เมื่อต้องเอ่ยถึงคำว่า “การสูญเสีย” ไม่ว่าจะเป็น “การลาจาก หรือการจากลา” แบบ “จากเป็น” (อกหัก ทะเลาะ เลิกคบ ต้องแยกจากกันด้วยระยะทาง การเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกฯลฯ) หรือ “จากตาย” (สิ้นบุญ หมดลมหายใจ จบชีวิตแบบกระทันหันฯลฯ) ล้วนเป็น เหตุการณ์ หรือสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะว่า “การสูญเสีย” นั้น มักจะเดินทางมาพร้อมกับ “ความเจ็บปวด ความเศร้า น้ำตา และการเสียใจ” แต่ในชีวิตมนุษย์ธรรมดาเช่นพวกเรา ก็ไม่เคยมีใครที่จะ “หลีกหนี” ช่วงเวลาแห่งการสูญเสียได้
หากต้องสูญเสียบางคน ที่เราไม่ได้ “แคร์ และสนใจ” ถึงการมีตัวตนของพวกเขา (เพราะพวกเขาไม่มีส่วนทำให้ชีวิต หรือความเป็นตัวตนของเราดีขึ้น หรือแย่ลงเลย) ดังนั้น การต้องเสียเขาไป อาจไม่มีผลกระทบโดยตรงถึงเรา
แต่หากเต้องสูญเสียบางคน ที่เราได้ผูกพัน และมีความรู้สึกลึกซึ้งที่เรียกว่า “รัก” ด้วยแล้ว แค่เพียงความคิดแวบเดียว ที่เผลอคิดไปว่า “ต้องเสียเขาไป ไม่ว่าจาก เป็นหรือจากตาย ต้องดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่มีเขา” ความคิดแค่นี้ ก็อาจทำให้มีเมฆดำมาปกคลุมจิตใจ ความกลัว ความกังวล ก็เดินทางมาถึง ทำให้อารมณ์ “ดับวูบ” แบบหาสาเหตุไม่ได้
และยิ่งถ้าต้องสูญเสียเขาไปจริงๆ ด้วยแล้ว ชีวิตในช่วงนั้นคงต้องถึง “ทางตัน” มีชีวิตอยู่โดยหายใจเข้า และออก เป็น “ความสิ้นหวัง” และชีวิตเดินวนเวียนอยู่กับ “กับดักทางความเศร้า” โดยที่ลืม “รอยยิ้ม” และ “ชีวิตสดใส” ที่เคยมีไปจนหมดสิ้น
แต่ “วัฏจักร” ของโลก ก็ยังคงดำรงอยู่ ไม่ว่าเราจะ “เต็มใจ พร้อมใจ” ที่จะ “เปิดใจรับ” การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งในโลกหรือไม่ก็ตาม
หลายครั้งที่ “ความสูญเสีย” เดินทางเข้ามาหาเราโดยที่เไม่ได้ตั้งตัว และเมื่อต้อง “สูญเสีย” ไปแล้ว อารมณ์ และความรู้สึกผิดก็ “วิ่งประดัง” เข้ามาหาเรา ชวนให้เรา “กล่าวโทษ” ตัวเองว่า
“ทำไมตอนนั้นไม่ทำอย่างนั้น ตอนนั้นไม่ดูแลให้ดีกว่านี้ อยากจะขอโอกาส ขอเวลาอีกสักเพียง 1 นาที เพื่อจะกลับไปแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด แต่ก็ดูเหมือนว่า เบื้องบน หรือชะตาฟ้าลิขิต ได้ปฏิเสธ คำขอร้องของเราอย่างสิ้นเชิง”
“สัจธรรมของโลก” ก็คือ “มีเกิด ก็ต้องมีดับ, มีจุดเริ่มต้น ก็ต้องมีจุดสิ้นสุด และมีรัก ก็ต้องมีจาก”
ดังนั้น คงมีแค่คติพจน์ที่ว่า “จงทำวันนี้ เวลานี้ วินาทีนี้ให้ดีที่สุข เพื่อว่าเมื่อมีความไม่แน่นอนบางอย่าง เกิดขึ้นในอนาคต เราก็ได้ทำดีที่สุดแล้วกับทุกสิ่ง”
ป.ล. น้องแมวตัวเมียของเรา ทำหมัน ตัดไหม อย่างปลอดภัยแล้ว แต่ก็ต้องมาลุ้นกันอีกว่า หลังจากทำหมันแล้ว เจ้าหล่อนจะกินเก่งหรือเปล่า (ขอบคุณพระเจ้า ที่ประทานความเข้มแข็งให้น้อง ผ่านช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดนั้นไปได้)
ป.ล. “งานเขียน” วันนี้มี “แรงกระตุ้น” มาจาก “น้องมอมแมม” (น้องแมวอายุ 9 ปี กับอีก 1 เดือนของเรา) หลังจากเราได้ฟังสัตวแพทย์พูดว่า “อายุเฉลี่ยของแมวอยู่ที่ 12 ปี” ท้องไส้ และระบบประสาทของเราเริ่ม “ดับวูบ” หัวใจเราเต้นไม่เป็นจังหวะ “ความกังวล” เริ่มเปลี่ยนเป็น “ความกลัว” เราแต่ได้แต่นั่งนิ่งๆ พอตั้งสติได้ เราก็ได้พูดกับตัวเองว่า “ไม่ว่าเวลาแห่งชีวิต จะเหลืออีกแค่ไหนก็ตาม แต่ในทุกๆวัน ทุกๆวินาทีของชีวิต พี่จะรักหนู และดูแลหนูให้ดีที่สุด ด้วยทรัพยากรชีวิตทั้งหมดของพี่”
เหลืออีกกี่วัน..อีกกี่คืน ที่จะมีเธอ เหลืออีกกี่ลมหายใจ ที่จะได้เจอ...กับความสดใส
เวลามีน้อย...เหลือเกิน ที่ให้ฉันได้เตรียมหัวใจ ว่าภาพที่เคยเห็น..ไม่นาน จะเป็นแค่ความหลังไป
ต่อจากนี้...นาทีนี้ จะนับทุกลมหายใจ เก็บเอาวัน...เวลา แต่ละหยดหยาดไว้...ข้างใน
จากวันนี้...คนๆนี้ จะรักเธอสุดหัวใจ และจะย้ำซ้ำๆ จากวันนี้..จนถึงวันไกล...ว่ารักเธอ....
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
หากต้องสูญเสียบางคน ที่เราไม่ได้ “แคร์ และสนใจ” ถึงการมีตัวตนของพวกเขา (เพราะพวกเขาไม่มีส่วนทำให้ชีวิต หรือความเป็นตัวตนของเราดีขึ้น หรือแย่ลงเลย) ดังนั้น การต้องเสียเขาไป อาจไม่มีผลกระทบโดยตรงถึงเรา
แต่หากเต้องสูญเสียบางคน ที่เราได้ผูกพัน และมีความรู้สึกลึกซึ้งที่เรียกว่า “รัก” ด้วยแล้ว แค่เพียงความคิดแวบเดียว ที่เผลอคิดไปว่า “ต้องเสียเขาไป ไม่ว่าจาก เป็นหรือจากตาย ต้องดำเนินชีวิตต่อไปโดยไม่มีเขา” ความคิดแค่นี้ ก็อาจทำให้มีเมฆดำมาปกคลุมจิตใจ ความกลัว ความกังวล ก็เดินทางมาถึง ทำให้อารมณ์ “ดับวูบ” แบบหาสาเหตุไม่ได้
และยิ่งถ้าต้องสูญเสียเขาไปจริงๆ ด้วยแล้ว ชีวิตในช่วงนั้นคงต้องถึง “ทางตัน” มีชีวิตอยู่โดยหายใจเข้า และออก เป็น “ความสิ้นหวัง” และชีวิตเดินวนเวียนอยู่กับ “กับดักทางความเศร้า” โดยที่ลืม “รอยยิ้ม” และ “ชีวิตสดใส” ที่เคยมีไปจนหมดสิ้น
แต่ “วัฏจักร” ของโลก ก็ยังคงดำรงอยู่ ไม่ว่าเราจะ “เต็มใจ พร้อมใจ” ที่จะ “เปิดใจรับ” การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตทุกสิ่งในโลกหรือไม่ก็ตาม
หลายครั้งที่ “ความสูญเสีย” เดินทางเข้ามาหาเราโดยที่เไม่ได้ตั้งตัว และเมื่อต้อง “สูญเสีย” ไปแล้ว อารมณ์ และความรู้สึกผิดก็ “วิ่งประดัง” เข้ามาหาเรา ชวนให้เรา “กล่าวโทษ” ตัวเองว่า
“ทำไมตอนนั้นไม่ทำอย่างนั้น ตอนนั้นไม่ดูแลให้ดีกว่านี้ อยากจะขอโอกาส ขอเวลาอีกสักเพียง 1 นาที เพื่อจะกลับไปแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาด แต่ก็ดูเหมือนว่า เบื้องบน หรือชะตาฟ้าลิขิต ได้ปฏิเสธ คำขอร้องของเราอย่างสิ้นเชิง”
“สัจธรรมของโลก” ก็คือ “มีเกิด ก็ต้องมีดับ, มีจุดเริ่มต้น ก็ต้องมีจุดสิ้นสุด และมีรัก ก็ต้องมีจาก”
ดังนั้น คงมีแค่คติพจน์ที่ว่า “จงทำวันนี้ เวลานี้ วินาทีนี้ให้ดีที่สุข เพื่อว่าเมื่อมีความไม่แน่นอนบางอย่าง เกิดขึ้นในอนาคต เราก็ได้ทำดีที่สุดแล้วกับทุกสิ่ง”
ป.ล. น้องแมวตัวเมียของเรา ทำหมัน ตัดไหม อย่างปลอดภัยแล้ว แต่ก็ต้องมาลุ้นกันอีกว่า หลังจากทำหมันแล้ว เจ้าหล่อนจะกินเก่งหรือเปล่า (ขอบคุณพระเจ้า ที่ประทานความเข้มแข็งให้น้อง ผ่านช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดนั้นไปได้)
ป.ล. “งานเขียน” วันนี้มี “แรงกระตุ้น” มาจาก “น้องมอมแมม” (น้องแมวอายุ 9 ปี กับอีก 1 เดือนของเรา) หลังจากเราได้ฟังสัตวแพทย์พูดว่า “อายุเฉลี่ยของแมวอยู่ที่ 12 ปี” ท้องไส้ และระบบประสาทของเราเริ่ม “ดับวูบ” หัวใจเราเต้นไม่เป็นจังหวะ “ความกังวล” เริ่มเปลี่ยนเป็น “ความกลัว” เราแต่ได้แต่นั่งนิ่งๆ พอตั้งสติได้ เราก็ได้พูดกับตัวเองว่า “ไม่ว่าเวลาแห่งชีวิต จะเหลืออีกแค่ไหนก็ตาม แต่ในทุกๆวัน ทุกๆวินาทีของชีวิต พี่จะรักหนู และดูแลหนูให้ดีที่สุด ด้วยทรัพยากรชีวิตทั้งหมดของพี่”
เหลืออีกกี่วัน..อีกกี่คืน ที่จะมีเธอ เหลืออีกกี่ลมหายใจ ที่จะได้เจอ...กับความสดใส
เวลามีน้อย...เหลือเกิน ที่ให้ฉันได้เตรียมหัวใจ ว่าภาพที่เคยเห็น..ไม่นาน จะเป็นแค่ความหลังไป
ต่อจากนี้...นาทีนี้ จะนับทุกลมหายใจ เก็บเอาวัน...เวลา แต่ละหยดหยาดไว้...ข้างใน
จากวันนี้...คนๆนี้ จะรักเธอสุดหัวใจ และจะย้ำซ้ำๆ จากวันนี้..จนถึงวันไกล...ว่ารักเธอ....
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน