Recent News

Powered by eSnips.com

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Valentine's Day

Happy Valentine’s Day นะคะ เพื่อนๆทุกคน วันนี้สาวๆหลายคน คงจะตื่นเต้น เมื่อคืนคงนอนไม่หลับ ด้วยว่า “สารพัดจะพลิกตะแคง คิดไปต่างๆนาๆว่า วันนี้จะได้ของขวัญแบบไหน ดอกไม้สีอะไร” และวันนี้ก็เป็นอีกวัน ที่จะเราจะยิ้มให้กับชีวิต ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานความรักมาให้เรา ให้เราได้มายืนอยู่ตรงนี้ ยิ้มตรงนี้ เช้านี้เราจะไปเข้า “มิสซา” ไปบอกความรักที่เรามีแด่พระเจ้า และช่วงเย็น เราก็จะไป Dinner กับบุคคลที่เรารักที่สุด นั่นคือ ครอบครัว (คุณพ่อ คุณแม่ เรา และน้องสาว) เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในทุกๆปี ที่จะต้องออกไปทานข้าวพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว (เราก็แอบคิดเล่นๆเหมือนกันนะ อาจเพราะ คุณพ่อเรา อยากจะรู้ความเป็นไปของลูกสาวมั้งว่า มีแฟนกันหรือเปล่า (ปีที่แล้วแฟนน้องสาวเราไปด้วย แต่ปีนี้เขาติดงานเลยไปด้วยไม่ได้ ส่วนเราก็ “ฉายเดี่ยว” เหมือนเดิม)

วันนี้เราอยากจะ “นำเสนอ” ประวัติ ของบุคคลที่เป็นจุดเริ่มต้นของประเพณีวันแห่งความรัก หรือ Valentine’s Day

“Saint Valentine (หรือนักบุญวาเลนไทน์)” ท่านชื่อ “วาเลนตินุส” ท่านเป็นพระอยู่ในกรุงโรมระหว่างศตวรรษที่ 3 ในเวลานั้นกรุงโรม ถูกปกครองโดยจักรพรรดิที่ชื่อว่า "คลอดิอุส" ซึ่งมีนิสัยชอบข่มเหงผู้อื่น ทำให้ไม่เป็นที่รักของประชาชนเท่าใดนัก จักรพรรดิคลอดิอุส ต้องการสร้างกองทัพอันยิ่งใหญ่ และหวังให้ชายชาวโรมันทั้งหลาย อาสาสมัครเข้ามาเป็นทหารในการสงคราม แต่ก็ไม่มีชายคนใดจะกระทำตามนั้น จักรพรรดิคลอดิอุสจึงออกกฏหมายห้ามมิให้มี การแต่งงาน หรืองานหมั้นใด ๆ เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนไม่พอใจ รวมทั้งนักบุญวาเลนไทน์เองด้วย

ในเวลาต่อมานักบุญวาเลนไทน์ ได้จัดการแต่งงานให้กับคู่หญิงสาวหลายคู่ขึ้นอย่างลับ ๆ ถึงแม้ว่า จะมีการประกาศการใช้กฏหมายห้ามแต่งงาน แล้วก็ตาม นักบุญวาเลนไทน์ยังคง “รัก” ที่จะทำพิธีเหล่านี้ (พระสงฆ์ทางศาสนาคริสต์ มีหน้าที่เป็นผู้นำพิธีการแต่งงานในโบสถ์ เพื่อประกาศให้ชาย หญิง คู่นั้นเป็นสามี ภรรยา ที่ถูกต้องตามหลักคริสต์ศาสนา)

โดยภายในงานนั้น จะมีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว และท่านนักบุญเท่านั้น พวกเขาจะกระซิบคำสาบาน และคำอธิษฐานต่อกัน ในขณะเดียวกัน ก็ต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงการเดินตรวจตราของเหล่าทหารด้วย

แต่แล้วคืนหนึ่ง ในขณะที่กำลังทำพิธีแต่งงานอย่างลับ ๆ อยู่นั้นเอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์เกิดได้ยินเสียงฝีเท้าของทหาร แต่โชคดีที่คู่บ่าวสาวนั้น หนีออกไปจากโบสถ์ได้ทัน

แต่นักบุญวาเลนไทน์ ไม่ได้หนีออกไป จึงถูกจับขังคุก และถูกทรมานอย่างแสนสาหัส ท่านพยายามให้กำลังใจตัวเองทุก ๆ วัน และแล้ววันหนึ่ง สิ่งวิเศษก็เกิดขึ้น เมื่อมีเด็กหนุ่มสาวหลายคนเดินทางมาที่คุก เพื่อจะมาเยี่ยมท่านนักบุญ พวกเขาโยนดอกไม้ และกระดาษซึ่งเขียนข้อความต่าง ๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก พวกเขาต้องการให้นักบุญวาเลนไทน์รู้ว่า พวกเขาเองก็มีความเชื่อ และศรัทธาในความรักด้วยเช่นกัน

หนึ่งในเด็กสาวเหล่านั้น เป็นลูกสาวของผู้คุม ซึ่งพ่อของเธอได้อนุญาติให้เธอเข้าไปเยี่ยมนักบุญวาเลนไทน์ได้ในคุก บางครั้งพวกเขาจะนั่งคุยกันนานนับชั่วโมง หล่อนช่วยให้กำลังใจท่านนักบุญ และเห็นด้วยกับการที่ท่านปฏิเสธกฏหมายห้ามการแต่งงานนั้น อีกทั้งยังสนับสนุนการแต่งงานอย่างลับ ๆ ที่ท่านนักบุญเคยประกอบพิธีขึ้นด้วย

ผู้คุมมีลูกสาวคนเล็กอีกคนนึง เธอชื่อ จูเลีย ซึ่งตาบอดทั้ง 2 ข้าง ระหว่างที่นักบุญวาเลนไทน์ติดคุกอยู่นั้น ลูกสาวผู้คุมก็นำอาหารมาให้ และช่วยติดต่อกับคนนอกคุก ที่นับถือศาสนาศริสต์ให้แก่นักบุญวาเลนไทน์

ช่วงอาทิตย์สุดท้ายในชีวิตของท่านในคุกนั้น ได้มีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น เมื่อ ผู้คุมขังได้ขอให้ท่านนักบุญวาเลนไทน์ สอนลูกสาวเขาซึ่งตาบอด เธอเป็นคนสวยแต่น่าเสียดาย ที่เธอตาบอดตั้งแต่แรกเกิด ท่านได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ต่างๆ สอนเลข และเล่าเรื่องพระเจ้า ให้เธอฟัง เธอสามารถรับรู้สิ่งต่างๆในโลกนี้ได้ โดยคำบอกเล่าของเขา เธอเชื่อใจเขา และเธอมีความสุขมากเมื่ออยู่กับเขา

วันหนึ่งเธอถามเขาว่า "ถ้าเราอธิษฐาน พระผู้เป็นเจ้าจะได้ยินเราไหม"
เขายิ้มก่อนที่จะตอบว่า "พระเจ้า จะได้ยินเราแน่นอน ท่านได้ยินเรา ทุกคน"
เธอเอียงหน้ามองไปทางนอกหน้าต่าง "ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าอธิษฐานขออะไร ทุกๆเช้า ทุกๆเย็น….ข้าหวังว่า ข้าจะได้มองเห็น โลก เห็นทุกๆอย่างที่ท่านเล่าให้ข้าฟัง"

เขากระซิบข้างหูเธอว่า "พระเจ้ามอบแต่สิ่งที่ดีที่สุด ให้แก่เราทุกคน เพียงแค่ เรามีความเชื่อมั่น ในพระองค์ท่าน เท่านั้นเอง"

และเธอผู้ซึ่งมีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า จึงได้คุกเข่า กุมมือ อธิษฐานพร้อมกับเขา และในขณะนั้นเอง ก็ได้มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และสิ่งมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้นเมื่อเธอค่อยๆลืมตา พระเจ้า……เธอมองเห็นแล้ว!!!!! ทั้งสองจึงกล่าวขอบคุณต่อพระเจ้า และเรื่องมหัศจรรย์เรื่องนี้ ได้แพร่หลายไปทั่วราชอาณาจักร

ในคืนก่อนที่เขาจะสิ้นชีวิต โดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้าย ถึงเธอ โดยลงท้ายว่า "Love, from Your Valentine" เขาสิ้นชีพในวัน ที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้น ศพของเขาได้ถูกเก็บ ไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม เธอได้ปลูก ต้นอามันต์ หรือ อัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุมศพของเขา (แด่ผู้เป็นที่รักของเธอ) โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพู ได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดร์ และมิตรภาพอันสวยงาม

และในปี 496 A.D. โป๊ป Gelasius ได้ยกย่องให้วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็น “วันวาเลนไทน์” เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงคุณความดี ความกล้าหาญ และความเสียสละของนักบุญวาเลนไทน์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงมีประเพณีการแลกเปลี่ยนจดหมายรักซึ่งกันและกัน ในวันวาเลนไทน์ โดยจะเขียนขึ้นในวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิต คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปีคริสตศักราช 270 และปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านนักบุญวาเลนไทน์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของวันนี้คือ การมอบความรักและมิตรภาพให้แก่กันและกัน และทุกๆ ครั้งที่ผู้คนต่างนึกถึงจักรพรรดิคลอดิอุส เขาก็จะจำได้ถึงวิธีการที่คลอดิอุสพยายามจะมาแทนที่หนทางของความรัก แล้วก็จะพากันหัวเราะ เพราะว่าพวกเขาต่างรู้ดีว่า “ความรักนั้นไม่สามารถหาสิ่งใดมาทดแทน หรือแทนที่ได้เลย”

คนทั่วโลกจึงถือเอา วันที่ท่านสิ้นชีวิตลงนั้น เป็น “วันแห่งความรัก (Valentine’s Day)” ทุกๆปีจะมีหนุ่มสาว หรือคนบางกลุ่มนิยมส่งดอกกุหลาบสีแดง หรือบัตรรูปหัวใจให้แก่กันและกัน ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงเจตนารมณ์ของความรัก ความเข้าใจต่อกัน (วันวาเลนไทน์ตามธรรมเนียมฝรั่ง พวกเขาจะส่งบัตร หรือของขวัญเล็กๆน้อยๆ ไปให้แก่คนที่เขารัก โดยไม่บอกชื่อผู้ส่ง)

แล้ววาเลนไทน์ปีนี้ คุณได้ทำอะไรเพื่อคนที่คุณรักแล้วหรือยัง?

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน