Recent News

Powered by eSnips.com

วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

คุณมีพฤติกรรมเช่นนี้หรือเปล่า???

เมื่ออาทิตย์ก่อน เราไปนั่งทาน “ไดโดมอน” (เพื่อระลึกถึงรสชาติเก่าๆ สมัยตอนที่ เราเป็นวัยรุ่น ช่วงนั้น hit ทานกันมาก เรียกได้ว่า โอกาสไหน? เทศกาลไหน? ไดโดมอน คือทางเลือกแรกเสมอ) แต่ ณ ปัจจุบัน เวลาผ่านไป ทางเลือกก็มีมากขึ้น ทำให้คนเริ่มมองหา “สิ่งแปลกใหม่” ให้กับชีวิต ณ ปัจจุบัน มีร้านอาหารปิ้ง ย่าง แบบนี้ออกมามาก

บางร้านก็มีจุดเด่น ที่ “ความสดของเนื้อสัตว์” และ “ความหลากหลายของเนื้อสัตว์”,

บางร้านก็เด่นดังด้วย “รสชาติน้ำจิ้ม” ที่เด็ด ถูกใจทุกเพศและวัย,

บางร้านก็ดึงดูดด้วย “ราคา ลดกระหน่ำ” ไม่แพงมากจึงทานได้ในแทบจะทุกเทศกาล

แต่จะด้วยวิธีไหน กลยุทธไหน ก็เป็นประโยชน์ต่อ “ผู้บริโภค” เช่นพวกเราทั้งสิ้น

ขณะที่เรากำลังเพลิดเพลิน กับการลิ้มรสชาติเดิมๆของน้ำจิ้มสูตรเด็ดอยู่นั้น ก็มีเสียงโวยวายเสียงดังจากโต๊ะข้างๆ ดังขึ้นมา ทำลายบรรยากาศแห่งความอร่อยของเรา เสียงเปล่งออกมาจาก ผู้หญิงวัยประมาณ 34 ที่แต่งตัวดี ดูดีมีฐานะ ซึ่งกำลังไม่สบอารมณ์ กับพนักงานเสริฟ

เนื่องจาก เธอต้องการจะสั่งน้ำมะนาว (คั้นสด) มาดื่ม แต่ทางร้านไดโดมอนไม่มีเมนูนี้ เธอจึงโวยวายประหนึ่งว่า ถ้าไม่ได้ทานน้ำมะนาว ภายในวินาทีนั้น เธอจะต้อง “ลงแดง แห้งเหี่ยวตาย”

เธอยืนยันว่า “เธอเคยไปทานไดโดมอนสาขาอื่น มีน้ำมะนาวคั้นสด อยู่ในเมนูด้วย” แต่พนักงานเสริฟ ก็ตอบกลับแบบสุภาพว่า “ไม่มีคะ” เธอจึงโวยวายเรียก ผู้จัดการร้าน เพื่อมาสอบถามอายุงานของพนักงานคนนั้น รวมถึงขอเบอร์สำนักงานใหญ่ไดโดมอนด้วย เพื่อที่จะโทรไปโวยวาย ถึงเมนูที่ไม่ได้มาตรฐานของไดโดมอนในสาขาต่างๆ ผู้จัดการร้านก็ได้ออกมาขอโทษเป็นการใหญ่ และพยายามอธิบายว่า “เมนูน้ำมะนาวนั้น เลิกขายไปนานกว่า 2 ปีแล้ว” เขาจึง “ยอมรับผิด” พร้อมกับให้ “เกี๊ยวซ่า” จานนึงเป็นของ “อุดปาก” เธอ แล้ว ความสงบก็กลับคืนสู่การทานไดโดมอนของเราอีกครั้ง

พฤติกรรมของ “ผู้หญิง” คนนี้ ทำให้เราย้อนคิดไปถึงเรื่องที่ “กระเป๋ารถเมล์ คนนึง ผูกคอตาย” เนื่องจากมีผู้โดยสารโทรไปเข้าไปแจ้งว่า “นำตั๋วเก่ามาขาย” จนทำให้เขาต้องถูก ขสมก. ตั้งกรรมการสอบวินัย และไล่ออกจากงาน เป็นเหตุให้เครียด จนต้องตัดสินใจ “จบชีวิต” แบบไร้ค่ามาก (ที่ต้องตาย เพราะ “คำพูดของคนๆนึง ที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่า เขาพูดจริง หรือโกหก)

เหตุการณ์ทั้ง 2 เหตุการณ์ข้างบนนี้ สะท้อนให้เราเห็นว่า “ความโอบอ้อมอารี และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ได้สูญหายไปจากสังคม”

สังเกตุได้จาก คนในสังคม เริ่มใช้ชีวิตอยู่ เพื่อตัวเอง (โดยไม่สนใจ สังคมที่ใกล้ที่สุด เช่นครอบครัว),

เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง (แม้ว่าจะ เหยียบหัว หรือข้ามชีวิตใครขึ้นมาก็ตาม),

เพื่อใช้เงิน (ที่หามาได้เพื่อซื้อความสุขให้ได้ “คุ้มค่าที่สุด” โดยที่เราอาจไม่สนใจว่า ความสุข และความพึงพอใจตรงนั้นของเรา จะทำร้าย หรือทำให้คนอื่นต้องเจ็บปวดแค่ไหน)

และเพื่อชื่อเสียงของตัวเองในสังคม และความสนใจของคนในสังคม (ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยวิธีการใด เลวร้ายเพียงไหน ขอแค่มีพื้นที่เล็กๆให้ยืนเป็น “จุดเด่น” ของสังคม เป็นพอใจ)

มีสถานที่ให้บริการหลายๆที่ พยายามจะบอกพนักงานว่า “ลูกค้า คือพระเจ้า ลูกค้า คือพระราชา”

ในแง่ของพนักงาน “ก็ต้องดูแลลูกค้าให้ดีที่สุด รองรับอารมณ์ลูกค้าให้ได้ (แม้ว่าในใจจะ “เก็บกด” หรือ “โมโห” แค่ไหนก็ตาม แต่ไม่เป็นไร เลิกงานแล้วไประบายกับคนที่บ้าน แฟน หรือพนักงานในร้านค้าอื่น ที่เราได้มีโอกาสสวมบทบาท เป็น “ลูกค้า” บ้างให้หาย “คับแค้นใจ” ก็คงดีไม่น้อย)”

ในแง่ของลูกค้า “เงินที่ฉันทำงานอย่างหนักมาแทบตาย และยินยอมเสียไป เพื่อซื้อหาความสุข ก็ต้องให้ได้มาซึ่งความสุข โดยไม่สนใจว่า ความสุขนั้นจะทำให้ใครหน้าไหน? คิดยังไง? รู้สึกยังไง? เสียใจแค่ไหน? ก็ตาม”

และหากคนในสังคม “เปลี่ยนทัศนคติ” มาเป็นแบบ “ผู้หญิงขี้โวยวาย และผู้หญิงขี้ฟ้อง” (อย่างทั้งสองคนข้างบน) สังคมจะเป็นแบบไหนกันนะ???

ทุกคนเกิดมามี “สิทธิความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน” แต่บางทีการใช้ชีวิต ก็ต้องมีบ้าง ที่ “สิทธิของเรา ไปกระทบกับสิทธิของคนอื่น” ดังนั้นคงจะดีไม่น้อย หากเรา “เอาใจเขา มาใส่ใจเรา” และ “ให้อภัย” ซึ่งกันและกัน สังคมคงจะน่าอยู่ขึ้นมาเลย

ป.ล. เพื่อนๆท่านใด ที่พบ ทอม ดี้ เลส ที่มี พฤติกรรม “บ้าอำนาจ” เช่นนี้ ก็รบกวนช่วยกัน “สะกิดด้วย” เพื่อความสงบสุขของสังคม ญ รัก ญ ของเรา

วันนี้เขียนยาวไปหน่อย ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน