Recent News

Powered by eSnips.com

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

หญิงชราผู้ยิ่งใหญ่

ช่วงนี้เรายุ่งมากๆ ทำให้ไม่มีเวลาได้ “เรียบเรียงเรื่องราว” วันนี้พอมีเวลาก่อนจะเข้านอน เพื่อตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมในตอนเช้า เราได้เข้าไปอ่านอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วไปเจอกับเรื่องราวนี้เข้า (โดยบังเอิญ) อ่านแล้วรู้สึก “โดนใจอย่างแรง” จึงขออนุญาติ นำมาลงในไดอารี่ของเรา

ภาพหญิงชรา ที่เดินหาบขนมขายอยู่ริมถนน ทำให้ผมหยุดชะงักอยู่ชั่วขณะ แม้ว่าแกจะเดินจากไปแล้ว แต่ภาพหญิงแก่ที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เดินฝ่าเปลวแดดออกไปนั้น ยังคงติดตรึงอยู่ในสายตาของผม จนยากที่จะสลัดออก มือหยาบกร้าน ที่มีแต่เส้นเอ็นปูดโปนของหญิงแก่ ทำให้ผมนึกถึงมือของผู้หญิงคนหนึ่ง “ผู้หญิง” ซึ่งทำทุกอย่างเพื่อลูกน้อยของตน ได้โดยไม่หวังอะไร นอกจากรอยยิ้มของลูก “ผู้หญิงคนนั้น คือ แม่ (ของผมเอง)” แม่เป็นแม่ค้า ที่หาบขนมขายอยู่ข้างถนน วันไหน ขายดี ก็มีเงิน พอจับจ่ายตามอัตภาพ หากวันไหน ขายไม่ได้ ก็ต้องใช้เงินอย่างกระเบียดกระเสียด แต่แม่ก็ไม่เคยยอมให้ผมรู้จักกับความหิวโหย อะไรที่อยากกิน แม่มักหามาให้ผมเสมอ ไม่ว่าของสิ่งนั้น มันจะทำให้แม่ต้องอดสักกี่มื้อก็ตาม เวลาที่ผมนั่งกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย แม่มักจะมองดูเงียบๆ ริมฝีปากของแม่ปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุข ตอนนั้น ผมไม่เคยสนใจเลยว่า ขนมชิ้นเล็กราคาแพง ที่แม่หามาให้นั้น ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อของแม่กี่หยด ไม่เคยนึกสงสัยด้วยซ้ำว่า หลังจากที่ผมกินขนมจนอิ่ม จะมีอะไรเหลือตกถึงท้องแม่ไหม? ผมรู้เพียงอย่างเดียว คือ แม่เป็นหญิงแก่ ที่หาบขนมขาย ยามใดที่มโนธรรม มาย้ำเตือนให้ผม คิดถึงความเหน็ดเหนื่อยของแมสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด ก็มักจะหลบเลี่ยงความรู้สึกผิดในใจ ด้วยการบอกว่า ในเมื่อแม่ให้ผมถือกำเนิดมา มันก็เป็น “หน้าที่ของแม่” ที่ต้องหาบขนมขายเพื่อหาเลี้ยงผม ถ้าไม่มีอะไรกิน ขนมที่เหลือจากการขาย มันก็ช่วยให้แม่อิ่มได้นี่นา

ยามใดที่มือแม่นั้นยื่นมาจับต้อง ดึงผมไปกอดไว้แนบอก ยามนั้น ผมก็มักจะเบี่ยงตัวหนีด้วยความรู้สึกขยะแขยง แม้ไม่เคยเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นวาจา แต่แววตาที่ผมแสดงออก มันก็บอกถึงความรู้สึกภายในอย่างโจ่งแจ้ง แววตาของผมที่ทำให้แม่ชะงัก แม่มองหน้าผมอย่างเข้าใจ แล้วก็มีท่าที งกๆ เงิ่นๆ อย่างคนรู้สึกผิด แม่ไม่พูดอะไรสักคำ มือหยาบกร้านนั้นกำแน่นค่อยๆ ตกอยู่ข้างลำตัว ไหล่ของแม่ลู่ลงหลังจากวันนั้น มือของแม่ไม่กล้าที่จะเอื้อมมากอดผมอีกเลย ตอนนั้น ผมรู้สึกสบายใจนะ ที่ไม่ต้องสัมผัสกับมือที่หยาบกระด้างที่น่ารังเกียจนั่น แต่เมื่อ เวลาผ่านไป ผมกลับเกิดความรู้สึกที่ต่างจากเดิม จริง ๆ แล้วสิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่ใช้มือหยาบกร้านของแม่หรอก มือที่เนียนสวย ราวกับลูกผู้ดีของผมต่างหาก ที่น่าขยะแขยง ขณะที่มือแม่กร้าน เพราะ ตรากตรำทำงานหนัก เพื่อเลี้ยงผม แต่มือที่อ่อนนุ่มของผม ไม่เคยทำประโยชน์เพื่อใครเลยนอกจากตัวเอง น่าขันนะ เมื่อผมเติบใหญ่ และประสบความสำเร็จในชีวิต หลายครั้งหลายครา ที่มีโอกาสจับต้องมือของผู้หญิง มือที่นิ่ม หอมกรุ่นกับเล็บเคลือบสีสด และเรียวปากนุ่มสวย ช่างฉอเลาะนั้นไม่ได้ทำให้ผมโหยหาเลยสักนิด สิ่งที่ผมร่ำร้อง กลับเป็นมือที่หยาบกระด้างของผู้หญิงเพียงคนเดียว ผู้หญิงที่หาบคานกระจาด เดินเร่ขายขนมอยู่ข้างถนน เพื่อเลี้ยงลูกชาย ผู้หญิงไม่ค่อยพูด ที่มักใช้สายตาเฝ้ามองผมอยู่เงียบๆ สายตาที่สื่อความรู้สึกของแม่คนนึง ซึ่งมีต่อลูก สายตาอ่อนโยนคู่นั้นเหมือนกับจะบอกผมเสมอว่า ผมคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของแม่ อาจจะเป็นเพราะ พ่อจากไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่นตั้งแต่ผมยังเล็กก็ได้ ทำให้แม่พยายามทำทุกอย่าง เพื่อชดเชยความเป็นลูกไม่มีพ่อให้ผม เท่าที่แม่ค้าหาบขนมขายอย่างแม่จะทำได้ แม่คงกลัวว่า ผมจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาเพราะขาดพ่อล่ะมั้ง แต่แม่ไม่เคยรู้หรอกว่า ในสายตาของผม ผู้ชายที่ทำให้ผมเกิดมา ไม่ได้มีความสำคัญกับผมเลยสักนิด ผมเกลียดผู้ชายคนนั้น ตาแก่ที่กินเหล้าจนเมา เอะอะ โวยวาย ทำร้ายแม่ผม หลายครั้งที่ผมเห็นพ่อใช้คำพูดถากถาง ระราน อาละวาดใส่แม่ แม่ผู้น่าสมเพชของผม ก็ไม่เคยลุกขึ้นมาต่อต้านเลยสักนิด แม่มักยอมพ่อเสมอ ยอมถูกซ้อมเป็นกระสอบทราย แล้วก็แอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวเงียบๆ ยอมทำงานหนักเดินขายของวันละหลายๆ กิโล เพื่อเอาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ส่วนเงินเดือนของพ่อน่ะหรือ? มันจมลงในขวดเหล้าหมดแล้ว สภาพของแม่ที่ผมเห็น ทำให้ผมได้แต่นึกในใจว่า ถ้าผมแต่งงาน ผมจะหา เมีย อย่างแม่ แต่ถ้าผมเป็นผู้หญิง ผมจะไม่ยอมมีชีวิตที่น่าเวทนาแบบแม่ เด็ดขาด! ผู้หญิงที่ยอมเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ของผู้ชาย หญิงที่ยอมให้สามีโขกสับอย่างกับทาสในเรือนเบี้ย ยอมทำงานบ้านจนดึกจนดื่น ยอมตื่นแต่เช้ามาทำขนมขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ยอมแม้กระทั่งให้ผู้หญิงอื่นมาแย่งผัวตัวเองไปต่อหน้าต่อตา แม่ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น โดยไม่เคยคิดจะต่อสู้เรียกร้องสิทธิอะไรเลย แม่มีปากเสียงกับพ่อเพียงครั้งเดียว ตอนที่พ่อจะเอาผมไปอยู่ด้วย ตอนนั้นผมเห็นแม่สู้ยิบตาราวกับหมาจนตรอกเลยทีเดียว พ่อยอมให้ผมอยู่กับแม่อย่างไม่คิดจะเยื้อแย่ง "น้ำหน้าอย่างเธอ จะเลี้ยงลูกได้สักแค่ไหนกันเชียว อีกหน่อยลูกมันคงต้องหาบขนมขายทั้งชาติ เหมือนเธอนั่นแหล่ะ" นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่แม่และผมได้ยินจากปากของพ่อ มันเป็นคำพูด ที่ทำให้แม่ฮึดสู้ แม่ทำงานหนักตัวเป็นเกลียว เพื่อหาเงินส่งผมเรียนสูงๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำให้แม่ผิดหวังเลย การเรียนของผมอยู่ในขั้นดีเยี่ยมจนได้รางวัลจากทางโรงเรียนเสมอ เปล่าหรอกนะ ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนเพื่อแม่หรอก ตลอดเวลาผมไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเพื่อแม่เลยสักครั้ง แต่ที่ผมตั้งใจเรียน ก็เพราะรู้ว่า การศึกษาเป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากบ้านในสลัมโทรมๆ แห่งนี้ต่างหาก ความทะเยอทะยานในอดีต เป็นแรงผลักดัน ที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิต โดยมีโอกาสดี ๆ ที่โชคชะตาหยิบยื่น ให้เป็นตัวช่วยสนับสนุน สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมหลงระเริงอยู่นานทีเดียว มันทำให้ผม “หยิ่งผยอง” คิดว่าตัวเองนั้น เก่งกล้าสามารถก้าวจากจุดศูนย์ ขึ้นมายืนผงาดอยู่ได้ด้วยขาตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ ความจริงแล้ว ความสำเร็จของปริญญาระดับด๊อกเตอร์ ที่แปะข้างฝาบ้านของผมนั้นมีแม่อยู่เบื้องหลังเสมอ แม่ผู้จบ ป. 4 แต่ไม่มีเงินซื้อใบสุทธิ ขาของผมยืนผงาดอยู่ได้ ด้วยการเหยียบบ่าของแม่โดยแท้ และผมก็ไม่เคยสนใจเลยสักนิดว่า บ่าที่เหยียบเป็นฐานนั้น จะชอกช้ำเพียงใด เพราะเจ้าของบ่า ไม่เคยปริปาก บอกผมเลยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร แม่ก็ยังคงเป็นคนพูดน้อย ทำมากเสมอ แม่เป็นผู้ฟังที่ดีมาตั้งแต่ผมยังเด็กแล้ว ทุกครั้งที่ผมมีความกังวล แม่จะคอยรับฟังเสมอ เวลาที่ผมระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจ หลายครั้งที่แม่ฟัง จำนวนเงินที่เด็กชายเอ่ยขอ ยามต้องการจะซื้อของต่างๆ เพื่อให้มีเหมือนลูกคนอื่น แม่ไม่เคย แย้ง นิ่ง ฟัง หลังจากวันนั้น แม่ขายของจนค่ำมืดกว่าปกติอยู่หลายวัน และวันหนึ่งแม่ก็ยื่นเงินให้ผม เพื่อไปซื้อของที่อยากได้ ยามที่ผมรับเงินจากมือของแม่ ผมรู้สึกว่า มือของแม่หยาบกร้านกว่าเคย แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก เพราะถึงมือนี้จะต้องหยาบกร้านเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน? มันก็ยังคงหยิบยื่น ความสะดวกสบาย ให้ผมได้เหมือนเดิม และมันก็เป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่ว่ายามที่ผม สุข หรือ ทุกข์ มือของแม่จะอยู่เคียงข้าง คอยช่วยประคับประคองผมเสมอ ตราบชั่วชีวิตของแม่ จนกระทั่ง วันนี้ หลายสิ่งในชีวิตของผมเปลี่ยนไป ผมมีชื่อเสียง มีเกียรติยศ มีคนนับหน้าถือตา มีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันงาม มีเงินทอง มีมือนุ่มนิ่มของผู้หญิงสวยๆ คอยคลอเคลีย ทุกสิ่งที่ผมเคยต้องการ ล้วนมากองอยู่แทบเท้าของผม แต่สิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดกลับขาดหายไป ณ วันนี้ ข้างกายของผม ..............ไม่มีมือของแม่...........

ใครที่ “น้ำตา” เริ่มจะรินไหลออกมาอาบสองแก้ม (เราดีใจนะคะ ที่จิตสำนึกของคุณยังทำงานอยู่) แต่สำหรับใครที่อ่านไปแล้วไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร (เราก็ขอมองในแง่ดีว่า คุณเป็นลูกที่ประเสริฐแล้ว) ดังนั้น จนทำดีต่อไปนะคะ (คนกตัญญู ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้)

เราเชื่อมั่นว่า เรื่องราววันนี้ คงจะช่วย “ปลุก” และ “กระตุ้น” ต่อม “มโนธรรม” ในตัวใครอีกหลายๆคน “ที่ยังมีจิตสำนึก” ให้ “ตื่น” ขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่มีความรักใดๆ ในโลกนี้ ยิ่งใหญ่เท่ากับความรักของผู้ที่ให้กำเนิดเรามา ถามตัวเองดูว่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ตัวคุณจะ “เปิดใจ” ยอมรับ และ “แบ่งปัน” ความรักนั้น กลับไปสู่พวกท่านบ้าง”

ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน