Recent News

Powered by eSnips.com

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"ความรัก" รักษาได้ทุกโรค

ตอนนี้เป็นเวลา ตีสี่นิดๆ เรายังคงไม่ได้เข้านอน (แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ มันก็ผ่านมาแล้ว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น เจ็บปวด และจบไป ตาม "วนเวียนของชีวิต")


ไม่ว่า เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น จะทำให้เราเสียใจ หรือทุกข์ใจแค่ไหน แต่เชื่อไหม? เรายังมีรอยยิ้มอยู่ที่แก้ม (รอยยิ้มที่เกิดจากการรู้ว่า จริงๆแล้ว หัวใจของเรายังเต้นอยู่ ยังรับรู้ความเจ็บปวดได้ หัวใจยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ "ด้านชา" ไปเสียแล้ว)


ใน "ความวิบัติ" มักจะมี "ปาฏิหารย์" เกิดขึ้นเสมอ (ถ้าเราเหลียวมองสักนิด ก็จะพบ)


เวลาที่ "คุณ" ทุกข์ใจ คุณจะมีวิธีหาความบรรเทาใจได้อย่างไร? (แต่ละคน ก็จะมีวิธี "ปลดเปลื้อง" ความทุกข์ที่แตกต่างกัน)


บ้างก็ "หักเห" ความทุกข์ด้วยการเสพความสุขในวิธีต่างๆ เช่น


“shopping” (เสียเงินซะ จะได้ไปเครียดเรื่องเงิน ว่าจะหมุนทันไหม สิ้นเดือนนี้ หรือเดือนต่อๆไป แทนเรื่องที่กำลังทุกข์ใจอยู่)


"กินอาหารอร่อย" (เพื่อให้กระเพาะได้ทำงาน สมองจะได้ไป focus เรื่องการย่อยอาหารแทน)


"พบปะเพื่อนฝูง" (ไปคุย และรับฟัง เรื่องราวของคนอื่นบ้าง เผื่อว่า จะมีใครสักคนที่กำลังมีความทุกข์ใหญ่หลวงกว่าคุณ)


"เล่น Internet” (ดูความเป็นไปของเทคโนโลยี เผื่อว่าจะมีอะไรน่าสนใจให้เราได้อ่าน ได้ศึกษา เวลาของความทุกข์ก็จะได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว)


"ท่องเที่ยวต่างจังหวัด" (เอาเวลามานั่งดูแผนที่ วางแผนการเดินทาง จัดกระเป๋า จนลืมไปว่า กำลังทุกข์ใจอยู่)


บ้างก็ "นั่งนิ่ง" หยุดอยู่กับที่ รอให้ความทุกข์เหล่านั้นผ่านไปอย่างช้าๆ โดยไม่คิดที่จะแก้ไข เคยชินกับความทุกข์ของชีวิต ขยับตัวไปก็มีแต่เจ็บปวด อยู่นิ่งๆดีกว่า ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่ร้อนรน


บ้างก็ "ค้นคว้า ดิ้นรน" เพื่อทำให้ตัวเองหลุดพ้น กระเสือกกระสน ค้นหาทุกวิถีทาง เพื่อให้เหตุผลกับตัวเอง แต่ดูเหมือนยิ่งหาคำตอบ ก็จะไม่พบมัน (จริงๆแล้ว ไม่จำเป็นหรอกนะ สำหรับชีวิตของเรา ที่จะต้องได้รับคำตอบ เพื่อตอบในทุกๆคำถามที่เรามี)


บ้างก็ "แทนที่" ดึงภาพในอดีตที่มีความสุขออกมา เพื่อให้ตัวเองได้เข้าใจว่า "ชีวิตไม่ได้บัดซบ หรือเลวร้ายตลอด อย่างน้อยครั้งนึง หรือหลายๆครั้งเราก็เคยประสบ พบเจอกับความสุข"


แต่สำหรับเรา เวลาเรารู้สึกกังวลใจ ไม่ปลอดภัย ทุกข์ใจ หรือพบกับปัญหาชีวิตในแง่มุมต่างๆ เราก็จะมีวิธีปลดเปลื้องความรู้สึกนั้น ด้วยการ "แทนที่" เราจะคิดถึงภาพความทรงจำที่ประทับใจ และยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ และภาพๆนั้น ก็เคยเกิดขึ้นเมื่อ สิบกว่าปีที่แล้ว


ภาพนั้นสะท้อนให้เราเห็นตัวเอง ในวัยกระเตาะ ไม่เคยมีแฟนเลยสักคน ไม่ว่าผู้ชาย หรือทอม ตอนนั้นเราเดินเข้าไปในร้านแห่งหนึ่งกับเพื่อนสนิท และสายตาของเราก็ไป "สะดุด" กับ ผู้หญิงสูง 175 ใส่แว่น ผิวขาว ใส่เสื้อลายสก๊อตสีแดง เมื่อเดินสวนกับเขา เราก็ได้กลิ่นน้ำหอม CK1 อ่อนๆโชยมาแตะจมูก ช่วงเวลานั้น เราไม่อาจจะละสายตา ไปจากเขาคนนั้นได้ เรามองตามเขาไปเรื่อยๆ จนเพื่อนเราตะโกนเรียกข้างหู เราจึงหันไปแล้วบอกว่า "ฉันจะเอาคนนี้ ฉันจะต้องได้คนนี้เป็นแฟน" (ประโยคนี้ ไม่รู้ลั่นออกมา ด้วยความอยากได้ หรือความต้องการจากส่วนใดในจิตใจ) แต่ประโยคนี้ ดูจริงจัง และมีความมุ่งมั่นมาก


หลังจากนั้นไม่นาน เราก็เดินเข้าไปหาเขา (แบบไม่อาย ถือคติ ด้าน ได้ อาย อด) แล้วถามว่า "คุณเป็นทอมหรือเปล่าคะ เราเป็นดี้" เมื่อเราพูดประโยคนั้นจบ "ตัวเราชาตั้่งแต่ปลายเท้า ขึ้นมาที่สมอง" ลุ้นระทึก รอฟังคำตอบที่อยากฟัง และเขาคนนั้นก็หันมายิ้ม และตอบว่า "เป็นทอม" จริงๆแล้ว คำถามแรก เราไม่ได้ต้องการรู้หรอก ว่าเขาเป็นทอมหรือเปล่า เพราะท่าทางของเขา ก็บ่งบอกได้อยู่แล้ว เพียงแต่ในคำถามนั้น เราต้องการให้เขาได้รู้ว่า เราเป็นดี้นะ เผื่อว่า เขาจะได้สนใจมองเราบ้าง (ร้ายตั้งแต่เด็กเลยนะเรา)


คำถามที่สอง ก็เตรียมหลุดออกจากปากเรา (เพราะได้เตรียมไว้แล้ว ประเด็นไม่ได้อยู่ที่คำถามแรก แต่ที่คำถามที่สองต่างหาก) เราถามเขาว่า "มีแฟนหรือยังคะ ลองคบกันไหม" เขาได้แต่ยิ้ม และเชิญเรานั่งที่โต๊ะ เขาเริ่มยิงคำถามเราว่า "คุณอายุเท่าไหร่แล้ว ทำไมบ้าดีเดือดจัง เกิดมาเขาไม่เคยเจอใครมาถามเขาแบบนี้ จะให้ตอบยังไงล่ะ เอายังงี้แล้วกัน ไปนั่งรถเที่ยวกัน เราจะได้เริ่มทำความรู้จักกันไป ระหว่างทาง"


เราเดินตามเขาไป โดยไม่ได้สนใจ ลืมหันไปบอกเพื่อนที่มาด้วย "ไม่รู้เพราะอะไร เราถึงรู้สึกไว้ใจเขาได้ขนาดนั้น" เขาพาเราไปที่รถ honda accord ของเขา" และเรื่องราวหลังจากนั้น เราก็คบกับเขา เขาคือแฟนคนแรกของเรา คบกันเกือบสิบปี นี่อาจจะเป็น "พรหมลิขิต" ของชีวิตก็ได้


และนี่คือ "ความทรงจำ" อีกบทนึงในชีวิตของเรา และทุกๆครั้งที่เรารู้สึกทุกข์ใจ อกหัก กังวล ไม่ปลอดภัย เรื่องราวนี้ก็จะแวบเข้ามาในสมองเรา สร้างรอยยิ้ม เพื่อย้ำเตือนเราว่า "ในท่ามกลางกระแสสังคม หรือทุกส่ิงรอบๆตัวเรานั้น ในความทุกข์ ยังมีแสงสว่างเล็กๆ ลอดออกมา แสงสว่างที่เป็นเหมือน "น้ำทิพย์" ชโลมใจ และทำให้เรารู้สึกปลอดภัยได้ในทุกๆที่ และนี่คือ ความทรงจำที่สวยงามของชีวิตเรา"


ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ จะเช้าแล้ว ตอนนี้เรายิ้มได้อย่างเต็มที่ และหัวใจเราก็ "ฟูฟ่อง" ด้วยความรู้สึก ณ ตอนนั้น ก่อนนอน เราคิดว่า เราจะส่งข้อความไปหา "คนๆนั้น" เสียหน่อย ไปบอกว่า "ขอบคุณนะคะ แม้คุณไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ ช่วยปลอบ ช่วยกอด หรือ เช็ดน้ำตา แต่ความเป็นคุณ และเรื่องราวของคุณ ก็มีอำนาจในการรวบรวม "เศษชิ้นส่วนของหัวใจที่แตกสลาย" ให้กลับมารวมตัวได้อีกครั้ง หนูยังคงรักคุณอยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ห่างกันแค่ไหน" (นี่สินะ "อาณุภาพแห่งความรัก" ที่คนเฝ้าใฝ่หา)



ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน