สำหรับ "มิสซาแต่งงาน" ที่เราอยู่ร้องเพลงในวันเสาร์ที่ผ่านมา ในพิธีแต่งงาน ที่โบสถ์ของเรา จะมีบทเพลงให้คู่บ่าว-สาว เลือกใช้ในงานแต่งงาน 2 ชุด ชุดแรกจะมีเพลงปิดพิธีเป็นเพลง "พรหมลิขิต" (เพลงด้านล่างนี้) ชุดสองจะเป็นเพลง “If we hold on together” (ซึ่งเป็นเพลงที่เราชอบมาก) แต่คู่บ่าวสาวในวันนั้น เลือกชุดหนึ่ง ทำให้คณะขับร้องของเรา ต้องร้องเพลง "พรหมลิขิต" แรกๆเราก็มีคำถามในใจว่า "ทำไมนะ ทั้งคู่จึงเลือกชุดแรก เพราะถ้าเป็นงานแต่งงานเราเอง เราคงเลือกชุดสอง"
เนื้อเพลง พรหมลิขิต
พรหมลิขิตบรรดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด
ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล
พรหมลิขิตดลจิตใจ
ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ
เออชะรอยจะเป็นเนื้อคู่ ควรอุ้มชูเลี้ยงดูบำเรอ
แต่ครั้งแรกฉันพบเธอ ใจฉันเชื่อเมื่อแรกเจอ
ฉันและเธอเป็นคู่สร้างมา
เนื้อคู่ ถึงอยู่แสนไกล ก็ไม่คลาดคลา
มุ่งหวัง สมดังอุราไม่ว่าใครใคร
หากไม่ใช่คู่ครองแท้จริง จะแอบอิงรักยิ่งปานใด
ยากนักที่จะสมใจ คงเพราะเหตุพาเภทภัย
พัดกันไปทำให้คลาดคลา
เราสองคนต่างเป็นเนื้อคู่ จึงชื่นชูรักใคร่บูชา
นี่เพราะว่าบุญหนุนพา พรหมลิขิตขีดเส้นมา
ชี้ชะตามาให้ร่วมกัน
เราสองคนคงเป็นเนื้อคู่ เพียงแต่ดูรู้ชื่อโดยพลัน
ก็รู้สึกนึกรักกัน จนฝันใฝ่ใจผูกพัน
แม้ไม่ทันจะเห็นรูปกาย
ฉันเชื่อ เพราะเมื่อพบเธอ ฉันเพ้อมากมาย
เฝ้าหลงพะวงไม่วาย ไม่หน่ายกังวล
พรหมลิขิตบรรดาลทุกอย่าง เป็นผู้นำหนุนทางมวลชน
ได้ลิขิตชีวิตคน มอบเนื้อคู่มาเปรอปรน
ทั้งยังดลให้เธอคู่ฉัน
เมื่อร้องเพลงนี้จนจบ "เราจึงเข้าใจทุกอย่างในความรักได้ชัดเจน"
มิสซาแต่งงานวันนั้น เรียกได้ว่า คู่บ่าวสาว โชคดีสุดๆ ได้คณะนักร้องชุดใหญ่ร้องเพลงให้ คุณพ่อที่ทำมิสซาก็เป็นนักเทศน์ที่ดี (เทศน์ดีมากๆ ความชอบส่วนบุคคลของเรา) วันนั้นคุณพ่อเทศน์ พร้อมด้วยคำถามว่า "อีกสามสิบปีข้างหน้า เจ้าบ่าว และเจ้าสาว ยังจะคิดว่า แต่ละคนนั้น สวย หรือหล่ออยู่หรือเปล่า?” (เป็นคำถามที่ตรงประเด็น) เพราะหากพวกเขา รักกันเพียง "ภายนอก หรือรูปกาย" เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาอาจจะไม่มีความรักเหลือให้กันแล้วก็ได้
คุณพ่อได้เทศน์สอนเกี่ยวกับ "ความรักของคนสองคน ก็มีเพียงคนสองคนเท่านั้น เราไม่ควรนำเรื่องภายในไปเล่าให้คนที่ สาม สี่ และห้าฟัง เรียกได้ว่า เรื่องในห้ามนำออก เรื่องนอกไม่ต้องนำเข้า" (สัจธรรมแห่งความรัก)
แต่ที่จะ "โดนใจ" เรามากที่สุด ก็คงเป็น "เรื่องแหวนแต่งงาน"
คุณพ่อบอกว่า แหวนแต่งงาน เป็นเหมือนเครื่องเตือนใจให้กับคู่บ่าวสาว ให้ระลึกถึงว่า ยังมีคนอีกคนที่รัก และรอเราอยู่ที่บ้าน (จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องสวมแหวนแทนใจ เพื่อเตือนใจนี้ อยู่กับนิ้วตลอดเวลา เพราะไม่่ว่าอีกคนจะต้องไปพบเจอ กับเหตุการณ์อะไรก็ตาม แหวนวงนี้ จะเป็นเครื่องช่วยให้รู้สึกปลอดภัยว่า "ในความมืดมนของชีวิต ยังมีอีกชีวิตที่โอบกอด และรอเราอยู่เสมอ”) ในวงเล็บนี้ ความคิดเห็นส่วนตัวของเราเอง
ที่ต้องเลือกใช้แหวนทอง เพราะว่า "ทองเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด" เพราะยิ่งนานวัน คุณค่าของทองยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเหมือนความรัก ที่ต้องทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีวันเลือนหายไปตามกาลเวลา
และที่ต้องเป็นแหวนเกลี้ยง กลมทั้งวง ก็เพราะ "ชีวิตคู่ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับวงกลม ไม่มีรอยต่อ" ทำให้ไม่มีข้อแม้ ไม่มีเงื่อนไข ในความรัก
เรารู้สึกตื้นตัน และดีใจด้วยกับ คู่บ่าวสาว ที่ได้แต่งงาน เพราะว่า นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขา และเราก็หวังว่า พวกเขาจะจดจำ วันดีๆเหล่านี้เอาไว้ เพื่อเตือนสติ ยามที่ทุกอย่างในอนาคตไม่เป็นไปตามคาดหมาย
กว่าที่คนสองคน มาจากต่างถิ่นกำเนิด การเรียนรู้การใช้ชีวิตที่ต่างกัน แต่ได้มารู้จัก รักกัน และได้มีโอกาส "หล่อหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน" นั้น ยากเหลือเกิน พวกคุณโชคดีแล้ว ที่ได้เจอ "คู่แท้" ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ
ขอเพิ่มเติม เรื่อง "บาปสงวน" เราเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ (บาปสงวน คือบาปที่คริสตชน ไม่สามารถไปขอ "ยกบาป" ได้จากพระสงฆ์ จะมีเพียงพระสังฆราชเท่านั้นที่จะยกบาปนี้ได้) ตอนแรกเราคิดว่า มีเพียง "บาปที่เกิดจากการทำแท้ง และเกี่ยวข้องกับการทำแท้งเท่านั้น" แต่ยังมีอีกบาปที่ทางพระศาสนจักรถือว่าเป็น "บาปสงวน" เหมือนกัน นั่นคือ "การค้าขายยาเสพติด" โทษของผู้ที่ทำบาปสงวน และไม่ขอยกบาปก็คือ "จะถูกตัดความสัมพันธ์ หรือขับไล่ออกจากพระศาสนจักร" (ไว้เราจะมาลงรายละเอียดให้ฟังอีกที)
ณ ตอนนี้เราก็ยังอยู่ภูเก็ตอยู่ อากาศที่นี่ก็ปกตินะ ไม่หนาว ไม่ร้อนเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เราไม่ค่อยสบาย เป็นไข้หวัด ตัวร้อน และเจ็บคอ อาจเพราะว่า คืนวันลอยกระทง เราขี่มอเตอร์ไซค์ไปลอยกระทง ตอนตีหนึ่งกว่าๆ ทำให้ต้องตากน้ำค้าง ตอนนี้ก็ต้องนอนพักเยอะๆ เพราะว่ายังมีอีกหลายที่ ที่อยากไป แต่ยังไม่ได้ไป เพื่อนๆก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ (เรามาที่นี่สี่วัน ทานหมูกระทะไปสามวันแล้ว อร่อยมากมาย)
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน