที่รู้เรื่องจะได้ไม่ต้องอธิบายให้มากความ” เขาตัดสายทิ้ง เธอวิ่งไปห้องน้ำ ไปมองกระจก มองหน้าตัวเอง และคิดในใจว่า “นี่ฉันโง่ขนาดนี้เลยเรอะ ฉันไม่มีค่าขนาดนี้เลยเรอะ คนอย่างฉันไม่สมควรจะอยู่บนโลกนี้อีก” คิดได้ดังนั้น เธอไม่รอช้า (ไม่คิดจะทบทวนหรือทำอะไรทั้งนั้น) แค่ความคิดชั่ววูบ เธอตัดสินอนาคตของเธอด้วย “ความตาย” เธอวิ่งไปที่ระเบียง และกระโดดลงมาจากคอนโด (ชั้นที่เธออยู่ชั้น 5) เรือนร่างเธอกระแทกที่พื้น เธอไม่รู้สึกอะไรอีกเลย จนกระทั่งฟื้นได้สติจาก รพ. หมอบอกว่า โชคดีนะคะที่คุณยังไม่ตาย เพียงแต่ว่า คุณเดินไม่ได้ตลอดชีวิต เพราะกระดูกที่ขาคุณแตกละเอียด คำพูดของหมอวันนั้นยังก้องอยู่ในหัวเธอ ตอนนี้เธอคงนั่งอยู่หน้าระเบียงตึกใดตึกหนึ่งของกรุงเทพ เฝ้าคิดเสียใจ และทบทวน สิ่งที่เธอได้ทำพลาดไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบของตัวเอง เพียงแค่คิดที่จะประชดใครคนนึง (โดยที่เขาคนนั้น อาจจะไม่มีค่าพอ ที่จะได้รับความรักที่บริสุทธิ์จากเธอก็ได้)

สำหรับ “ปราง” ทอมชั้นสวะ เช่นคุณ โชคดีแค่ไหนแล้ว ที่มีดี้คนนึงอุทิศชีวิต และความโง่งมงายให้ อย่าหลงระเริงเลย เวรกรรมมันติดจรวดนะ

สำหรับ “กิ่ง” อะไรที่พลาดมาแล้ว ปล่อยมันไป อย่าคิดมากนะ ชีวิตต้องก้าวต่อไป อย่างน้อย สิ่งที่มาทดแทน ขา 2 ข้างที่กิ่งเสียไปคือ ในที่เข้มแข็ง ขอบคุณนะ ที่แบ่งปันเรื่องราวกับเรา

สำหรับ คนที่อ่านไดเราในวันนี้ เราเขียนไดเพื่อให้คุณอ่านแล้วซึมซับเพื่อว่าคุณจะได้มีภูมิคุ้มกันทางความคิดได้ดี แต่ถ้าคนที่คิดจะทำร้ายตัวเอง อ่านแล้วยังไม่ได้ข้อคิด ไม่ได้ทางสว่าง จะทำร้ายตัวเองยังไง จะฆ่าตัวตาย หรือทำอะไร ก็ขอให้ตายสนิทนะ อย่าอยู่รอดมาเป็นภาระของสังคมอีกเลย

ด้วยอารมณ์เพียงชั่ววูบ สามารถทำให้อนาคตมือดับพังทลายลงได้
อนาคตของคนบางคน
จบลงที่ความอยากจะประชดประชันในบุคคลที่เขาไม่เคยเห็นค่าเรา
อนาคตของคนบางคน
จบลงด้วยการใช้ชีวิตอย่างประมาท
อนาคตของคนบางคน
จบลงด้วยความอยากจะเอาชนะ และวัดใจใครสักคน
แต่เมื่อเราก้าวพลาดไปแล้ว เราต้องเสียใจไปชั่วชีวิต
อนาคตอยู่ในมือของเรา อย่าปล่อยให้ดับสูญไปด้วยมือของเรา
ขอให้เพื่อนๆได้คิดอยู่เสมอว่า
“บนหนทางไกล ก้าวแต่ละก้าวมีค่าเสมอ เผลอไผลเพียงครั้งคราว อาจเจ็บร้าวไปชั่วชีวิต”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ไดอารี่หน้าแรก

เริ่มต้นเขียนไดอารี่ใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ได้ห่างหายจากการเขียนไดอารี่ไปนานพอสมควร วันนี้เป็นฤกษ์ดีอีกครั้งที่จะเปิดตัวไดอารี่อีกครั้งนึง ใน Blog แห่งนี้ไดอารี่ของเรานั้น หาใช่! เป็นเรื่องราวที่บรรยายถึง activity ที่แสนจะ hyper แต่ละวันของเราแต่อย่างใด แต่เป็น "การแบ่งปันประสบการณ์" จาก "เรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง" ในชีวิตของ "ทอม ดี้ เลส และชาว ญ รัก ญ"
ขอฝาก "งานเขียน" ที่แสนจะธรรมดา (บ้านๆ) นี้ ไว้ให้เพื่อนๆได้อ่านกันด้วยนะคะ (ไม่ว่าคุณจะอ่านเพื่อความบันเทิง หรือแค่ "ฆ่า" เวลาก็ตาม) เราเชื่อว่า คงจะมีสักเรื่องราวที่จะสามารถ "สะกิด" และ "กระตุ้น" บางอย่างในตัวคุณ ให้ตื่นตัวขึ้นมาได้ ไม่มากก็น้อย
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน