ขณะที่กำลังตัดสินใจว่า "จะตื่นดีหรือไม่ตื่นดี? เราก็หยิบโทรศัพท์มาไล่ contacts ชื่อต่างๆก็ผ่านตาไป ซึ่งบางชื่อเราก็ต้องหยุดนิ่งๆสักพัก เพื่อคิดว่า "เขาคือใคร? เราเคยรู้จักคนๆนี้หรือเปล่า?” และชื่อก็ไปหยุดอยู่ที่ชื่อ "Ning hair” เราคิดอยู่นานกว่าจะนึกออกว่า คนที่ชื่อ หนิง คนนี้เป็นใคร เธอก็คือ "ดี้ ที่เรารู้จักตอนเราเรียนทำผม ณ สถาบันแห่งหนึ่ง" เมื่อจำชื่อได้ หน้าตาเธอก็ลอยปรากฏ รวมถึง วีรกรรมของเธอก็ชัดเจนขึ้นอีกครั้งในความทรงจำ
วันนี้เราจะมาแบ่งปันเรื่องราวของเธอให้ได้ฟัง เธอเป็นดี้อายุเกือบจะ 35 ปี ที่แสนสวยคนนึง ก่อนที่เธอจะมาเรียนทำผม เธอเปิดร้านขายอาหารอีสานชื่อดังแห่งหนึ่ง อยู่แถวสุขาภิบาล 3 แต่ด้วยแรงชักชวนจากเพื่อนที่รู้จัก ให้เธอมาลองเรียนทำผม เผื่อว่า จะเปิดร้านเป็นอาชีพเสริม เธอจึงตัดสินใจมาสมัครเรียน และ ณ สถานที่เรียนแห่งนี้ เธอก็ได้พบเพื่อนใหม่มากหน้าหลายตา หลายนิสัย หลายประสบการณ์ และนอกจากความรู้เรื่องเสริมสวยแล้ว เธอยังได้รับประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมได้ในชีวิตของเธอเช่นกัน
เนื่องด้วยเธอมีแฟนเป็นทอม รับราชการครู ที่เธอคบมาเกือบ 5 ปีแล้ว เดือนๆนึง เขาจะมาหาเธอสักครั้ง มาอยู่ก็ 3-4 วัน ความรักของเธอและเขา เป็นไปตามปกติ และทุกๆอย่างก็มาเปลี่ยนไป เมื่อเธอได้มาเรียนเสริมสวย (ก็อย่างที่รู้ๆกัน คนที่มีพรสวรรค์ทางด้านเสริมสวย มักจะมีความสามารถพิเศษในการสืบเสาะ ค้นหา อยากรู้อยากเห็น เรื่องของชาวบ้านด้วย) การคบกันของเธอและเขา ที่เธอคิดว่า "ปกติ" ไม่มีอะไร "ผิดปกติ" กลับกลายเป็นเรื่อง "ผิดปกติ" เมื่อเธอนำมาเล่าให้กับ เพื่อนๆที่อยากรู้อยากเห็นเหล่านี้ฟัง
เธอเล่าว่า "เขาจะมาหาเธอเดือนละ 3-4 วัน และมีโอกาสได้คุยโทรศัพท์กันเวลาทำงานเท่านั้น เพราะเขาจะปิดมือถือทันทีที่ถึงบ้าน และวันเสาร์ วันอาทิตย์ เขาก็จะปิดเครื่อง" (เธอไม่เคยคิดสงสัย แต่เพื่อนเธอเหล่านี้กำลังสงสัย และหาคำตอบที่ซ่อนอยู่)
คบกันมาตลอด 5 ปี เธอไม่เคยได้ไป "โคราช" บ้านของเขาเลย เพราะเขาห้ามไม่ให้เธอไป (แต่เธอมีที่อยู่เขา เธอไม่เคยคิดสงสัย แต่เพื่อนเธอเหล่านี้เริ่มได้เงื่อนงำใหม่ ที่จะนำพาข่าวร้ายมาสู่เธอ)
เวลาที่เธอกับเขาทะเลาะกัน เขาจะไม่รับโทรศัพท์เธอ แต่เมื่อเธอขู่ว่าจะไปหาเขาที่โคราช เขาจะรีบดีกับเธอ (เธอไม่เคยคิดสงสัย แต่เพื่อนเธอคิดว่า เขาต้องมีเรื่องปิดบังเธออยู่แน่นอน)
และด้วยแรงยุ หรือความอยากรู้อยากเห็น (ของเพื่อนๆ ที่คิดว่า เรื่องของคนอื่น เป็นเรื่องของตัวเอง) เพื่อนๆ จึง ชักชวนให้เธอลองไปทำให้เขาประหลาดใจ ด้วยการไปหาเขาที่ โคราช โดยมีเพื่อน (ที่รัก) อาสาสมัครนั่งรถ taxi ไปเป็นเพื่อนเธอ ถึง 10 คน เหมา taxi ไป 2คัน (เพื่อไปตามหาความจริงที่ เธอ หรือ เพื่อนก็ไม่ทราบอยากจะรู้) ใครทีี่มีเพื่อนอยากรู้อยากเห็นแบบนี้ คงพอเข้าใจ feel ของคนกลุ่มนี้
เมื่อเขาไปถึงโคราช เธอก็พาเพื่อนๆไปตามที่อยู่ของเขา ที่เธอจดมาจากบัตรประชาชน เมื่อไปถึงบ้านหลังนั้่น ทั้งหมด ก็พากันลงจากรถ ภายในบ้าน มีผู้ชายอายุเยอะคนนึง ยืนใส่ผ้าขาวม้าเพียงผืนเดียวกวาดอยู่หน้าบ้าน เพื่อนเธอรีบเดินเข้าไป "สวัสดี" เพราะคิดว่า ผู้ชายคนนั้นคือ คุณพ่อของเขา ผู้ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร บอกว่า "เขายังไม่กลับมา แต่อีกสักพักก็จะกลับมาแล้ว เพราะลูกชายกำลังขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับ"
สิบเอ็ดสาว นั่งรออยู่หน้าบ้าน เมื่อเขามาถึง เขาเห็นเธอ เขาตกใจ หน้าซีดมาก แล้วก็เดินดุ่มๆไปหาเธอ และลากตัวเธอเดินไปสวนข้างๆบ้าน เขาตบหน้าเธออย่างแรง และโมโหอย่างสุดๆ เมื่อเห็นเธอมาที่นี่ เธอตกใจ และไม่เข้าใจว่า "ทำไม? เขาต้องทำเช่นนั้น" เขาไล่ให้เธอกลับไป และบอกเลิกเธออย่างไม่มีเยื่อใย เธอร้องไห้อย่างหนักวิ่งไปกลับที่รถ taxi เพื่อนๆที่นั่งรออยู่หน้าบ้านตกใจอย่างมาก จึงรีบลา "ชายคนนั้น" ไปอย่างเร่งรีบ ชายคนนั้นรับไหว้ ก่อนที่จะเอ่ยว่า "ไม่รอคุยกับเมียฉันก่อนหรือ มารอตั้งนาน ทำไมจะรีบกลับ" ทุกคนรีบวิ่งขึ้นรถ แบบไม่ได้คิดอะไร? และเมื่อกลับมาถึง กทม. ทุกคนจึงถึง "บางอ้อ" ว่า "ที่เขาต้องบอกเลิกเธอ และสิ่งที่สงสัยนั่นคือ จริงๆแล้ว เขามีสามี (เป็นทอมที่มีสามี) และเธอก็ไม่รู้ตกในฐานะ เมียน้อย หรือ ฐานะไหน"
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น เราเชื่อว่า เธอคงต้องเสียใจมาก เพราะเธอก็ไม่ได้กลับเข้ามาเรียนอีกเลย เรื่องนี้กลายเป็น talk of the class นานอยู่ 2-3 วัน จนในที่สุด ก็มีเรื่องฉาวโฉดเรื่องใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนประเด็น
เราค่อนข้างเห็นใจเธอ กับเหตุการณ์ในวันนั้น เธอคงจะทุกข์ทรมาน และเศร้าใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ยังไงดีอ่ะ ควรจะขอบใจเพื่อนผู้สอดรู้สอดเห็นพวกนี้ หรือดีใจที่เธอได้ตาสว่างเสียทีกันแน่ อันนี้ก็ไม่มีใครจะตอบได้
จริงๆแล้ว "ความจริง" ต่างๆในโลก มีมากมาย แต่บางครั้ง "ความจริง" ก็ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น หรือแย่ลงสักเท่าไหร่ บางที เรื่อง "หลอกลวง" ก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายเกินไป ตรงกันข้ามอย่างน้อย ก็ช่วยทำให้ชีวิตช่วงนึง ของคนบางคนมีความสุขได้
นี่คือ "บทเรียนชีวิต" อีกบทนึงในสังคม
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน