Recent News

Powered by eSnips.com

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เพลงขอบคุณที่รักกัน

วันนี้เป็น "วันพุธรับเถ้า" เป็นวันเร่ิมต้นของ "เทศกาลมหาพรต" ซึ่งกิจกรรมในวันนี้ของหนู เหนื่อยมากเลย ต้องตื่นตั้งแต่เช้า และไปอีกหลายๆที่  กว่าจะได้กลับมาบ้าน ก็สามทุ่มเข้าไปแล้ว กลับมาถึงก็รีบอาบน้ำ และก็มานั่่งเคลียร์อะไรอีกหลายๆอย่างหน้าคอม 


วันนี้หนูตั้้งใจว่า จะไม่เขียนไดอารี่ แต่ขณะที่นั่งทำโน่นทำนี่ไปนั่น เพลง ขอบคุณที่รักกัน เพลงนี้ก็ดังขึ้น หนูฟังไปพลางยิ้มไป ตอนแรกว่าจะส่ง sms เนื้อเพลงนี้ไปให้คุณ แต่เนื่องจากเป็น เพลงภาษาไทย และกว่าหนูจะกด sms เพลงนี้จบ (ด้วยโทรศัพท์เครื่องนี้) กว่าจะพิมพ์เสร็จ ก็คงจะตี 2 แล้วแน่นอน ดังนั้น เขียนไดอารี่ดีกว่า คุณจะได้อ่านจาก จอใหญ่ (จะได้ไม่ปวดตานะคะ)



เพลง ขอบคุณที่รักกัน


ฉันเคยเกือบพลาดสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต

หากในวันที่ฉันล้มอยู่ ไม่มีหนึ่งใจของเธอ

ฝันคงจบ หลายสิ่งที่ดีคงหมดทางได้เจอ

หนึ่งกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ไม่ลืมได้เลย...


ขอบคุณที่รักกัน...

ขอบคุณทุกครั้งที่คอยกอดฉัน

ในวันที่ปัญหา ถาโถมเข้ามาใส่

จะตอบแทนความรัก ที่ฉันได้จากเธออย่างไร

ก็รู้ดีว่าไม่พอ แต่ขอทำให้ดีที่สุด


สักวันหนึ่งฉันอาจต้องล้มลงอีก ใครจะรู้

แต่ถ้าเธอไปด้วยกันอยู่ ก็ไม่หวั่นกลัวเท่าไร

เรื่องบางอย่าง ฉันอาจได้เคยพูดบอกเธอออกไป

แต่อีกมุมนึงของหัวใจ ไม่เคยพูดเลย


ขอบคุณที่รักกัน...

ขอบคุณทุกครั้งที่คอยกอดฉัน

ในวันที่ปัญหา ถาโถมเข้ามาใส่

จะตอบแทนความรัก ที่ฉันได้จากเธออย่างไร

ก็รู้ดีว่าไม่พอ แต่ขอทำให้ดีที่สุด


ขอบคุณที่รักกัน...

ขอบคุณทุกครั้งที่คอยกอดฉัน

ในวันที่ปัญหา ถาโถมเข้ามาใส่

จะตอบแทนความรัก ที่ฉันได้จากเธออย่างไร

ก็รู้ดีว่าไม่พอ แต่ขอทำให้ดีที่สุด


ขอบคุณในความรัก ที่หาไม่ได้จากที่ไหน

จะรักเธอให้มากพอ และขอทำให้ดีที่สุด.


คืนนี้หนูรอนอนพร้อมคุณนะคะ ขอบคุณที่รักหนูนะคะ ต่อจากนี้ไป หัวใจของหนู จะมีรอยยิ้มในทุกๆวัน ด้วยความรักของคุณ


ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน


วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อย่า...ก่อนนอน!!!

อย่า..................ก่อนนอน?!

อย่าที่ 1 อย่านอนหลับไปทั้งๆที่ยังใส่นาฬิกาข้อมือ เพราะนาฬิกาจะปล่อยพลังงานออกมา ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

อย่าที่ 2 อย่านอนหลับไปพร้อมกับโทรศัพท์มือถือ ไม่ใช่แค่คุยเพลินจนหลับคามือถือเท่านั้นนะ แต่ยังไม่ควรวางไว้ใกล้ๆตัวอีกด้วย เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า “มือถือจะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องทิ้งไว้ ซึ่งจะมีผลต่อระบบประสาท เพราะฉะนั้นอย่าลืมปิดมือถือก่อนนอนนะจ๊ะ” (เหตุผลนี้เป็นข้ออ้างที่ดี เวลาไปหลับนอนกับบรรดากิ๊กๆทั้งหลาย)

อย่าที่ 3 อย่าหลับพร้อมเครื่องสำอางบนใบหน้า ไม่ว่าจะเหนื่อยขนาดไหน ก็ต้องแข็งใจล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนนอน เพราะจะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว ให้เวลาผิวพักผ่อนและหายใจบ้าง

อย่าที่ 4 อย่านอนหลับทั้งๆที่ยังใส่ "ยกทรง" นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันค้นพบว่า ใส่ยกทรงนานเกินกว่า 12 ชั่วโมงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งทรวงอกได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องใส่แหละดีแล้ว (ทั้งคุณทอมวันเวย์ด้วยนะคะ ขอดี้ล้วงๆ จับๆหน่อย คงไม่เป็นไรใช่ป่ะ?)

อย่าที่ 5 อย่านอนกับสามีหรือภรรยาของคนอื่น เพราะคุณอาจจะไม่ตื่นอีกเลยก็ได้ (แต่ถ้าคืนนี้เขาตกเป็นสามี หรือภรรยาของเราแล้ว ก็ถือว่า “หยวนๆ”)

อย่าที่ 6 อย่ามีเรื่องบาดหมางหรือโกรธเคือง กับคนรอบข้าง โดยเฉพาะคู่รักก่อนนอน (เพราะเพียงชั่วข้ามคืน เขาหรือเธออาจมีคนใหม่ได้)

อย่าที่ 7 อย่านอนถ้าอารมณ์ทางเพศคุณยังค้างอยู่ เพราะอาจทำให้คุณหงุดหงิดใจระยะยาว และอาจส่งผลให้เกิดปฏิบัติการ “สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง” ได้

อย่าที่ 8 อย่าลืมล้าง “น้องหนู” ทุกครั้งก่อนนอน เพราะ “น้องหนู” นี่แหละ ตัวสะสมเชื้อโรคเลย (ล้างทำความสะอาดแล้ว อย่าลืมเช็ดให้แห้ง และโรยแป้งเด็กด้วยนะคะ)

อย่าที่ 9 อย่าลืมที่จะบอก “รัก” คนข้างๆ ก่อนนอน

อย่าที่ 10 และแน่นอนก่อนนอนในทุกๆคืน “อย่าลืมยิ้มให้กับตัวคุณเอง”

ถึงคุณ Bless you

หนูไม่ต้องการสิ่งใดไปมากกว่า ช่วงเวลาดีๆที่เรามีกันในทุกๆวัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้วจริงๆ ขอบคุณนะคะคนดี

จากหนู In you

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Owner of my heart

“อุบัติเหตุ เกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาเสมอ แม้ว่า ตัวเราเองจะมีสติในทุกๆวินาทีก็ตาม” อย่างเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว น้องสาวเราก็ประสบอุบัติเหตุ “หกล้ม” ทำให้ข้อศอกแขนขวาเลื่อน และต้องใส่เฝือกตั้ง 3 อาทิตย์ ทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ แม้กระทั่งอาบน้ำ เท่าที่เราสังเกตุ น้องสาวเรา “จิตตก” กับสภาพนี้มากมาย เรามานั่งย้อนคิดดู ถ้าเราต้องเป็นแบบเขา เราคงจะ “ขาดใจ” แน่เลย เนื่องด้วย “ความ hyper” ที่ไม่มีสิ้นสุดของเรา (ไม่ต้องห่วงนะน้องพี่ ยังไงพี่ก็จะดูแลน้องให้ดีที่สุด)

ย่อหน้าพิเศษ สำหรับคุณ...

หลังจากที่หนูเขียนเรื่อง “ของเรา” ออกไป หลายๆคนได้ “ถามหนู เกี่ยวกับตัวคุณ เช่น รู้จักกันได้อย่างไร? เจอกันนานหรือยัง? คบกันนานหรือยัง? คุณเป็นอย่างไรบ้าง?” (ซึ่งคำถามเหล่านั้น ส่วนใหญ่หนูก็จะ “เลี่ยงที่จะตอบ” เพราะหนูถือว่าเป็น “เรื่องส่วนตัว”) ก็พอเข้าใจนะคะ ว่าเพื่อนๆหลายๆคนคงอยากจะรู้ เนื่องจากหนูเป็นคนที่ปิดกั้นตัวเองมาตลอด ไม่ยอมมีแฟนเสียที (จนหลายๆคน เขาคิดว่า หนูมีแฟนแล้ว แต่ไม่ยอมรับ) ทั้งๆที่ความเป็นจริง โสดมาตลอดเลย (แต่ก็นะ งงตัวเองเหมือนกันว่ามา “แพ้ทาง” อะไรในตัวคุณ)

หนูเคยมีความฝันเล็กๆ ที่ต้องการให้คนที่หนูรักได้ไปเข้าร่วมพิธีมิสซาที่โบสถ์ด้วยกัน และคุณก็เป็นคนๆนั้น ที่ได้เข้าไปร่วมในพิธีกรรม และฟังหนูร้องเพลง (ถึงแม้ว่า เราจะไม่ได้นั่งติดกันก็ตาม) แค่นี้หนูก็ “ซาบซึ้ง” และ “รู้สึกดี” เป็นที่สุดแล้ว และยิ่งรับรู้ว่า คุณเป็น “คริสเตียน” ด้วยแล้ว เรานับถือ และรักพระเจ้าองค์เดียวกัน ก็เป็นที่มั่นใจได้เลยว่า “คุณคือคนนั้น คนที่พระเจ้าส่งมาให้รัก และดูแลหนู”

Thanks GOD, I found you. ดูจะเป็นประโยคประจำตัวของเรา 2 คน ซึ่ง “เน้นย้ำ” ว่า เราเกิดขึ้นมาเพื่อ “เติมเต็ม” ซึ่งกันและกัน และหนูสัญญาว่า หนูจะดูแลรักษาความรักของเราให้ดีที่สุดนะคะ

และนี่คือเพลง Owner of my heart

If you think I've let you down
Tried to fool you, there's no need to
If you think I've played around
Why do you worry, you should know me
* I've been true, right from the start
You're the owner of my heart
If you look straight in my eyes
You will know I'm not pretending
I don't hide, there's no disguise
Why you doubt me, that's a strange thing
I can't just stand by watching you walk away
Knowing you still belong with me, close by my side
You think I don't care, but forever I swear
Ooh, my love has grown stronger and that I can't hide
No one can tell me 'cause I know for sure
When I'm not with you, baby, I'm wasting my time
I'll do anything that you want me to do
Ooh, just call out my name, can't she give me a sign
Give me a sign,
If you just give me some time
To convince you we can pull through

Let me see what's on your mind
I won't change you, I don't have to

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน (ระยะนี้เราอาจจะเขียน “เรื่องส่วนตัว” มากไปหน่อย “อารมณ์มันพาไป” นะคะ)

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ใช่รักหรือเปล่า???

ช่วงนี้ชีวิตหนูมีแต่ “วิบากกรรม” เมื่อคืนวานมือถือเครื่องสำคัญเสีย (Charge ไฟไม่เข้าเครื่อง) หนูเอาไปให้ร้านแถวบ้านซ่อม แต่เนื่องจากดึกแล้ว ช่างเก็บเครื่องมือไปแล้ว ทำให้ซ่อมไม่ได้ หนูจึงต้องข่มตานอนอย่างจิตใจไม่ค่อยสงบเท่าที่ควร วันนี้หนูจึงจำเป็นต้องตื่นแต่เช้า เพื่อนำโทรศัพท์ไปซ่อม หลังจากไปยืนรอเขาซ่อมอยู่นาน 2 ชั่วโมง คำตอบที่ได้รับก็คือว่า “ไว้เย็นๆค่อยมารับเครื่องนะครับ” หนูก็ต้องฝากเครื่องไว้ และพาคุณแม่ออกไป Shopping (ทั้งๆที่ในใจลึกๆ ก็รู้สึกไม่สบายใจ เดินไป พลางคิดไป ถึงทางออก นั่นคือต้องซื้อเครื่องใหม่มาทดแทน) จนสุดท้ายก็ต้องได้ซื้อเครื่องใหม่จนได้ แต่ปัญหาก็ยังไม่จบแค่นั้น เมื่อหนูใส่ Sim card ในเครื่องใหม่ ก็เกิด Error อ่าน Sim ไม่ออกซะงั้น (แต่อ่าน Sim อื่นที่ไม่ใช่ Sim นี้ออกเฉยเลย) พรุ่งนี้หนูก็คงต้องตื่นแต่เช้า ไปทำ Sim ใหม่อีก (คืนนี้จะนอนหลับไหมนะ ก็คงต้องว้าวุ่นใจเหมือนเดิม) เห็นที คืนนี้คุณต้อง “งานเข้า” แล้ว ต้องกล่อมเด็กคนนี้นอนให้หลับอย่างสงบเสียแล้ว

ดูเหมือนทุกๆอย่าง รอบๆตัว จะไม่เป็นใจ ไม่ทำให้รู้สึกโล่งใจได้เลย จนไม่อยากเขียนไดอารี่ แต่อยู่ๆ เพลงนี้ก็ดังขึ้น ทำให้หนูย้อนคิดถึงคุณ แล้วก็เริ่มมีรอยยิ้มที่มุมปากอีกครั้งนึง (เห็นไหมคะ ท่ามกลางความสับสน ความกังวล ความยุ่งยากใจ มองไม่เห็นอนาคต แต่หนูก็ยังมองเห็นความรักของคุณ ที่ “หมุนเวียน” อยู่รอบตัวหนูเสมอ)

เรามานั่งฟังเพลงนี้พร้อมกันอีกสักครั้งนะคะ

เพลง ใช่รักหรือเปล่า???

ฉันไม่รู้อะไรที่ฉันเป็น ที่มันเย็นๆหัวใจสั่น
ฉันไม่รู้ทำไมเมื่อพบกัน มันก็ละลายใจมันเต้นแรงไม่เหมือนเคย
เวลาเธอสบตาฉันทีไร ใจมันพองๆแทบจะล่องลอยไป
นี้ใช่ไหมคือความรักใช่หรือเปล่า
ขอบฟ้าที่เคยสีเทาๆ ดูสดใสขึ้นทันใด
ฉันไม่รู้เรียกว่ารักได้หรือเปล่า
ยังไม่แน่ใจ เพียงแค่รู้ว่าเป็นไปเพราะเธอ
ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
อะไรที่เคยดียิ่งดีกว่า แม้แต่เสียงลมที่พัดมา
มันก็พลอยฟังดูเพราะดีกว่าที่เคย
ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นไง มองอะไรก็เป็นสีชมพู
นี้ใช่ไหมคือความรักใช่หรือเปล่า
ขอบฟ้าที่เคยสีเทาๆ ดูสดใสขึ้นทันใด
ฉันไม่รู้เรียกว่ารักได้หรือเปล่า
ยังไม่แน่ใจ เพียงแค่รู้ว่าเป็นไปเพราะเธอ
ทำไมๆ มันไม่เหมือนก่อน
ที่เคยเป็นไงในตอนที่ยังไม่เจอเธอ
เธอทำให้ฉันต้องกลายเป็นแบบนี้
คิดวกวนแต่เรื่องเธอ เพ้อทั้งวันทั้งคืนกับภาพเธอ
ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นไง มองอะไรก็เป็นสีชมพู
นี้ใช่ไหมคือความรักใช่หรือเปล่า
ขอบฟ้าที่เคยสีเทาๆ ดูสดใสขึ้นทันใด
ฉันไม่รู้เรียกว่ารักได้หรือเปล่า
ยังไม่แน่ใจ เพียงแค่รู้ว่าเป็นไปเพราะเธอ
นี้ใช่ไหมคือความรักใช่หรือเปล่า
ขอบฟ้าที่เคยสีเทาๆ ดูสดใสขึ้นทันใด
ฉันไม่รู้เรียกว่ารักได้หรือเปล่า
ยังไม่แน่ใจ เพียงแค่รู้ว่าเป็นไปเพราะเธอ



วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

จดหมายจากใจ ให้คุณ...

ขอยืมพื้นที่หน้านี้ ถ่ายทอด “ข้อความส่วนตัว” หน่อยนะคะ

จดหมายจากใจหนู... ให้คุณ…

“อดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าหนู หรือคุณจะเคยรักใคร ผ่านประสบการณ์แบบไหนมา แต่ “อดีตก็คืออดีต” เพราะปัจจุบัน และอนาคต เราจะมีกันและกันตลอดไป”

หากคุณยังจำได้ วันที่หนูยืนร้องเพลง If We hold on together ให้คุณฟัง (แม้จะไม่ได้สบตาคุณเวลาร้องเพลงนี้ก็ตาม) แต่หนูก็เชื่อว่า คุณฟังอยู่ และคงยิ้มให้กับความกล้าๆ กลัวๆของเด็กคนนึง ที่ยืนร้องเพลงไป ก็บิดไปบิดมา ตามประสาคนขี้อาย (ซึ่งหนูตั้งใจร้องเพลงนี้ให้กับคุณจริงๆ ในทุกๆประโยค ถูกสื่อออกมาเป็น “ภาษาหัวใจ” ที่มีเพียงเราสองคนเท่านั้น ที่จะสัมผัส “ท่วงทำนอง” นี้ได้)

ถ้าจะถามว่า “ความรัก สำหรับหนูคืออะไร?
สำหรับหนู ผู้ซึ่งใช้ “เหตุผล” เป็น “ตัวหลัก” ใน “การขับเคลื่อนความรัก” หนูคงจะตอบได้เพียงว่า “ความรักสำหรับหนู คือ การที่เราได้ Share ครึ่งนึง ของทุกสิ่งในชีวิต ไม่ว่าจะสุข หรือทุกข์ ให้กับใครสักคน ที่เราได้เลือกสรรอย่างดีแล้ว (เลือกด้วยหัวใจ)”

และหนูจะแสดงออกเมื่อรักใครสักคน อย่างไร?

หนูจะ “ถ่ายทอด” ผ่านทางทุกๆ อณูแห่งความรู้สึก ที่ส่งผ่าน “ประสาทสัมผัสทั้ง 6” (รับฟัง, สังเกตุ และเฝ้ามองอย่างห่วงใย, พูดให้กำลังใจ และปลอบประโลม, เติมเต็มลมหายใจของเขา (ด้วยลมหายใจของหนู), พยุงเขาไว้ ด้วยทุกๆส่วนในร่างกาย และที่สำคัญ ใช้หัวใจของหนูส่งผ่านความรักทั้งหมดที่มีให้กับเขา)

ซึ่งถ้าคุณสังเกตุ คุณจะรับรู้ว่า “หนูแสดงออกไปให้คุณได้ “สัมผัส” ทั้งหมดแล้ว” และความรักที่หนูมีต่อคุณ ทำให้หนูมองเห็น “อนาคต” ระหว่างเรา ชัดเจนขึ้น

ในชีวิตหนูนั้น นอกจากครอบครัวที่หนูให้ความรักแล้ว ก็ยังมี “น้องแมว” อีก 3 ตัว ที่หนูมอบ “ความรักที่บริสุทธิ์” ให้ (โดยไม่หวังให้พวกเขา รักหนูกลับมา) เพราะแค่หนูได้รักพวกเขา หนูก็สุขใจเพียงพอแล้ว

และในวันนี้ หนูก็เป็น “คนธรรมดาคนนึง” ที่โชคดีที่สุด ที่คุณมอบความรักให้ โดยที่ไม่หวังให้หนูมอบความรักของหนูกลับไป สิ่งเดียวที่คุณขอ คุณขอเพียงให้หนู “มั่นใจในตัวคุณ และความรักของคุณ”

There is no Fear, in love. แต่หนูก็ยังคงกลัว และลังเลไปเอง หนูขอโทษที่เคยไม่มั่นใจ และทดสอบคุณด้วยคำถามทางความรู้สึกมากมาย (จนบางครั้งคุณอาจจะรู้สึกรำคาญ และน้อยใจที่หนู "ดูถูก" ความรักของคุณ)

แต่ ณ วินาทีนี้ หนูกล้าพูดได้เต็มปากเลยคะว่า “หนูมั่นใจในความรักของคุณ หนูมั่นใจในตัวคุณ และไม่ว่าคุณต้องการที่จะรับรู้หรือไม่ว่า หนูรักคุณ หรือมอบหัวใจให้คุณเต็มร้อยหรือไม่”

หนูก็จะขอยืนยันตรงนี้ว่า “ณ วันที่ หัวใจของเราสองคนแนบสนิทซึ่งกันและกัน ชีวิต ความรัก อนาคต และหัวใจของหนู เป็นของคุณตั้งแต่ตอนนั้น”

Thanks GOD. I found you.

In you.
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ของขวัญวันวาเลนไทน์

ผ่านไปแล้วสำหรับช่วงเวลาวาเลนไทน์ เพื่อนๆได้ไปฉลอง และมีความสุขไหมคะ? สำหรับเรา ช่วงเวลาวาเลนไทน์ของเราเริ่มมาตั้งแต่คืนวันที่ 13 และต่อเนื่องมาเรื่อยๆ...

สำหรับของขวัญวาเลนไทน์ในปีนี้ของเราก็คือ “MAC Book” ที่เราซื้อให้ตัวเอง (สนอง need ตัวเองซะ) หลังจาก “ครุ่นคิด” ตัดสินใจอยู่นาน เราจึงได้ฤกษ์ซื้อเสียที วันนั้นเราก็เดินดุ่มๆ เข้าไปในร้าน แล้วก็หยุดยืนนิ่งๆอยู่หน้าเครื่อง สักพัก พนักงานขายเดินเข้ามายืนข้างๆเรา แล้วถามว่า “มีอะไรจะให้ช่วยไหมครับ”

เราหันหน้าไปมองเขาก่อนที่จะบอกว่า “พี่คะ หนูจะเอาเครื่องนี้คะ เครื่องนึง”

เขาก็นิ่งๆ อึ้งๆ มองเราตั้งแต่หัวจรดเท้า (ประมาณว่า แต่งตัวปอนๆแบบนี้มีปัญญาซื้อด้วยหรือ? ที่สำคัญซื้อ “เงินสด” นะคะ) เมื่อเราจ่ายเงินเสร็จ เราก็ขอให้เขาเพิ่ม ram และซื้ออุปกรณ์เสริมหลายอย่าง (เรียกได้ว่า แต่ง mac เครื่องนี้มันส์ไปเลย)

เมื่อลง Program ในเครื่องเสร็จ พนักงานขายก็มาเสนอตัว ช่วยแนะนำโปรแกรมต่างๆในเครื่อง ถามเราว่า “อยากจะเล่นโปรแกรมไหนเป็นพิเศษไหมครับ”

เรายิ้มแล้วพูดว่า “พี่คะ สอนหนูเปิดเครื่อง ปิดเครื่อง เปลี่ยนภาษา เปิดและปิดโปรแกรม เปิด wireless เล่น internet แค่นั้นก็พอคะ”

เขาทำหน้างงๆ ก่อนที่จะพูดว่า “น้องต้องการรู้แค่นี้เองหรือครับ ไม่ต้องการรู้โปรแกรมทำหนัง ตกแต่งภาพ ฯลฯ”
เราจึงพูดแทรกขึ้นมาว่า “พี่คะ พี่พอจะแนะนำ หนังสือคู่มือการใช้ Mac ดีๆ สักเล่มให้หนูได้ไหมคะ?” เขาได้แต่ยืน “งง” (ก็นิสัยเรา ชอบศึกษา เรียนรู้ด้วยตัวเองนี่นา ขอลองผิด ลองถูกด้วยตัวเองหน่อยนะคะ)

เมื่อเรียนรู้ และลงมือปฏิบัติจนเข้าใจแล้ว เราก็ให้เขา pack ลงกล่องเหมือนเดิม (แต่จนถึงวันนี้ ของขวัญวาเลนไทน์ของเราชิ้นนี้ ก็ยังคงกองอยู่ในกล่อง แบตเราก็ยังไม่ได้เริ่ม charge เลย)

หลังจากได้ของขวัญวาเลนไทน์แล้ว ก็เป็นธรรมดา ที่ต้องมี Valentine’s Trip เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความรักกันเสียหน่อย ซึ่งในครั้งนี้ เราเลือกที่จะเดินทางไป “เกาะช้าง” จังหวัดตราด เราออกทางตั้งแต่เช้าตรู่ของวันที่ 15 และเดินทางกลับถึง กทม. เมื่อวานตอนค่ำ (ใครที่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวเกาะช้าง ก็คงพอจะทราบถึง “ความสวยงาม และความสงบเงียบ” ของเกาะแห่งนี้)

การไปในครั้งนี้เป็นการไป เพื่อค้นหาความสงบของจิตใจ (หลังจากต้องการไปทะเลมานาน) และค้นหาความมั่นใจในความรักอีกครั้งนึง แต่จะมีเรื่องราวประทับใจ หรือเรื่องราวความรักในแง่มุมไหนนั้น ขอไปเรียบเรียงก่อนนะคะ แล้วจะมาเขียนเล่าให้ฟัง (อย่างละเอียด)

หนูไว้ใจในตัวคุณ เชื่อใจในคุณ มั่นใจในความรู้สึกของคุณ ขอบคุณจริงๆที่อยู่เคียงข้างๆเสมอ ไม่ว่าจะมีสุข หรือทุกข์แค่ไหน เราสองคนก็จะจับมือกันไว้ตลอดไป (สัญญาด้วยหัวใจ)

ขอบคุณเพื่อนๆด้วยนะคะที่ติดตามอ่าน

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Valentine's Day

Happy Valentine’s Day นะคะ เพื่อนๆทุกคน วันนี้สาวๆหลายคน คงจะตื่นเต้น เมื่อคืนคงนอนไม่หลับ ด้วยว่า “สารพัดจะพลิกตะแคง คิดไปต่างๆนาๆว่า วันนี้จะได้ของขวัญแบบไหน ดอกไม้สีอะไร” และวันนี้ก็เป็นอีกวัน ที่จะเราจะยิ้มให้กับชีวิต ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานความรักมาให้เรา ให้เราได้มายืนอยู่ตรงนี้ ยิ้มตรงนี้ เช้านี้เราจะไปเข้า “มิสซา” ไปบอกความรักที่เรามีแด่พระเจ้า และช่วงเย็น เราก็จะไป Dinner กับบุคคลที่เรารักที่สุด นั่นคือ ครอบครัว (คุณพ่อ คุณแม่ เรา และน้องสาว) เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในทุกๆปี ที่จะต้องออกไปทานข้าวพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว (เราก็แอบคิดเล่นๆเหมือนกันนะ อาจเพราะ คุณพ่อเรา อยากจะรู้ความเป็นไปของลูกสาวมั้งว่า มีแฟนกันหรือเปล่า (ปีที่แล้วแฟนน้องสาวเราไปด้วย แต่ปีนี้เขาติดงานเลยไปด้วยไม่ได้ ส่วนเราก็ “ฉายเดี่ยว” เหมือนเดิม)

วันนี้เราอยากจะ “นำเสนอ” ประวัติ ของบุคคลที่เป็นจุดเริ่มต้นของประเพณีวันแห่งความรัก หรือ Valentine’s Day

“Saint Valentine (หรือนักบุญวาเลนไทน์)” ท่านชื่อ “วาเลนตินุส” ท่านเป็นพระอยู่ในกรุงโรมระหว่างศตวรรษที่ 3 ในเวลานั้นกรุงโรม ถูกปกครองโดยจักรพรรดิที่ชื่อว่า "คลอดิอุส" ซึ่งมีนิสัยชอบข่มเหงผู้อื่น ทำให้ไม่เป็นที่รักของประชาชนเท่าใดนัก จักรพรรดิคลอดิอุส ต้องการสร้างกองทัพอันยิ่งใหญ่ และหวังให้ชายชาวโรมันทั้งหลาย อาสาสมัครเข้ามาเป็นทหารในการสงคราม แต่ก็ไม่มีชายคนใดจะกระทำตามนั้น จักรพรรดิคลอดิอุสจึงออกกฏหมายห้ามมิให้มี การแต่งงาน หรืองานหมั้นใด ๆ เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนไม่พอใจ รวมทั้งนักบุญวาเลนไทน์เองด้วย

ในเวลาต่อมานักบุญวาเลนไทน์ ได้จัดการแต่งงานให้กับคู่หญิงสาวหลายคู่ขึ้นอย่างลับ ๆ ถึงแม้ว่า จะมีการประกาศการใช้กฏหมายห้ามแต่งงาน แล้วก็ตาม นักบุญวาเลนไทน์ยังคง “รัก” ที่จะทำพิธีเหล่านี้ (พระสงฆ์ทางศาสนาคริสต์ มีหน้าที่เป็นผู้นำพิธีการแต่งงานในโบสถ์ เพื่อประกาศให้ชาย หญิง คู่นั้นเป็นสามี ภรรยา ที่ถูกต้องตามหลักคริสต์ศาสนา)

โดยภายในงานนั้น จะมีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว และท่านนักบุญเท่านั้น พวกเขาจะกระซิบคำสาบาน และคำอธิษฐานต่อกัน ในขณะเดียวกัน ก็ต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงการเดินตรวจตราของเหล่าทหารด้วย

แต่แล้วคืนหนึ่ง ในขณะที่กำลังทำพิธีแต่งงานอย่างลับ ๆ อยู่นั้นเอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์เกิดได้ยินเสียงฝีเท้าของทหาร แต่โชคดีที่คู่บ่าวสาวนั้น หนีออกไปจากโบสถ์ได้ทัน

แต่นักบุญวาเลนไทน์ ไม่ได้หนีออกไป จึงถูกจับขังคุก และถูกทรมานอย่างแสนสาหัส ท่านพยายามให้กำลังใจตัวเองทุก ๆ วัน และแล้ววันหนึ่ง สิ่งวิเศษก็เกิดขึ้น เมื่อมีเด็กหนุ่มสาวหลายคนเดินทางมาที่คุก เพื่อจะมาเยี่ยมท่านนักบุญ พวกเขาโยนดอกไม้ และกระดาษซึ่งเขียนข้อความต่าง ๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก พวกเขาต้องการให้นักบุญวาเลนไทน์รู้ว่า พวกเขาเองก็มีความเชื่อ และศรัทธาในความรักด้วยเช่นกัน

หนึ่งในเด็กสาวเหล่านั้น เป็นลูกสาวของผู้คุม ซึ่งพ่อของเธอได้อนุญาติให้เธอเข้าไปเยี่ยมนักบุญวาเลนไทน์ได้ในคุก บางครั้งพวกเขาจะนั่งคุยกันนานนับชั่วโมง หล่อนช่วยให้กำลังใจท่านนักบุญ และเห็นด้วยกับการที่ท่านปฏิเสธกฏหมายห้ามการแต่งงานนั้น อีกทั้งยังสนับสนุนการแต่งงานอย่างลับ ๆ ที่ท่านนักบุญเคยประกอบพิธีขึ้นด้วย

ผู้คุมมีลูกสาวคนเล็กอีกคนนึง เธอชื่อ จูเลีย ซึ่งตาบอดทั้ง 2 ข้าง ระหว่างที่นักบุญวาเลนไทน์ติดคุกอยู่นั้น ลูกสาวผู้คุมก็นำอาหารมาให้ และช่วยติดต่อกับคนนอกคุก ที่นับถือศาสนาศริสต์ให้แก่นักบุญวาเลนไทน์

ช่วงอาทิตย์สุดท้ายในชีวิตของท่านในคุกนั้น ได้มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น เมื่อ ผู้คุมขังได้ขอให้ท่านนักบุญวาเลนไทน์ สอนลูกสาวเขาซึ่งตาบอด เธอเป็นคนสวยแต่น่าเสียดาย ที่เธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด ท่านได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่างๆ สอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้า ให้เธอฟัง เธอสามารถรับรู้สิ่งต่างๆในโลกนี้ได้ โดยคำบอกเล่าของเขา เธอเชื่อใจเขา และเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา

วันหนึ่งเธอถามเขาว่า "ถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม"
เขายิ้มก่อนที่จะตอบว่า "พระเจ้า จะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเรา ทุกคน"
เธอเอียงหน้ามองไปทางนอกหน้าต่าง "ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอธิษฐานขออะไร ทุกๆเช้า ทุกๆเย็น….ข้าหวังว่า ข้าจะได้มองเห็น โลก เห็นทุกๆอย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง"

เขากระซิบข้างหูเธอว่า "พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุด ให้แก่เราทุกคน เพียงแค่ เรามีความเชื่อมั่น ในพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง"

และเธอผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า จึงได้คุกเข่า กุมมือ อธิษฐานพร้อมกับเขา และในขณะนั้นเอง ก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อเธอค่อยๆลืมตา พระเจ้า……เธอมองเห็นแล้ว!!!!! ทั้งสองจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า และเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร

ในคืนก่อนที่เขาจะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้าย ถึงเธอ โดยลงท้ายว่า "Love, from Your Valentine" เขาสิ้นชีพในวัน ที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้น ศพของเขาได้ถูกเก็บ ไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม เธอได้ปลูก ต้นอามันต์ หรือ อัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของเขา (แด่ผู้เป็นที่รักของเธอ) โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพู ได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดร์ และมิตรภาพอันสวยงาม

และในปี 496 A.D. โป๊ป Gelasius ได้ยกย่องให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็น “วันวาเลนไทน์” เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญวาเลนไทน์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงมีประเพณีการแลกเปลี่ยนจดหมายรักซึ่งกันและกัน ในวันวาเลนไทน์ โดยจะเขียนขึ้นในวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิต คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปีคริสตศักราช 270 และปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านนักบุญวาเลนไทน์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของวันนี้คือ การมอบความรักและมิตรภาพให้แก่กันและกัน และทุกๆ ครั้งที่ผู้คนต่างนึกถึงจักรพรรดิคลอดิอุส เขาก็จะจำได้ถึงวิธีการที่คลอดิอุสพยายามจะมาแทนที่หนทางของความรัก แล้วก็จะพากันหัวเราะ เพราะว่าพวกเขาต่างรู้ดีว่า “ความรักนั้นไม่สามารถหาสิ่งใดมาทดแทน หรือแทนที่ได้เลย”

คนทั่วโลกจึงถือเอา วันที่ท่านสิ้นชีวิตลงนั้น เป็น “วันแห่งความรัก (Valentine’s Day)” ทุกๆปีจะมีหนุ่มสาว หรือคนบางกลุ่มนิยมส่งดอกกุหลาบสีแดง หรือบัตรรูปหัวใจให้แก่กันและกัน ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงเจตนารมณ์ของความรัก ความเข้าใจต่อกัน (วันวาเลนไทน์ตามธรรมเนียมฝรั่ง พวกเขาจะส่งบัตร หรือของขวัญเล็กๆน้อยๆ ไปให้แก่คนที่เขารัก โดยไม่บอกชื่อผู้ส่ง)

แล้ววาเลนไทน์ปีนี้ คุณได้ทำอะไรเพื่อคนที่คุณรักแล้วหรือยัง?

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เรื่องราวของ Cupid

พรุ่งนี้จะถึง Valentine’s Day แล้ว ก่อนจะถึงพรุ่งนี้ หลายๆคนคงจะเตรียมตัว เตรียมความพร้อม (ทั้งความสวยภายใน และภายนอก) เฝ้ารอ Destiny หรือคนดีๆสักคนที่จะเดินเข้ามา “เติมเต็ม” ส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตของคุณ “ขอให้สมหวังดั่งตั้งใจนะคะ” ในเช้าวันนี้เราอยากจะนำเรื่องราวดีๆของ “Cupid” มาฝากให้อ่านเล่นๆกันคะ

คนทั่วไปรู้จัก Cupid ในภาพของ “เด็กน่ารักที่มีปีก มือถือคันธนู กับลูกศร” และมีชื่อเสียงในเรื่อง “การยิงศรรัก” ปักหัวใจของใครต่อใคร

“ศรรักของ Cupid” หมายถึง “ความปรารถนา และอารมณ์แห่งความรัก” มีความเชื่อว่า “Cupid” มีหน้าที่เล็งลูกศรไปที่พระเจ้าและมนุษย์ เพื่อทำให้พระเจ้ากับมนุษย์รักกัน “Cupid” จึงเป็นตัวแทนในการแสดงออกซึ่งความรัก

ในสมัยกรีกโบราณ ได้มีตำนานเกี่ยวกับ “Cupid” สมัยนั้น “Cupid” หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า “เอโรส” ลูกชาย “แอฟโรไดท์” เทพธิดาแห่งความรัก และความสวยงาม แต่สำหรับพวกโรมัน เขาคือ “Cupid” และแม่ของเขาคือ “วีนัส”

“Cupid” และ “ไซคี” เจ้าสาวของเขาในเทพนิยายโรมัน (เราขอแนะนำเพื่อนๆให้รู้จัก “คู่รักของคิวปิด” สักนิดนะคะ) เธอเป็นเทพธิดารูปงามในนิยายกรีกโบราณ มีปีกเป็นผีเสื้อ และ เพราะความงามนี้เองที่ทำให้วีนัส (แม่ของ cupid) อิจฉา นางจึงได้สั่ง Cupidให้ลงโทษว่าที่ลูกสะใภ้เสีย แต่Cupid ตกหลุมรักเธอเกินกว่าที่จะทำตามความต้องการของแม่

ดังนั้น แทนที่จะลงโทษเธอ Cupid กลับเอาเธอเป็นภรรยาเสียเลย แต่เนื่องจาก “ไซคี” มิได้เป็นอมตะ เธอจึงถูกห้ามมิให้มองหน้าเขาเด็ดขา (ตรงนี้ เราไม่ทราบเหมือนกันนะว่า เป็นไปได้อย่างไรที่ได้เธอเป็นภรรยาแล้ว ภรรยามองหน้าสามีไม่ได้ แต่อย่าไปคิดอะไรมากนะคะ เพราะเป็นแค่เทพนิยายกรีก) หลังจากตกเป็นภรรยาของเขาแล้ว เธอก็มีความสุขเรื่อยมา (ก็แหงละ) จนกระทั่งพี่สาวของเธอได้รบเร้าให้เธอสบตา และมองหน้า Cupid (ชายที่เธอรัก) และทันทีที่เธอมองหน้าเขา เขาก็ลงโทษเธอด้วย “การทิ้งเธอ” ไปทันที พร้อมกันนั้น ปราสาทและสวนอันสวยงามของเธอก็ต้องมลายหายไปด้วย

หลังจากนั้น เธอก็พบว่าตัวเองอยู่ตามลำพังในทุ่งโล่งแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือเขาปรากฏให้เห็นเลย ในขณะที่เธอออกเดินทางค้นหาคนรักของเธอนั้น เธอก็มาถึงวิหารของวีนัสโดยบังเอิญ เมื่อวีนัส เทพธิดาแห่งความรักพบว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ นางก็ปรารถนาที่จะทำลายเธอ ด้วยการให้งานที่หนัก และอันตรายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (งานสุดท้ายที่เธอได้รับ มิใช่งานขับเครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรดนะจ๊ะ อย่าเข้าใจผิด) หากแต่ เธอได้รับกล่องใบหนึ่งมา และได้ถูกสั่งให้ลงไปยังใต้โลก เพื่อเอา “ความงามของโพรเซอร์พีน (ภรรยาของพลูโต)” ใส่กล่องใบนี้มา ในระหว่างที่เธอเดินทางอยู่นั้น เธอก็ได้รับคำแนะนำ ให้รู้จักการหลีกเลี่ยงอันตรายจาก “อาณาจักรแห่งความตาย”

นอกจากนั้นแล้ว เธอยังได้ถูกเตือนมิให้เปิดกล่องใบนั้นอีกด้วย แต่เพราะทนไม่ไหว หรือเพราะความอยากรู้อยากเห็น (เธอช่าง Curious เหมือนเราเลย ฮิฮิ) เธอได้เปิดกล่องใบนั้น แต่แทนที่จะพบกับความงาม เธอกลับต้องหลับเป็นตาย

ต่อมา Cupid ได้มาพบร่างอันไร้ชีวิตของเธอบนพื้นดิน เขาจึงได้นำเอาอาการหลับเป็นตายออกจากร่างของเธอ และนำมันไปเก็บไว้ในกล่อง และเขาก็ได้ให้อภัยเธอ เช่นเดียวกับวีนัส เมื่อเทพเจ้าทั้งหลายเห็นความรักที่เธอมีต่อเขา จึงได้ตั้งให้เธอเป็นเทพธิดาองค์หนึ่ง

ปัจจุบันนี้ “รูป Cupid แผลงศร” เป็น “สัญลักษณ์แห่งความรัก” ที่ผู้คนมักนิยมใช้กัน และเมื่อศรรักของ Cupid พุ่งโดนหัวใจหนุ่มสาวคนใดใน “วันวาเลนไทน์” หนุ่มสาวคนนั้นก็จะออกอาการ "stupid (สติวปิ้ด)" จากศรรักของ Cupid ขึ้นมาทันที อาการนี้จะเห็นได้จากการส่งดอกกุหลาบสีแดง ส่งช็อคโกแล็ต การส่งบัตรอวยพรและอื่นๆมากมายคะ และอาการต่อมาก็คือ Cupidity (ความโลภ) ที่เมื่อมี “ความรัก” แล้ว แต่ด้วยความโลภ คนเดียวไม่พอ ต้องขอ 2 ขอ 3 ขอ 4 (ทำให้เกิด “ความวุ่นวาย” ในชีวิตแบบตั้งใจ)

หมายเหตุท้ายบท : "stupid สติวปิ้ด" เป็นภาษาอังกฤษแปลว่า "โง่" ครับ เหมือนคำบางคำที่เราอาจเคยได้ยินว่า “ความรักบางครั้งก็ทำให้คนตาบอด และ มองไม่เห็นข้อบกพร่องของคนที่เรารัก”

ฝากไว้เช่นเคยคะ “รักอย่างมีสตินะคะ” ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ครอบครัว

สังคมที่ใกล้ตัวมนุษย์เราที่สุดคือ “ครอบครัว” พวกเรา ทอม ดี้ และเลสทั้งหลาย คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ครอบครัว” เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่ “หล่อหลอม” ชีวิตของของพวกเรา และเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนชีวิตของพวกเรา ให้มาเจอกันในสังคม ญ รัก ญ

บางครอบครัว ไม่ได้รังเกียจที่พวกเราเป็นแบบนี้ (ยอมรับได้)

บางครอบครัว ก็แอนตี้แบบที่ว่า “ไม่คิดถึงใจพวกเราเลย” (ทำทุกวิถีทาง เพื่อ “เปลี่ยน” ความเป็นทอม ดี้ เลส ของลูก เพราะคิดว่า การเป็นเช่นนี้ “เป็นความผิดปกติทางจิต” ที่ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน)

มีครอบครัวหนึ่งที่เรารู้จัก คุณพ่อ และคุณแม่ รู้ว่าลูกสาวทั้งสองเป็น “ทอม” ทั้งคู่กำลังอยู่ในวัยไม่ถึง 20 แต่พวกท่านก็เข้าใจ และยอมรับ ให้ลูกทั้งสองพาแฟน (ดี้) เข้ามาอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน และไปไหนมาไหนอย่างเปิดเผย

เวลาที่ลูกทั้งสองต้องประสบชะตากรรม “อกหัก” จากแฟน (ดี้) มา ก็มีแม่เป็นคนคอยปลอบใจ อยู่ไม่ห่าง และก็เป็นแม่ที่ “ยุ” ให้ลูกไปหาจีบดี้คนใหม่มา (เพราะไม่อยากเห็นลูกต้องทนทุกข์เสียใจ) เรียกได้ว่า “แม่เข้าใจ และยอมรับลูกได้เต็มที่ อะไรทำให้ลูกมีความสุข แม่ก็มีความสุขด้วย”

ลูกคนโตคบดี้คนหนึ่ง ที่อยู่ไกลกันมาก แม่ไม่เคยว่าอะไรที่ลูกจะไปหาและอยู่ด้วยกันหลายวัน
แม้ว่าเวลาที่เคยเป็นของแม่จะลดน้อยลงทุกที


ลูกคนเล็ก ติดดี้จาก msn คุยโทรศัพท์กัน ทั้งวันทั้งคืน ไม่สนใจแม่ แม่ไม่เคยว่าอะไร ขอแค่เวลาเล็กน้อย ทานข้าวฝีมือแม่เท่านั้น

วันหนึ่งแม่ไปหาหมอ และหมอบอกว่าแม่คงอยู่ได้อีกไม่น่าเกิน 2 ปี แม่คิดจะระบายความทุกข์ในใจของแม่ให้ลูกๆฟัง แต่ดูเหมือนลูกๆจะยุ่งอยู่กับการตามหาความรัก มากเกินกว่าจะได้ยินเสียงเล็กๆในใจของแม่ แม่ได้แต่แอบมองความสุขของลูกทั้งสอง และแอบน้อยใจเล็กๆ


หลังจากที่ลูกคนโตมีแฟนไม่เคยถามแม่ว่า อยากไปไหนไหม? อยากได้อะไรไหม? เพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับการวิ่งไล่จับว่า แฟนตัวเอง มีกิ๊กไหม? วันๆไปไหนกับใครบ้าง?

ลูกคนเล็ก พอได้สาวที่คุยโทรศัพท์ และถูกใจด้วย ก็ไม่เคยที่จะคุยกับแม่ มัวแต่คุยกับสาวๆ วิ่งตามหาความรักที่อยู่ไกลตัวเสมอ และไม่เคยที่จะทานข้าวพร้อมหน้ากับแม่ โดยไม่รู้ว่าระยะเวลาที่แม่เหลืออยู่นั้น จะทานข้าวกับเขาได้อีกนานแค่ไหน

ทอมทั้งสองชะล่าใจ เพราะคิดถึงแต่เรื่องตัวเอง หลงลืมที่จะเหลียวมองพ่อและแม่


เราขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัว กับทอมสองคนนี้หน่อยเถอะนะ “พวกคุณโชคดีกว่าทอม ดี้ เลส อีกหลายๆคน ที่ครอบครัวของพวกเขายอมรับไม่ได้ ได้โปรดเถอะนะ อย่าหลงระเริงในความรักในวัยรุ่น ตื่นเต้นกับความรักที่ไร้สาระ จนลืมความรักที่บริสุทธิ์ที่สุดของพ่อแม่ มิฉะนั้น พวกคุณนั่นแหละที่จะเสียใจไปจนชั่วชีวิต”

ไม่ว่าพ่อแม่คุณ จะยอมรับสิ่งที่คุณเป็นได้หรือไม่? จะรับฟังเหตุผลพวกคุณหรือไม่? จะพูดจาดีๆกับคุณหรือไม่? สิ่งที่พวกคุณต้องตระหนักไว้ก็คือ “พ่อและแม่ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายคุณ” (โดยการไปมีกิ๊ก หรือหนีคุณไปเที่ยวกับลูกคนอื่น คุณไม่เคยต้องปวดหัว เพราะพ่อแม่ไม่รับโทรศัพท์คุณ)


ดังนั้น พวกคุณควรให้เวลากับท่านบ้างอย่างน้อย 1 เปอร์เซ็นต์ในแต่ละวัน (เท่ากับ 15 นาที)


และโปรดถามตัวเองว่า

ครั้งสุดท้ายที่คุยโทรศัพท์กับพ่อแม่นั้น เมื่อไหร่?

ครั้งสุดท้ายที่คุยโทรฯกับแฟนนั้น เมื่อไหร่?

ครั้งสุดท้ายที่ทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก เมื่อไหร่?

ครั้งสุดท้ายที่ทานข้าวด้วยกันกับแฟน เมื่อไหร่?

ครั้งสุดท้ายที่ซื้อของขวัญให้พ่อแม่ เมื่อไหร่?

ครั้งสุดท้ายที่ซื้อของขวัญให้แฟน เมื่อไหร่?


มองไปลึกในแววตาของพ่อแม่ และแฟนคุณดูสิ แล้วใช้สติคิดตรองดูแล้วคุณจะเห็นข้อแตกต่าง คงยังไม่สาย ที่จะเปิดใจยอมรับทุกสิ่ง เลิกต่อต้านความรู้สึกที่คุณมีต่อพ่อและแม่ เพราะมันไม่เป็นผลดีต่อตัวคุณเอง และพวกท่านเลย

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ทอมห่วย ตอน ทอมมักมาก

ใกล้ถึง Valentine แล้ว เวลาเหลือน้อยเต็มที สำหรับคนที่ยังโสด และยังหาแฟนไม่ได้ (โค้งสุดท้าย ต้องเร่งหานะคะ ก่อนที่จะหมดโอกาส และต้องรอถึงปีหน้า)

“ฝ้าย” สาวเหนือ อวบ (อ้วนระยะกลาง) อายุประมาณ 30 เรียนจบมหาลัยเอกชนชื่อดัง ฐานะทางบ้านค่อนข้างดี ตามหารักแท้อยู่นาน จนได้มาเจอ “พี่ยู” ทอมอายุ 36 ที่แสนจะธรรมดา (ในที่นี้หมายถึง หน้าตาธรรมดา ฐานะธรรมดา หน้าที่การงานธรรมดา แต่นิสัยไม่ธรรมดา) เขามีมอเตอร์ไซค์คู่ชีพอยู่คันนึง เช่าห้องพักอยู่แถวๆ พระราม9 สเป็คของเขาชอบผู้หญิงอวบๆ (ถ้าใครที่อ่าน แล้วเป็นสาวอวบ อย่าเพิ่งได้คิด สนใจเขาเป็นอันขาด อ่านต่อไปนะคะ ทีเด็ดอยู่ตอนสุดท้าย)

เขาและเธอคบกัน ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของเพื่อนเธอ ด้วยว่าทั้งคู่ต่างกันด้านฐานะ หน้าที่การงาน และการศึกษา ไม่ว่าเพื่อนของเธอจะเตือนเธอเกี่ยวกับเขามากแค่ไหน แต่ด้วยเพราะเขาเป็นคนปากหวาน ประกอบกับเธอเป็นผู้หญิงอวบ น้อยคนนักที่จะ “ยอมรับ และรัก” คนแบบเธอได้

หลังจากที่ทั้งคู่คบกันไปได้ระยะนึงแล้ว เขาได้พูดทีเล่นทีจริงกับเธอ ขอให้เธอย้ายมาอยู่กับเขาด้วย (ใจจริงๆแล้ว เขาพูดไปงั้น เพราะว่าเขาอยากย้ายไปอยู่บ้านหลังใหญ่ของเธอ) และสิ่งที่เขาหวังไว้ ก็ไม่เป็นไปตามที่หวัง เมื่อเธอตัดสินใจที่จะเลือกออกจากบ้าน (หลังใหญ่) มาอยู่ห้องพักที่แสนจะคับแคบ มีเพียงทีวี เครื่องเล็กๆ และพัดลม (สร้างความผิดหวังให้กับเขาอย่างมาก) แต่สุดท้ายเขาก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ดีซะอีก!!! มีคนมาช่วยออกค่าห้องให้ ซักเสื้อผ้า ทำความสะอาดห้องให้ทุกอย่าง

ด้วยความไม่รู้จักพอของเขา เขาเป็นคนเจ้าชู้มาก เล่น msn มีสาวๆอยู่ ใน stock มากมาย เขามักจะแวะเวียนไปหาสาวๆ (และบรรดากิ๊กของเขา) เหล่านั้นไม่เว้นแต่ละวัน อาศัยปากอันหวานของตัวเอง และความเจียมตัวว่า “ตัวเองต่ำต้อย” หลอกให้สาวหลายๆคนซื้อของให้ พอได้ของจากสาวคนนี้ ก็จะเอาไปให้อีกคนนึง

หลายๆครั้งที่เธอจับได้ว่าเขาแอบไปมีกิ๊ก แต่แทนที่เธอจะยอมแพ้ และเลิกกับเขาไปซะ แต่ตรงกันข้าม เธอยังอดทนอยู่ด้วย เพราะ “ความอยากเอาชนะ” ยิ่งเขาเจ้าชู้มากเท่าไหร่ ยิ่งท้าทายเธอมากเท่านั้น

วันนึงเขากลับห้องแต่วัน หิ้วขนม S&P มาให้เธอทาน (ใจดีผิดปกติ ต้องมีจุดประสงค์แน่) และก็เป็นไปตามที่เธอคิดไว้ เขามาอ้อนให้เธอซื้อตู้เย็นมาไว้ที่ห้อง เธอรับปากเขาว่าวันหยุดที่จะถึงนี้จะไปซื้อให้ ด้วยความขี้หึง และขี้ระแวง ในทุกๆวันขณะที่เขาเข้าห้องน้ำ ไปอาบน้ำ เธอจะหยิบโทรศัพท์ของเขามา Check การโทรเข้า การโทรออก และข้อความเสมอ (ซึ่งเขาก็ค่อนข้างฉลาดที่จะลบทุกอย่างทิ้งไปเสมอ) แต่วันนี้ โชคกลับไม่เข้าข้างเขา เมื่อประจวบเหมาะ ที่มี ข้อความนึงส่งเข้ามาพอดี

“S&P ที่ซื้อให้ทานวันนี้ อร่อยไหมคะ พรุ่งนี้จะทานอะไรดีคะ ที่รัก บีจะซื้อไว้รอ รักนะ”

เมื่อเธอได้อ่านข้อความนี้ เธอไม่รีรอ ด้วยความโกรธที่ประทะในตัวเธออย่างเต็มที่ เธอกระแทกประตูวิ่งเข้าไปคว้าตัวพี่ยูออก มาจากห้องน้ำ แล้วตบไปที่หน้าซ้าย และขวาสองทีอย่างแรง เขาทำเป็นเฉย แก้ตัวว่า “ข้อความนั้นอาจส่งผิดเครื่อง”

เธอเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือเขาขึ้นมา พร้อมโทรไปเบอร์ที่ส่งข้อความมา แต่เขากระชากแขนเธอไว้ ตะโกนใส่หน้าว่า “ถ้าเธอโทรไป เราจบกัน” (อารมณ์หึงหวงของผู้หญิงทุกคน แรงสุดๆทั้งนั้น คิดหรือ? แค่คำว่า “เลิก” จะขวางเธอได้ ไม่มีทาง) เธอกระชากโทรศัพท์มาจากมือเขา เขาบีบมือเธอแรงมาก (เธอน้ำตาไหล นี่หรือ? คนที่บอกว่าเกลียดทอมทำร้ายผู้หญิง นี่หรือ? คนที่บอกจะใช้ชีวิตกับเธอ นี่หรือ? คนที่เธอคิดว่า มีหนึ่งในล้าน ที่รักเธอที่ตัวตนของเธอ) สรุปวันนั้นเธอเลยไม่รู้ความจริงเลยว่า "เขาเจ้าชู้ แอบนอกใจหรือเปล่า"

ถึงแม้เธอจะไม่รู้ความจริงทั้งหมด แค่ความรู้สึกที่เธอมีตอนนี้ ก็เพียงพอที่ทำให้ผู้หญิงคนนึงร้องไห้ คร่ำครวญแทบบ้า และตัดสินใจที่จะเลิก กับทอมเจ้าชู้แบบเขา อย่างเด็ดขาด แต่แล้วเขาก็กลายเป็นฝ่ายไม่ยอมเลิกรากับเธอ มาง้อขอคืนดีกับเธอ ด้วยความใจอ่อน เธอจึงใจอ่อน และให้โอกาสเขา ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากตอนนั้น ถึงตอนนี้ก็เกือบ 6 เดือนแล้ว ทั้งสองก็ยังคงคบกันอยู่ (เพื่อนๆไม่ต้อง “งง” เรื่องในทำนองแบบนี้ เป็นเรื่องปกติในสังคม)

ณ วันนี้ ที่เรานำเรื่องเขาและเธอมาเขียน เนื่องจากว่า เราได้รู้ข่าวจากเพื่อนเราว่า “เธอได้ไปอาละวาดตบสาวของเขาอีกแล้ว” (เพราะอะไรน่ะหรือ? เพราะเขาก็ยังไม่เลิกสันดานเจ้าชู้ หว่านเสน่ห์ และให้ความหวังกับผู้หญิงไปทั่ว) และเพราะ "ความมักมาก" ของเขานี่แหละ ที่ทำให้เธอมีเรื่องให้คิด และหนักใจอยู่ร่ำไป (ส่วนเธอก็รักเขา จนไม่ลืมหูลืมตา)

เรื่องนี้ไม่อาจหาบทสรุป หรือคาดเดาได้ในอนาคต เพราะไม่มีใครสามารถบอกตอนจบของเรื่องนี้ได้ ตราบใดที่คนสองคนยังมี “กรรม” ต่อกันและกัน ก็คงจะต้องเป็น “คู่เวรคู่กรรม” กันต่อไป

แปลกนะ!!! บางทีคนเราสามารถ “ยุติ” เรื่องทุกข์ในใจได้ แต่เขากลับไม่เลือกทางนั้น เลือกที่จะวนเวียน อยู่ในทุกข์นั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เพียงเพื่อคำว่า “รัก สัมผัสรัก” เท่านั้น

“ความรัก มีหลายด้าน” หลายคนยังคงต้อง “วนเวียน” อยู่ในความรัก บางคนก็มีมากจนเกินไป บางคนก็เฉยชาเกินไป บางคนต้องการมากเกินไป หลายคนเสียตัวเพราะความรัก หลายคนเสียใจเพราะความรัก หลายคนเสียเงินเพราะความรัก และหลายคนเสียสติเพราะความรัก แต่จะมีสักกี่คนที่รู้จักใช้พลังความรัก “ขับเคลื่อน” ชีวิตให้สมบูรณ์

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

"การตกเป็นทาส"

วันนี้เราได้นอนเต็มอิ่ม จึงตื่นมาอย่างสดใส และมีรอยยิ้ม วันนี้ช่วงบ่ายเรามี Plan ไปดูหนัง “Underworld” ซึ่งเป็นหนังที่ดีเรื่องนึง ดูแล้วให้แง่คิด และสะท้อนมุมมอง เกี่ยวกับ “การเป็นทาส” ซึ่งเป็น “ภาวะ” ที่เหมาะกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน เนื่องจาก ประชากรส่วนใหญ่กำลังตกเป็น “ทาสของเงินตรา” และ “ทาสของความสะดวกสบาย”

มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกนี้ เลือกที่จะใช้ “ทุกอณู” ของชีวิต (โดยไม่ได้พักผ่อน) ไปกับ “การทำงานทุกรูปแบบ (งานประจำ, งาน Part time, งานหลัก, งานเสริม, งานพิเศษ)” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “เงิน” เพื่อที่จะ “ถีบตัวให้สูงพอ” ที่จะยกระดับตัวเองให้อยู่สูงขึ้นในสังคม

ด้วยความไม่รู้จักพอของมนุษย์ ทำให้หลายๆคน ต้องทำงานหนัก ณ ปัจจุบัน เพื่อที่จะชดใช้หนี้สินในเดือนก่อนหน้านี้ และ “วัฏจักรเวียนว่ายใช้หนี้” เช่นนี้ ก็ “กักขัง” ความเป็นมนุษย์ของเรา จนทำให้ “เราต้องเป็นทาสของความต้องการที่เกินจำเป็น” จนกว่าชีวิตเราจะ “จบสิ้น” ไปจากโลกนี้

แต่จะมีใครบ้างไหมนะ? ที่มีความคิด หรือบังคับตัวเอง ให้หลุดจาก “วงโคจร” และประกาศ “ความเป็นไท” ให้กับชีวิตของตัวเองได้ เพียงแค่วิธีง่ายๆ อยู่อย่างพอเพียง อยู่อย่างประมาณตน และไม่หลงไปกับความฟุ้งเฟ้อทั้งหลายในโลก (แค่คุณรู้จักตัวเอง และควบคุมสิ่งที่ ไหลออก และไหลเข้ามาในชีวิตคุณได้) คุณก็จะมีเวลามากขึ้น ที่จะ “สัมผัส” ความสวยงามของการเกิดมาเป็นมนุษย์

หมายเหตุ “เงิน” เป็นแค่ “สิ่ง” ที่มนุษย์ “อุปโลก” ขึ้นมาเพื่อต้องการให้ “การแลกเปลี่ยนสิ่งของ” ง่ายขึ้นเท่านั้น ซึ่ง “เงินจะมีความหมาย หรือไม่มีนั้น ก็คงต้องขึ้นอยู่กับตัวของคนแต่ละคนว่า จะใช้เงินเพื่ออะไร? และทำไมต้องการมัน? (หากมนุษย์แต่ละคนไม่ให้ความสำคัญกับ “เงิน” มากเกินไป เงินก็คงเป็นแค่เครื่องมือสำหรับการแลกเปลี่ยนเท่านั้น) และคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากในชีวิต คุณจะพบกับบางคนที่ยอมตายเพื่อ “เงิน” หรือ ฆ่าคนเพื่อ “เงิน”

แล้ว “เงิน” มีความหมาย และสำคัญอย่างไรในชีวิตของคุณ? คุณกำลังถูก “เงิน” ครอบงำหรือเปล่า? ตรองดูนะคะ

(หากผู้กำกับ หรือผู้เขียนบทเรื่อง Underworld มาอ่าน Blog เรา อาจจะตกใจว่า หนังเรื่องนี้ไปกระตุ้นต่อมความคิดเราได้ไง? เราถึงโยงมาได้เรื่อง “ทาสเกี่ยวกับเงินตรา”)

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน


วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

คุณมีพฤติกรรมเช่นนี้หรือเปล่า???

เมื่ออาทิตย์ก่อน เราไปนั่งทาน “ไดโดมอน” (เพื่อระลึกถึงรสชาติเก่าๆ สมัยตอนที่ เราเป็นวัยรุ่น ช่วงนั้น hit ทานกันมาก เรียกได้ว่า โอกาสไหน? เทศกาลไหน? ไดโดมอน คือทางเลือกแรกเสมอ) แต่ ณ ปัจจุบัน เวลาผ่านไป ทางเลือกก็มีมากขึ้น ทำให้คนเริ่มมองหา “สิ่งแปลกใหม่” ให้กับชีวิต ณ ปัจจุบัน มีร้านอาหารปิ้ง ย่าง แบบนี้ออกมามาก

บางร้านก็มีจุดเด่น ที่ “ความสดของเนื้อสัตว์” และ “ความหลากหลายของเนื้อสัตว์”,

บางร้านก็เด่นดังด้วย “รสชาติน้ำจิ้ม” ที่เด็ด ถูกใจทุกเพศและวัย,

บางร้านก็ดึงดูดด้วย “ราคา ลดกระหน่ำ” ไม่แพงมากจึงทานได้ในแทบจะทุกเทศกาล

แต่จะด้วยวิธีไหน กลยุทธไหน ก็เป็นประโยชน์ต่อ “ผู้บริโภค” เช่นพวกเราทั้งสิ้น

ขณะที่เรากำลังเพลิดเพลิน กับการลิ้มรสชาติเดิมๆของน้ำจิ้มสูตรเด็ดอยู่นั้น ก็มีเสียงโวยวายเสียงดังจากโต๊ะข้างๆ ดังขึ้นมา ทำลายบรรยากาศแห่งความอร่อยของเรา เสียงเปล่งออกมาจาก ผู้หญิงวัยประมาณ 34 ที่แต่งตัวดี ดูดีมีฐานะ ซึ่งกำลังไม่สบอารมณ์ กับพนักงานเสริฟ

เนื่องจาก เธอต้องการจะสั่งน้ำมะนาว (คั้นสด) มาดื่ม แต่ทางร้านไดโดมอนไม่มีเมนูนี้ เธอจึงโวยวายประหนึ่งว่า ถ้าไม่ได้ทานน้ำมะนาว ภายในวินาทีนั้น เธอจะต้อง “ลงแดง แห้งเหี่ยวตาย”

เธอยืนยันว่า “เธอเคยไปทานไดโดมอนสาขาอื่น มีน้ำมะนาวคั้นสด อยู่ในเมนูด้วย” แต่พนักงานเสริฟ ก็ตอบกลับแบบสุภาพว่า “ไม่มีคะ” เธอจึงโวยวายเรียก ผู้จัดการร้าน เพื่อมาสอบถามอายุงานของพนักงานคนนั้น รวมถึงขอเบอร์สำนักงานใหญ่ไดโดมอนด้วย เพื่อที่จะโทรไปโวยวาย ถึงเมนูที่ไม่ได้มาตรฐานของไดโดมอนในสาขาต่างๆ ผู้จัดการร้านก็ได้ออกมาขอโทษเป็นการใหญ่ และพยายามอธิบายว่า “เมนูน้ำมะนาวนั้น เลิกขายไปนานกว่า 2 ปีแล้ว” เขาจึง “ยอมรับผิด” พร้อมกับให้ “เกี๊ยวซ่า” จานนึงเป็นของ “อุดปาก” เธอ แล้ว ความสงบก็กลับคืนสู่การทานไดโดมอนของเราอีกครั้ง

พฤติกรรมของ “ผู้หญิง” คนนี้ ทำให้เราย้อนคิดไปถึงเรื่องที่ “กระเป๋ารถเมล์ คนนึง ผูกคอตาย” เนื่องจากมีผู้โดยสารโทรไปเข้าไปแจ้งว่า “นำตั๋วเก่ามาขาย” จนทำให้เขาต้องถูก ขสมก. ตั้งกรรมการสอบวินัย และไล่ออกจากงาน เป็นเหตุให้เครียด จนต้องตัดสินใจ “จบชีวิต” แบบไร้ค่ามาก (ที่ต้องตาย เพราะ “คำพูดของคนๆนึง ที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า เขาพูดจริง หรือโกหก)

เหตุการณ์ทั้ง 2 เหตุการณ์ข้างบนนี้ สะท้อนให้เราเห็นว่า “ความโอบอ้อมอารี และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ได้สูญหายไปจากสังคม”

สังเกตุได้จาก คนในสังคม เริ่มใช้ชีวิตอยู่ เพื่อตัวเอง (โดยไม่สนใจ สังคมที่ใกล้ที่สุด เช่นครอบครัว),

เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง (แม้ว่าจะ เหยียบหัว หรือข้ามชีวิตใครขึ้นมาก็ตาม),

เพื่อใช้เงิน (ที่หามาได้เพื่อซื้อความสุขให้ได้ “คุ้มค่าที่สุด” โดยที่เราอาจไม่สนใจว่า ความสุข และความพึงพอใจตรงนั้นของเรา จะทำร้าย หรือทำให้คนอื่นต้องเจ็บปวดแค่ไหน)

และเพื่อชื่อเสียงของตัวเองในสังคม และความสนใจของคนในสังคม (ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยวิธีการใด เลวร้ายเพียงไหน ขอแค่มีพื้นที่เล็กๆให้ยืนเป็น “จุดเด่น” ของสังคม เป็นพอใจ)

มีสถานที่ให้บริการหลายๆที่ พยายามจะบอกพนักงานว่า “ลูกค้า คือพระเจ้า ลูกค้า คือพระราชา”

ในแง่ของพนักงาน “ก็ต้องดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด รองรับอารมณ์ลูกค้าให้ได้ (แม้ว่าในใจจะ “เก็บกด” หรือ “โมโห” แค่ไหนก็ตาม แต่ไม่เป็นไร เลิกงานแล้วไประบายกับคนที่บ้าน แฟน หรือพนักงานในร้านค้าอื่น ที่เราได้มีโอกาสสวมบทบาท เป็น “ลูกค้า” บ้างให้หาย “คับแค้นใจ” ก็คงดีไม่น้อย)”

ในแง่ของลูกค้า “เงินที่ฉันทำงานอย่างหนักมาแทบตาย และยินยอมเสียไป เพื่อซื้อหาความสุข ก็ต้องให้ได้มาซึ่งความสุข โดยไม่สนใจว่า ความสุขนั้นจะทำให้ใครหน้าไหน? คิดยังไง? รู้สึกยังไง? เสียใจแค่ไหน? ก็ตาม”

และหากคนในสังคม “เปลี่ยนทัศนคติ” มาเป็นแบบ “ผู้หญิงขี้โวยวาย และผู้หญิงขี้ฟ้อง” (อย่างทั้งสองคนข้างบน) สังคมจะเป็นแบบไหนกันนะ???

ทุกคนเกิดมามี “สิทธิความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน” แต่บางทีการใช้ชีวิต ก็ต้องมีบ้าง ที่ “สิทธิของเรา ไปกระทบกับสิทธิของคนอื่น” ดังนั้นคงจะดีไม่น้อย หากเรา “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” และ “ให้อภัย” ซึ่งกันและกัน สังคมคงจะน่าอยู่ขึ้นมาเลย

ป.ล. เพื่อนๆท่านใด ที่พบ ทอม ดี้ เลส ที่มี พฤติกรรม “บ้าอำนาจ” เช่นนี้ ก็รบกวนช่วยกัน “สะกิดด้วย” เพื่อความสงบสุขของสังคม ญ รัก ญ ของเรา

วันนี้เขียนยาวไปหน่อย ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

งานนี้น้องหมา "ซวย"

สวัสดี วันอาทิตย์สบายๆ แต่ “กิจกรรม” ในวันนี้ของเรา ค่อนข้างหนักเชียวล่ะ กิจกรรมสุดท้าย ก็คือ “ซ้อมเพลง” กว่าจะเลิกก็สองทุ่มกว่าๆ กลับมาถึงบ้าน สามทุ่มกว่า เราก็เปิดทีวี ไปด้วยพร้อมๆกับทานข้าวเย็น ดูอะไรไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง Remote ไปหยุดอยู่ที่ช่อง 9 มีเทปการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขัน The Star 5 และเหมือนฟ้าประทานให้มีโอกาสได้เห็น “เขา” คนนั้นอีกครั้ง เขาคนนั้น ชื่อ “ดิว” เคยเป็น 1 ใน 20 คนสุดท้ายของ AF4 ถ้าเพื่อนๆคนไหนติดตามอ่านงานเขียนของเราจาก Lesla อาจพอจำได้บ้างว่า “เราค่อนข้างชอบเขา ความเป็นส่วนตัวของเขา และด้วยบุคลิกที่แตกต่าง ขวางโลกนี่แหละ เขาเป็น ผู้ชายคนเดียวในโลกที่เราได้ฟังเสียงเขาแล้ว เรารู้สึกถึงรอยยิ้มที่มาจากหัวใจ” และเขาก็ทำสำเร็จจนได้ เขาติด 1 ใน 5 ตัวแทนภาคอีสาน (ยินดีด้วยนะคะดิว เราหวังว่า เราจะได้เห็นคุณร้องเพลงบนเวทีอีกครั้งนึง และหวังว่า เสียงของคุณ จะช่วยกระตุ้นให้เรามีรอยยิ้มได้อีกครั้ง)

ก็เป็นอันรู้กันนะคะว่า ความสัมพันธ์ และความรักแบบพวกเรา (ทอม ดี้ และเลส) ทั้งหลายนั้น ไม่สามารถที่จะ “เปิด” โรงงานผลิตลูก เพื่อกระจายพันธุกรรมไปสู่สังคมได้ ดังนั้น คงไม่แปลก ที่พวกเราจะ “อุปโลป” นำเอาสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ น่ารัก species หรือสายพันธุ์ต่างๆ มาเป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัว เพื่อ “เติมเต็ม” ส่วนที่ขาดไป

“พี” ทอม และ “นี” ดี้ วัยกลางคน (30 up) ได้คบกันมานานเกือบปีแล้ว ทั้งคู่มีความตั้งใจที่จะอยู่ด้วยกันจนกว่าใครสักคนจะตายกันไปข้างนึง (ความคิดดีนะคะ แต่ทางปฏิบัติล่ะ จะทำได้หรือ?) เขารักและให้เกียรติเธอทุกอย่าง วันนึงทั้งคู่ไปเดินตลาดนัดจตุจักรด้วยกัน เธอรบเร้าอยากได้น้องหมาพันธ์ชิสุห์ เธอให้เหตุผลว่า “เขา เธอ และน้องหมา จะหลอมรวมกันเป็น ครอบครัว” เขาตามใจเธอ ซื้อน้องหมามาเลี้ยง ชีวิตรอบตัวดูจะสวยงามไปหมด

ผ่านไป 3 ปี สำหรับชีวิตครอบครัวที่ดูเหมือนจะอบอุ่น หากแต่ “อุบัติเหตุความรัก” มักจะมาตอนที่เราไม่ทันได้ตั้งตัวเสมอ เมื่อเธอได้ไป “สะดุด” ความหล่อ และรวย ของทอมอีกคน สาเหตุนี้ ทำให้ครอบครัวเริ่มจะมีปัญหา และที่แย่กว่านั้น ก็เมื่อทอมคนนั้น ตกลงปลงใจคบกับเธอ

และ ณ วันนั้นเธอจึงตัดสินใจเห็นแก่ตัว ขอ “แยกทาง” กับเขา โดยไม่สนใจว่าน้องหมา (ที่เธอเคยรบเร้าอยากจะได้) จะต้องเป็น “กำพร้า” เธอโยนน้องหมา ให้เป็น “ภาระ” ของเขา เขาต้องแยกออกไปเช่า apartment ซึ่งก็ไม่สามารถนำน้องหมาไปเลี้ยงได้ ไม่ว่าเขาจะรักน้องหมามากแค่ไหน เขาก็ต้อง “จับใจ และตัดใจ” ส่งน้องหมาไปอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด

ถ้าจะถามว่าเขาเสียใจไหม? แน่นอน เขาเสียใจมาก แต่ก็นะ เมื่อคนสองคนคบกันแล้ว ไปด้วยกันไม่รอด ก็ต้องแยกทาง ดูเหมือนจะเป็น “วัฏจักร” ของชีวิต แต่ “ผลกรรม” ของการแยกทางของเขาและเธอ กลับไปกระทบสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะเสียใจที่สุด ที่ไม่รู้เรื่อง รู้ราว เริงร่ามีชีวิตอยู่เป็นครอบครัวได้ยังไม่ถึงครึ่งชีวิตดี ก็ต้องถูก “เนรเทศ” ไปประสบชะตากรรมที่ไม่ยุติธรรมเสียแล้ว

ฝากไว้นะคะ สำหรับเพื่อนๆที่คิดจะใช้ “สัตว์เลี้ยง” เป็นตัว “เชื่อม” หรือ “ผูกสัมพันธ์” ความรักคู่ของคุณ ถ้าคุณไม่แน่ใจจริงๆ กับความรักของคุณในครั้งนี้ อย่าคิดเพียงแต่ว่า “อยากเติมเต็มให้กับชีวิตคู่ของคุณ โดยลืมที่จะคิดถึงสิ่งที่ควรรับผิดชอบ กับผลที่จะตามมา หากเกิดเหตุการณ์ไม่แน่นอนในอนาคต”

ได้โปรด!!! อย่า!!! ไปหาสิ่งมีชีวิตมาร่วมทรมานด้วยเลย สงสารพวกเขาคะ (ไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่มีหัวใจ รู้สึกเป็น สัตว์และสิ่งมีชีวิตทุกตัวในโลก ก็รู้สึกเช่นกัน)

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

If We hold on together

วันนี้เราซ้อมร้องเพลงนี้ If we hold on together เป็นเพลงที่มีความหมายดีมากเพลงนึง เนื่องจากวันนี้เราเหนื่อยมากมาย จึงไม่มี “งานเขียน” อะไรมานำเสนอเพื่อนๆ เอาเนื้อเพลงนี้ไปก่อนนะคะ

If we hold on together

Don't lose your way
With each passing day
You're come so far
Don't throw it away
Live believing
Dreams are for wearing
Wonders are waiting to start
Live your story,
Faith, hope and glory
Hold to the truth in your heart
If we hold on together
I know our dreams will never die
Dreams see us through to forever
When clouds roll by
For you and I
Souls in the wind
must learn how to bend
Seek out a star
Hold on till the end
Valley, mountain,
There is a fountain
Washes our tears all awayWords are swaying,
Someone is praying
Please let us come home to stay
When we are out there in the dark
We'll dream about the sun
In the dark we'll feel the light
Warm our hearts, everyone
If we hold on together
I know our dreams
Will never die
Dreams see us through to forever
As high as souls can fly
The clouds roll by
For you and....I

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน


วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

1 ใน 3 สิ่งมหัศจรรย์

ช่วงนี้อารมณ์ไหนก็ไม่รู้ อยู่ๆก็ลุกขึ้นมา “ล้างรถ” (ด้วยตัวเอง) เหนื่อยแต่ก็ฝึกสมาธิดีนะ ค่อยๆ ขัด ค่อยๆ ถู (ทำให้จิตใจปลอดโปร่งอย่างประหลาด) วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เหนื่อยได้ใจเลยคะ ตื่นมาแต่เช้า วิ่งไล่จับน้องแมว 2 ตัว อาบน้ำ เป่าขนให้แห้ง (กว่าจะ “เสร็จกิจ” เราก็โดนไปหลายแผลเหมือนกัน ลึกๆทั้งนั้น) แล้วก็ทำ “งานบ้าน” เป็น “แจ๋ว” เลย ตกเย็นก็ออกไปเล่น “โยคะ” (เหนื่อยมากเลย แต่ก็รู้สึกดีนะคะ หัวโล่ง ปลอดโปร่งมาก) พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าคุณแม่จะปลุกไปเดิน “เกษตรแฟร์” วันสุดท้ายหรือเปล่า มาเข้าเรื่องกันดีกว่า

ในสังคม Internet คงเถียงไม่ได้ว่า การที่เราจะได้รู้จัก และคบกับใครเป็นแฟนนั้น ล้วนต้องผ่าน 3 สิ่งมหัศจรรย์ (ไม่ใช่ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกนะคะ)มหัศจรรย์แรก “MSN” (กามเทพยุคดิจิตอล) มหัศจรรย์ที่ 2 “Webboard” (ตะเกียงวิเศษ ทุกสิ่งที่คุณต้องการ คุณจะหาเจอได้จากที่นี่ แค่อธิษฐานแล้ว post) สุดท้ายมหัศจรรย์แบบมันๆก็ต้อง “Chatroom” (ตลาด barter หัวใจมือสอง คุณจะสมมติตัวเองเป็นใครก็ได้ ที่สำคัญวิธีนี้ผู้สูงอายุไม่ควรเลือกใช้ เพราะอาจทำให้ตาลาย วิงเวียน หัวใจตายคาคอมได้)

ถ้าเพื่อนๆจะหาแฟน หรือกิ๊กด้วยวิธีใดก็ตาม ในสิ่งมหัศจรรย์ 3 สิ่งนี้ ก็คงเพราะมีความหวังว่า จะเจอ “สิ่งที่มหัศจรรย์ที่ดีที่สุด คือความรักแท้” การได้มีใครสักคนเรียนรู้ใจกัน และอยู่ด้วยกันนานๆ แต่บางทีคุณก็อาจจะเจอ “สิ่งมหัศจรรย์ที่แย่ที่สุดในชีวิต” ก็ได้ (อย่างเช่น เสียเงิน เสียตัว เสียเวลา เสียน้ำตา และเสียหน้า) ใครจะเจอประเภทไหน ก็ขึ้นอยู่กับ “ความไม่ประมาท” ในการหาแฟน (ตำรวจชอบบอกว่า “ขับรถไม่ควรประมาท” แต่ Reveal ขอบอกว่า “การหาแฟนไม่ควรประมาท”) โดยรวมๆ ก็ไม่ควรใช้ชีวิต “อย่างประมาท”

หลายคนอาจจะเคยพบเจอ “ผู้ชาย” ที่แวะเวียนปลอมตัวปะปนมา เพื่อที่จะทดสอบความเป็น ญ รัก ญ ของพวกเรา ผู้ชายพวกนั้นจะลง e-mail ไว้ให้เพื่อนได้ add ไปบ้าง บางทีจะลงรูปทอมที่หล่อๆ พ่วงด้วยลงเบอร์มือถือ เพื่อที่จะให้โทรไปหาบ้าง หรืออาจจะเข้ามาใน Chatroom คุยกับดี้ แล้วขอเบอร์ไปบ้าง สารพัดวิธีที่พวกผู้ชายพวกนี้จะสรรหา วันนี้เราจะ “แฉ” เรื่องหนึ่งที่เกิดกับเพื่อนสนิทของเราเรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อน
“ดาว” เป็นอีกคนที่ชอบเข้าไป Chatroom เธอเข้าไปในห้อง “Lesla Home” และเจอทอมคนนึง zip มาคุยด้วย เขาแนะนำกับเธอว่าชื่อ “ฟาง” (จริงๆแล้วเป็นผู้ชายปลอมตัวมา ใช้ชื่อหญิงมากนะย่ะ) เขาขอ e-mail เพื่อที่จะ add เข้าไปคุยกับเธอต่อทาง MSN ทั้งสองเริ่มบทสนทนาโดยการสอบถามข้อมูลส่วนตัวของกันและกัน เขาบอกว่า เขาทำงานอยู่ที่ซาอุฯ ทำงานบริษัท จะกลับมาเมืองไทยปีหน้า บ้านอยู่แถวคลองเตย เป็นลูกคนเล็ก มีพี่ชายคนเดียว เขาได้โชว์รูปทอมคนหนึ่งหล่อมาก (ไม่ใช่รูปมัน)

คุยไปได้ 2 เดือนทั้งสองตกลงใจคบกัน ทุกๆวัน เธอจะใจจดใจจ่อรีบกลับมาเพื่อรอ online คุยกับเขา เธอตกหลุมรักเขาเข้าอย่างจัง (โดยไม่รู้ว่าเป็นผู้ชาย) เวลาผ่านไป 7 เดือน คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งคู่ผูกพันกัน และเธอมีความรู้สึกอยากจะได้ยินเสียงเขา เธอขอคุยกับเขาผ่านโปรแกรม Skype แต่เขาปฏิเสธ โดยบอกว่าไม่รู้จะหาซื้อ headphone ยังไงที่ซาอุฯ มีทางเดียวก็คือ เธอต้องโอนเงินเข้าบัญชีพี่ชายเขา แล้วจะให้พี่ชายซื้อจากเมืองไทยส่งไปให้ เพราะเขาจำที่อยู่ที่ซาอุฯ ไม่ได้ และยังไงทุกๆเดือน ทางบ้านเขาต้องส่งของแห้งมาให้อยู่แล้ว (เพื่อนๆอ่านแล้วคิดตามนะคะ)

เธอเชื่อในคำพูดของเขา แล้วโอนเงินเข้าไปบัญชีพี่ชายเขา 5000 บาท (ค่า headphone รวมค่าส่ง) ผ่านไปอีกเดือน เขาบอกว่ายังไม่ได้รับ headphone ที่ส่งมา ให้เธอโทรหาพี่ชายเขา เธอโทรไปเสียงผู้ชายรับบอกว่าชื่อ “หนุ่ม” เป็นพี่ชายของเขาได้รับเงินที่เธอโอนมาแล้ว และส่งของไปให้เขาแล้ว แต่ทำไมยังไม่ถึงอีก เธอถามถึงที่อยู่ของเขา และยืนยันจะซื้อส่งไปให้เอง แต่พี่หนุ่มบอกว่า “ไม่เป็นไรแม่พี่ จะส่งของไปให้เขาพอดี ให้เธอโอนเงินมา 2500 ค่า headphone” เธอเชื่อยอมโอนเงินไปอีก (เพื่อนๆอาจคิดว่า เธอโง่ แหมใครก็อยากได้ยินเสียงคนที่ตัวเองรัก คุยกันมาเกือบ 8 เดือนแล้วนะคะ)

ผ่านไปอีกเดือน เขายังคงไม่มี headphone เธอเลิกหวังที่จะคุยกันผ่านทาง Skype แล้ว เธอเริ่มถามว่าที่นั่นมีเบอร์โทรศัพท์ไหม? เขาบอก “ไม่มีเพราะเขาทำงานอยู่นอกเมือง” ด้วยความเป็นผู้หญิงโรแมนติก เธอจึงขอที่อยู่เขา เธอจะส่งจดหมาย และของเล็กๆน้อยๆไปให้เขา เมื่อเธอถาม อยู่ๆเขาก็โกรธเธอมา พิมพ์บอกเธอว่า “ไม่ต้องลำบากหรอก แฟนคนเก่าๆของเขา ไม่เห็นจะจุ้นจ้านเหมือนเธอเลย” เธอแอบเสียใจลึกๆ

เธอได้สแต่ปลอบตัวเองว่า “รักแท้ ต้องอดทน” อยู่ๆพี่หนุ่มก็โทรหาเธอ เล่าเรื่องเขาให้เธอฟังว่า เขาเป็นเด็กดี พูดหว่านล้อมจนเธอไม่น้อยใจ และสงสัยเขาอีก และคืนหนึ่งตอนตี 2 พี่หนุ่มโทรมาบอกแม่ไม่สบาย พี่หนุ่มอยู่ต่างจังหวัดให้เธอโอนเงินไปให้แทนเขาหน่อย 10000 เพราะพี่หนุ่มไม่ว่างโอนให้ จ่ายค่ารักษาไปก่อน พูดประมาณว่า “จริงๆแล้วแม่รับเรื่องที่เขาเป็นทอมไม่ได้ แต่ถ้าเธอช่วยอาจจะทำให้แม่ยอมรับ มันจะเป็นประโยชน์ต่อ เธอและเขาในอนาคต”

เธอก็โง่ รุ่งขึ้นรีบไปโอนเงินให้อีก เวลาผ่านมาปีกว่า ที่ทั้งสองคุยกันโดยไม่เคยได้ยินเสียง และเห็นแค่หน้าทอมที่ไหนก็ไม่รู้ ที่เขาเอามาอุปโลบว่าเป็นตัวเอง เธอเสียเงินไปกับครอบครัวนี้หลายหมื่น แต่เธอต้องอดทนเพียงเพื่อคำว่า “รัก” ที่เขาพิมพ์ผ่าน MSN ให้เธออ่านทุกวัน

ท้ายสุดโชคเข้าข้างเธอ เมื่อพี่สาวเธอได้ย้ายไปทำงานเกี่ยวกับทะเบียนราษฎร เธอจึงถือโอกาสเช็คชื่อ และนามสกุลของพี่หนุ่มที่เธอโอนเงินเข้าไป พบบ้านเลขที่ ถนนที่อยู่ เธอพบว่าพี่หนุ่ม (นาย โกศล เป็นลูกคนเดียวของ นาง... และนาย...) เธออึ้งพูดไม่ออก โทรหาเรา เราบอกให้เธอเข้าไป online และบอกเรื่องนี้กับเขา และโกหกเขาไปว่า เธอไปถามคนข้างๆบ้านเขามาแล้ว ให้เขายอมรับความจริง สักพักพี่หนุ่มก็โทรมา เขายอมรับความจริงว่า “จริงๆแล้ว เขาคือพี่หนุ่ม เขาต้องการเขามาหาผู้หญิงดีๆสักคนในเวปนี้ เพื่อที่จะไปเป็น คู่ชีวิต และมีความหวังว่า เธอจะเปลี่ยนใจกลับไปรับผู้ชายอย่างเขาได้” (เสียใจด้วยนะคะ นายโกศล...) เธอเป็นดี้ born to be คำตอบก็ชัดแล้วว่า “ไม่ได้” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ เรื่องเงินที่เสียไป ไม่เท่ากับความรู้สึก และเเวลาที่เธอเสียไป ให้กับผู้ชายเห็นแก่ตัวคนนี้

ฝากเอาไว้ให้อ่าน เพื่อเตือนใจ เตือนสตินะคะ

ขอบคุณนะคะทิ่ติดตามอ่าน

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Golden Rules

ช่วง 2-3 วันนี้ “งานเขียน” ของเรา ค่อนข้างจะ “หนัก” เอาการ วันนี้ขอแบบสบายๆดีกว่าเนอะ ประชาสัมพันธ์กันนิดนึง ช่วงนี้มีงาน “เกษตรแฟร์” ที่มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ซึ่งงานจะหมดวันที่ 7 ก.พ. หรือวันเสาร์นี้ หากเพื่อนๆคนไหนว่าง ก็ลองไปกันดูนะคะ (เราไปเดินมาแล้ว 2 วัน เพลินดีคะ เหนื่อยหน่อย แต่สนุกดีคะ ได้ของมาเยอะแยะเลย)

วันนี้เราขอนำเสนอ “กฏทอง” ในการครองรักให้มีความสุขและยั่งยืน

กฏทอง 10 ข้อของคนรักกัน (รักษาสภาพรักแท้ๆ)

กฎทองข้อที่1 เราจะ “ไม่โกรธพร้อมกันทั้งสองคน” อย่างที่คนโบราณเค้าว่า “ถ้าเขาร้อนเป็นไฟ คุณก็ต้องเย็นให้ได้ดั่งน้ำ” (น้ำเปล่านะ ไม่ใช่น้ำมัน)

We will not simultaneously get angry. Be cool as water whenever another one being fire.

กฎทองข้อที่2 เราจะ “ไม่ตะโกนใส่กันเด็ดขาด” ยกเว้นตอนเกิดไฟไหม้บ้านกระทันหัน (ถ้าไฟไหม้จริงๆ อย่าแค่ตะโกนใส่กัน มีสติ ดับไฟด้วยนะจ๊ะ)

We will not shout into each others faces beside our house is accidentally on fire.
กฎทองข้อที่ 3 จำไว้ว่า “ไม่มีใครชอบคำติ” หากจะคุยถึงสิ่งที่คุณไม่ชอบให้เขาทำอย่าลืมพูดให้หวานๆเข้าไว้ (ไม่ใช่พูดว่า “น้ำตาลๆๆๆ” นะ)

Nobody loves to be criticized. When talking of what you dislike or need his/ her improvement, use soft & sweet words.
กฎทองข้อที่ 4 เราจะ “ไม่มารื้อฟื้นเรื่องบาดหมางในอดีต” ถ้าจะคุยเรื่องเก่าๆ เลือกเรื่องหวานๆ ของสองเราจะดีกว่า

We will not revive any bad old practices, but only our romaces.
กฎทองข้อที่ 5 ทำให้เขารู้สึกว่า “เขาสำคัญสำหรับคุณเสมอ”

Make him/ her know how much she means to you.
กฎทองข้อที่ 6 สัญญากันนะว่าเราจะ “ไม่โกรธกันข้ามคืน” เพราะคุณนั่นแหละจะนอนไม่หลับ คุยกันให้เข้าใจกันก่อนดีกว่า หันหลังให้กัน (ทางที่ดี หากิจกรรมเข้าจังหวะทำดีกว่า)

Promise me that we will not peevish over-night. Talk face to face not back-chat.
กฎทองข้อที่ 7 “คุยกันให้มากหน่อย” จะช่วยให้ความรักระหว่างเราเข้าใจกันมากขึ้น จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ที่คุณเจอะเจอ เรื่องงานของคุณ หรือหนังสือที่คุณเพิ่งอ่านจบ ลองเล่าสู่กันฟัง แล้วคุณจะรู้สึกได้เลยว่าเราผูกพันกันมากขึ้นกว่าเดิม

Tell him or her more about anything in your life to tie you up together.
กฎทองข้อที่ 8 “ถ้ารู้ตัวว่าทำผิดก็ขอโทษซะ” ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียฟอร์มหรอก

Don''t be shy to show him/her your apology. When you have something mistaken
กฎทองข้อที่ 9 อย่าเข้าใจผิดว่า การอยู่ด้วยกันตลอดเวลา หมายถึงความเอาใจใส่อย่างแท้จริง เพราะการใส่ใจ คือ การให้ความสนใจเต็มร้อยเวลาที่อยู่ด้วยกัน(ไม่ใช่คุณนั่งฟังเขาพูด แต่ดูทีวีไปด้วย)

Don''t misunderstand that being together always is to show your heedfulness.
กฎทองข้อที่ 10 อย่าลืมทำให้เขารู้ว่า เรายังรักกันเสมอ …

Lastly, realize him/ her that your love still exists and will be eternally last.

กฏข้อนี้เราแถมให้นะคะ “ก่อนที่จะคิดตัดสินใจ หรือตัดใจจากใคร” ควรไตร่ตรองให้ดี และรอบคอบ เพราะการที่จะได้รู้จักใครซักคนเป็นเรื่องที่วิเศษ และมหัศจรรย์ยิ่งนัก อย่าให้เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยชั่วไม่กี่นาที เป็นตัวตัดสินทำลายความสัมพันธ์ที่มีมา “มันคุ้มกันแล้วเหรอ!!” เพียงคำว่า “อภัย และปรับตัวเข้าหากันใหม่” ก็อาจเป็น “ทางออก” ที่ดีกว่าไหม

ส่วนใหญ่ปัญหามักเกิดเพราะการไม่คุย ไม่พูด คิดเอาเอง, ปัญหาเกิดเพราะไม่คิดจะแก้ไข, ปัญหาเกิดเพราะทิฐิ, ปัญหาเกิดเพราะคิดว่าไม่รู้จะทำไปทำไม?, ปัญหาเกิดเพราะนึกถึงแต่ตัวเองคิดว่า ทำอย่างนี้ดีที่สุดแล้ว แต่อีกฝ่ายคิดแบบเดียวกับคุณหรือเปล่า? (คุณก็ไม่รู้)

จนสุดท้ายก็มีแต่ความเสียใจ คุณเลือกที่จะ “ยอมรับ” ในสิ่งที่เค้าทำแล้วรักษาสิ่งดีๆ ต่อไป หรือเลือกที่จะ “ทำลาย” เมื่อคุณไม่ได้มาซึ่งสิ่งที่คุณต้องการ!!

เราอยากแนะนำ ให้เพื่อนๆเลือกที่จะมีชีวิต “รักแบบใช้สติ” จะได้ไม่ต้องเกิดอุบัติเหตุรัก ที่ไม่มีประกัน (เพราะไม่มีบริษัทประกันไหนกล้ารับประกัน) เพราะการที่คุณเลือกคนผิด คุณอาจไม่ได้เสียแค่เงินทอง เสียเวลา เสียสติ เสียสุขภาพจิต เสียประวัติ สุดท้ายอาจต้อง เสียตัวฟรีนะจะบอกให้ 5555555

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

การสูญเสีย

เมื่อต้องเอ่ยถึงคำว่า “การสูญเสีย” ไม่ว่าจะเป็น “การลาจาก หรือการจากลา” แบบ “จากเป็น” (อกหัก ทะเลาะ เลิกคบ ต้องแยกจากกันด้วยระยะทาง การเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกฯลฯ) หรือ “จากตาย” (สิ้นบุญ หมดลมหายใจ จบชีวิตแบบกระทันหันฯลฯ) ล้วนเป็น เหตุการณ์ หรือสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะว่า “การสูญเสีย” นั้น มักจะเดินทางมาพร้อมกับ “ความเจ็บปวด ความเศร้า น้ำตา และการเสียใจ” แต่ในชีวิตมนุษย์ธรรมดาเช่นพวกเรา ก็ไม่เคยมีใครที่จะ “หลีกหนี” ช่วงเวลาแห่งการสูญเสียได้

หากต้องสูญเสียบางคน ที่เราไม่ได้ “แคร์ และสนใจ” ถึงการมีตัวตนของพวกเขา (เพราะพวกเขาไม่มีส่วนทำให้ชีวิต หรือความเป็นตัวตนของเราดีขึ้น หรือแย่ลงเลย) ดังนั้น การต้องเสียเขาไป อาจไม่มีผลกระทบโดยตรงถึงเรา

แต่หากเต้องสูญเสียบางคน ที่เราได้ผูกพัน และมีความรู้สึกลึกซึ้งที่เรียกว่า “รัก” ด้วยแล้ว แค่เพียงความคิดแวบเดียว ที่เผลอคิดไปว่า “ต้องเสียเขาไป ไม่ว่าจาก เป็นหรือจากตาย ต้องดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่มีเขา” ความคิดแค่นี้ ก็อาจทำให้มีเมฆดำมาปกคลุมจิตใจ ความกลัว ความกังวล ก็เดินทางมาถึง ทำให้อารมณ์ “ดับวูบ” แบบหาสาเหตุไม่ได้

และยิ่งถ้าต้องสูญเสียเขาไปจริงๆ ด้วยแล้ว ชีวิตในช่วงนั้นคงต้องถึง “ทางตัน” มีชีวิตอยู่โดยหายใจเข้า และออก เป็น “ความสิ้นหวัง” และชีวิตเดินวนเวียนอยู่กับ “กับดักทางความเศร้า” โดยที่ลืม “รอยยิ้ม” และ “ชีวิตสดใส” ที่เคยมีไปจนหมดสิ้น

แต่ “วัฏจักร” ของโลก ก็ยังคงดำรงอยู่ ไม่ว่าเราจะ “เต็มใจ พร้อมใจ” ที่จะ “เปิดใจรับ” การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งในโลกหรือไม่ก็ตาม

หลายครั้งที่ “ความสูญเสีย” เดินทางเข้ามาหาเราโดยที่เไม่ได้ตั้งตัว และเมื่อต้อง “สูญเสีย” ไปแล้ว อารมณ์ และความรู้สึกผิดก็ “วิ่งประดัง” เข้ามาหาเรา ชวนให้เรา “กล่าวโทษ” ตัวเองว่า

“ทำไมตอนนั้นไม่ทำอย่างนั้น ตอนนั้นไม่ดูแลให้ดีกว่านี้ อยากจะขอโอกาส ขอเวลาอีกสักเพียง 1 นาที เพื่อจะกลับไปแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด แต่ก็ดูเหมือนว่า เบื้องบน หรือชะตาฟ้าลิขิต ได้ปฏิเสธ คำขอร้องของเราอย่างสิ้นเชิง”

“สัจธรรมของโลก” ก็คือ “มีเกิด ก็ต้องมีดับ, มีจุดเริ่มต้น ก็ต้องมีจุดสิ้นสุด และมีรัก ก็ต้องมีจาก”

ดังนั้น คงมีแค่คติพจน์ที่ว่า “จงทำวันนี้ เวลานี้ วินาทีนี้ให้ดีที่สุข เพื่อว่าเมื่อมีความไม่แน่นอนบางอย่าง เกิดขึ้นในอนาคต เราก็ได้ทำดีที่สุดแล้วกับทุกสิ่ง”

ป.ล. น้องแมวตัวเมียของเรา ทำหมัน ตัดไหม อย่างปลอดภัยแล้ว แต่ก็ต้องมาลุ้นกันอีกว่า หลังจากทำหมันแล้ว เจ้าหล่อนจะกินเก่งหรือเปล่า (ขอบคุณพระเจ้า ที่ประทานความเข้มแข็งให้น้อง ผ่านช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดนั้นไปได้)

ป.ล. “งานเขียน” วันนี้มี “แรงกระตุ้น” มาจาก “น้องมอมแมม” (น้องแมวอายุ 9 ปี กับอีก 1 เดือนของเรา) หลังจากเราได้ฟังสัตวแพทย์พูดว่า “อายุเฉลี่ยของแมวอยู่ที่ 12 ปี” ท้องไส้ และระบบประสาทของเราเริ่ม “ดับวูบ” หัวใจเราเต้นไม่เป็นจังหวะ “ความกังวล” เริ่มเปลี่ยนเป็น “ความกลัว” เราแต่ได้แต่นั่งนิ่งๆ พอตั้งสติได้ เราก็ได้พูดกับตัวเองว่า “ไม่ว่าเวลาแห่งชีวิต จะเหลืออีกแค่ไหนก็ตาม แต่ในทุกๆวัน ทุกๆวินาทีของชีวิต พี่จะรักหนู และดูแลหนูให้ดีที่สุด ด้วยทรัพยากรชีวิตทั้งหมดของพี่”

เหลืออีกกี่วัน..อีกกี่คืน ที่จะมีเธอ เหลืออีกกี่ลมหายใจ ที่จะได้เจอ...กับความสดใส
เวลามีน้อย...เหลือเกิน ที่ให้ฉันได้เตรียมหัวใจ ว่าภาพที่เคยเห็น..ไม่นาน จะเป็นแค่ความหลังไป

ต่อจากนี้...นาทีนี้ จะนับทุกลมหายใจ เก็บเอาวัน...เวลา แต่ละหยดหยาดไว้...ข้างใน
จากวันนี้...คนๆนี้ จะรักเธอสุดหัวใจ และจะย้ำซ้ำๆ จากวันนี้..จนถึงวันไกล...ว่ารักเธอ....
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Money หรือ เงิน

เรามี Plan ไว้ในใจว่า จะซื้อ Mac Book Air สักเครื่อง มาสนอง need ตัวเอง (ทั้งๆที่ notebook เครื่องที่ใช้อยู่ก็ยังใช้ได้ดีอยู่) เราคำนวณงบประมาณ และทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ตั้งใจว่าอาทิตย์หน้าจะซื้อให้เป็นของขวัญวัน Valentine ให้กับตัวเอง

แต่เมื่อวันเสาร์เรามีโอกาสได้คุยกับ พี่คนนึง ที่เขามีปัญหาเรื่องเงิน เขาเป็นคนขับ taxi และต้องมีภาระรับเลี้ยงแม่ที่ชรามาก รวมถึงน้องสาวที่มีลูกอ่อน (สามีทิ้งไป) เขาจำเป็นต้องมีเงิน 50000 เพื่อไปจ่ายค่างวดรถ (ที่ค้างไว้) เนื่องจากหลังจากที่รถโดนยึดไปนั้น เขาก็ไม่มีรายได้ ทำให้คนในความรับผิดชอบเขาอีกหลายชีวิต ต้องลำบากไปด้วย

(เมื่อเราได้ฟังดังนั้น เราก็คิด คิด และก็คิด) พลางหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาดูรูปน้องแมว และถามตัวเองว่า “จำเป็นไหม? สำหรับสิ่งที่เราจะซื้อ” เรานั่งคิดอยู่สักพัก เราจึงเรียบเรียงเรื่องราวในหน้านี้ขึ้นมา (เพื่อว่า ถ้ามีเพื่อนบางคน ที่กำลังจะตัดสินใจใช้เงิน เพียงเพื่อแค่สนอง need ตัวเอง แต่สิ่งนั้นไม่ได้จำเป็นในชีวิตแล้ว อาจได้คิด และลองเปรียบเทียบในใจกันเล่นๆดู)

เงิน 10000 บาท สำหรับบางคน อาจถูกใช้ไปสำหรับการทดสอบ ทดลองซื้อ เครื่องสำอางชั้นนำ ที่ “โฆษณา” ทางทีวี และนิตยสาร (แค่เพียงอยากรู้ และอยากลองตาม fashion เท่านั้น)

เงิน 10000 บาท สำหรับบางคน อาจถูกใช้เพื่อเป็นจุดเปลี่ยนชีวิต และยกระดับชีวิตของเขา ด้วยการนำไป “ลงทุน” ทำธุรกิจเพื่อเลี้ยงชีพตัวเองและครอบครัว

เงิน 5000 บาท สำหรับบางคน อาจถูกใช้ไปสำหรับเสื้อผ้าสวยๆสักชุด ไว้ใส่เดินเล่น (ซึ่งเสื้อผ้าชุดนี้ อาจมีโอกาสได้ใส่เพียงไม่กี่ครั้งก็ได้)

เงิน 5000 บาท สำหรับบางคน อาจถูกใช้ไปเพื่อเป็น “ค่าเทอม ค่าชุดนักเรียน ค่าหนังสือ ค่ารถรับ-ส่ง” ให้กับเด็กสักคนให้ได้มีโอกาสได้รับการศึกษา

เงิน 3000 บาท สำหรับบางคน อาจถูกใช้ไปเพื่อซื้อรองเท้ามียี่ห้อสักคู่ เพื่อใส่เดินบนถนน

เงิน 3000 บาท สำหรับบางคน อาจถูกใช้เพื่อ ซื้ออุปกรณ์ลงทุนขายก๋วยเตี๋ยวเพื่อเพิ่มรายได้ และมีเงินพอเลี้ยงชีพ

เงิน 1000 บาท สำหรับบางคน อาจถูกใช้เพื่อ ทานอาหารในร้านหรูๆ เพียงลำพังคนเดียวสักมื้อ (อาหารที่รับเข้ามา ไม่นานก็ต้องถ่ายออกไป)

เงิน 1000 บาท สำหรับบางคน อาจคือเงินที่จะประดังชีวิตเพียงพอ ซื้อข้าวสารมาเลี้ยงคนครอบครัวไปได้ทั้งเดือน

เงิน 500 บาท สำหรับบางคน อาจถูกใช้เพื่อซื้อ นิตยสารเกี่ยวกับความงามสัก 2-3 เล่ม

เงิน 500 บาท สำหรับบางคน อาจถูกใช้เพื่อซื้ออาหารเลี้ยง สุนัข และแมวได้ตลอดทั้งเดือน (มีอีกหลายชีวิตที่อยู่รอด)

เงิน 100 บาทสำหรับบางคน อาจถูกใช้เพื่อซื้อกาแฟสดสักแก้ว ดื่มเพื่อสนอง need ตัวเองหรือค่านิยม (ก็ไม่มีใครสรุปได้)

เงิน 100 บาทสำหรับบางคน อาจคือค่าแรงที่ตรากตรำทำงาน โดยไม่ได้หยุดพักทั้งวัน ทั้งคืน (ที่ยังไม่หักรายจ่ายในแต่ละวัน)

บางคนมีความสามารถในการหาเงิน และการใช้เงินออกไป (โดยไม่รู้จักคิด) ทำให้ไม่มีเหลือเก็บ

บางคนก็ไม่มีความสามารถในการหาเงิน และต้องระวังการใช้เงิน (รายจ่ายไม่สัมพันธ์กับรายรับ ทำให้เกิด “ภาวะเงินขาดมือ” ขึ้น)

บางคนก็ไม่เก่งในการหาเงิน และไม่เก่งในการบริหารเงิน (จนทำให้เกิดหนี้กองโต ที่คำนวณดูแล้ว ชีวิตนี้อาจต้องเป็น “หนี้” ไปชั่วชีวิต ประมาณ “ดอกเบี้ย” ทบชาตินี้ และชาติหน้า)

“เงิน” ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ “จุดยืนในสังคม” หากแต่ “เงิน” ถูกสังคมใช้เพื่อ “ยกระดับ” ชีวิต และความสะดวกสบาย ให้กับคนในสังคม

ถามตัวคุณดูนะคะว่า “ตอนนี้คุณเป็น “ทาสของแผ่นกระดาษที่เรียกว่า “เงิน” อยู่หรือเปล่า?”

คุณพ่อเรามักจะพูดเสมอว่า “เงินชอบอยู่กับคนฉลาด” และ “เงินไม่บูด ไม่เน่า ไม่มีวันหมดอายุ เก็บเงินไว้ดีกว่า”

ขอเชิญชวนให้เพื่อนๆมาเก็บเงินวันละ 10 บาท ไม่ใช่เพื่อให้เพื่อนๆมีเงิน 3650 บาทใน 1 ปี แต่เพื่อฝึกวินัยในการเก็บออมเงิน เมื่อคุณทำได้ตามนี้ครบ 1 ปี คุณจะค้นพบสัจธรรมหลายๆอย่างในชีวิตเพิ่มมากขึ้น และคุณจะพบว่า “เงินเก็บก้อนแรก ก้อนเล็กๆของคุณนี้ จะขยายผลให้กับชีวิตคุณอีกมากมาย” ลองดูกันนะคะ

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

February

ขอต้อนรับเดือน “กุมภาพันธ์” (เดือนแห่งความรัก) เดือนที่ 2 ที่ในปีนี้ มีแค่ 28 วัน (4 อาทิตย์เต็มๆ) อาจเป็นเดือนที่ดีสำหรับคนวัยทำงาน (เพราะจะทำงานน้อยวันลง แต่เงินเดือนเท่าเดิม) แต่อาจจะเป็นเดือนที่ค่อนข้างเร็วไป และโหดร้ายสำหรับการจ่ายค่าเช่า จ่ายค่างวด (และเดือนนี้วันที่ 13 ก็ตรงกับศุกร์ด้วย)

เมื่อเดือนนี้มาถึง เราก็พลันนึกถึง “หนังเรื่องกุมภาพันธ์” เป็นหนังที่เนื้อหาดีทีเดียว รวมถึง เพลงประกอบภาพยนตร์ที่ดีเยี่ยมมา จนทุกวันนี้ เมื่อเราฟังเพลงนั้น เราก็ต้องหลั่งน้ำตาไปซะทุกครั้งไป

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ หรือวันวาเลนไทน์ เป็นวันที่ใครหลายๆคน เฝ้ารอ คาดหวังที่จะได้รับความรัก และส่งมอบความรักให้กับคนรู้ใจ

สำหรับคนที่มีคู่อยู่แล้ว ก็อาจจะกำลัง “ลุ้น และกำลังคิด” ว่าคู่รักของตนจะเซอร์ไพรส์ในรูปแบบไหน? จะพาไป Dinner ร้านอาหารหรูแค่ไหน? รวมถึง จะได้ดอกไม้แบบไหน? กันนะ (อีกไม่กี่วันก็จะได้รู้กันแล้ว)

สำหรับคนที่โสด อาจจะนั่งนับถอยหลัง และคาดหวังอยู่ลึกๆว่า จะเจอใครสักคน ก่อนวันวาเลนไทน์ ใครสักคนที่จะ “เติมเต็ม” และ “เป็นคนของเรา” อย่างแท้จริง แต่ “คนรัก” จะหาได้ง่ายแบบนั้นหรือ??? (นั่นคือคำตอบที่เราต้อง “ค้นหา” กันต่อไป)

อยากเชิญชวนเพื่อนๆให้มา “ยิ้มต้อนรับ” เดือนแห่งความรักกันเถอะ มาช่วยกัน “สรรสร้าง” ทุกๆวันในเดือนนี้ ให้มี “รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ” เพื่อ “ส่งมอบ” ความสุขให้กับคนทุกคนรอบๆตัวเรา (แล้วคุณจะสังเกตุเห็น ความรักที่สวยงามในรูปแบบต่างๆ)

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน