เมื่อวานนี้ เราได้ไปดูหนังเรื่อง Happy Birthday มา แต่การไปดูหนังคนเดียวของเราในครั้งนี้ รู้สึกไม่ปกติเหมือนครั้งก่อนๆ อาจเพราะในทุกๆครั้ง เราเลือกที่จะไปดูที่ major หรือไม่ก็ esplanade แต่ครั้งนี้ เราอยากจะเดินเล่น ค้นหา Destiny อีกครั้ง ที่ The Mall งามวงศ์วาน เราจึงเลือกที่จะไปดูที่ SF Cinema City ภายในนั้นโรงหนังมืดมาก ประกอบกับวันธรรมดา เวลาบ่ายต้นๆ ไม่ค่อยมีคนมาดูหนังเสียเท่าไหร่ แวบแรกที่เราเดินเข้าไปในโรงหนัง ความคิดที่วิ่งเข้ามาในหัวเราก็คือ “ดีนะ ที่เรื่องนี้ไม่ใช่หนังสยองขวัญ ไม่งั้นคงต้องทิ้งตั๋ว เดินออกไปแน่นอน”
ต้องยอมรับว่าหนังเรื่องนี้ เรียกน้ำตาเราได้พอควร (นิดๆหน่อย) แต่ด้วยเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้เราไม่สามารถปล่อยน้ำตาออกมาได้ เนื่องจาก เราหยิบมาสคาร่าสีดำ มาปัดผิดอัน โดยไม่ได้อ่านก่อน ว่าอันนี้ “ไม่กันน้ำ” ดังนั้น ถ้าเราปล่อยให้น้ำตาเรา “เล็ดลอด” ออกมารินไหลที่สองแก้ม เราคงจะบุคคลเดียวที่ดูหนังรัก โรแมนติดแล้ว ออกมาจากโรงหนัง ตาเป็น “หมีแพนด้า” แน่นอน (การสะกดน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมานั้น ทรมานสุด!!!)
แรงบันดาลใจที่ทำให้เราดูหนังเรื่องนี้ ก็คือ เราใคร่อยากจะรู้ อารมณ์ของผู้เขียน และผู้กำกับเรื่องนี้ว่ามี “มุมมอง และ แง่คิดอย่างไรกับเรื่องราวนี้” เราอยากจะ “เข้าถึงการถ่ายทอด และมุมมองทางจินตนาการของผู้เขียน” รวมถึง “การสะท้อนอารมณ์ในฉากต่างๆของนักแสดง” (นี่คือเหตุผลหลักส่วนใหญ่ของเรา ในการเลือกดูหนังสักเรื่อง)
หลังจากที่เราดูหนังเรื่องนี้จบลง บอกตามตรงว่า เป็นหนังที่สะท้อนความเป็นจริงของความรัก (ครบ “วงจรของความรัก” ในทุกช่วงอย่างสมบูรณ์) ช่วงแรกๆ “ความรักอาจดูสวยงาม และสุขสมหวัง” และเมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะสุกงอม และ มีแต่รอยยิ้มเต็มเปี่ยมไปหมด “โชคชะตา และความไม่แน่นอน” ก็เดินทางเข้ามาเพื่อพิสูจน์ และทดสอบความรักของทุกๆคู่ (ซึ่งบททดสอบ จะยากหรือง่ายนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ “บุญและกรรม” ของแต่ละบุคคล) และหนังเรื่องนี้ก็ได้ถ่ายทอด “ความกลัว การเพ้อฝัน ความสงสัย และเงื่อนไขในความรัก” ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม และแม้ว่า บทสรุป ในความรักนั้นจะออกมาเช่นไร มันก็ดูไม่สำคัญไปกว่า “ประสบการณ์ การเดินทาง และสิ่งที่คนๆสองคน สร้างสรรค์กันในช่วงเวลาที่ทั้งคู่มีกันและกัน”
เราเชื่อว่า หลายๆคน อาจมี “ความฝัน ความหวัง และความเชื่อ” ในมุมมองของความรักที่แตกต่างกัน บ้างก็ว่า “ความรักนั้นสวยงาม หอมหวาน สดชื่น และทำให้รู้สึกเต็มอิ่ม” บ้างก็ว่า “ความรักนั้นเป็นเพียงแค่สีสัน ฉากนึงในละครของชีวิตเท่านั้น ที่มาเล่นตลก และ ทำร้ายมนุษย์เดินดินธรรมดาเช่นเขา” (ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความคิด จินตนาการ ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ “ประสบการณ์ในอดีต” ที่พวกเขาได้เคยประสบพบเจอ แต่ไม่ว่าใครจะ “กล่าวหา หรือกล่าวขวัญ ความรักในแง่มุมใด” ก็เป็นเพียงแค่ “บทพิสูจน์ส่วนตัวของเขา” เท่านั้น คงจะ “สนุก และท้าทาย” กว่าไหมล่ะ? ถ้าคุณได้ลอง “สรรค์สร้างละครชีวิตรักส่วนตัวของคุณ ด้วยตัวคุณเอง”
เก็บไปคิดทบทวนกันนะคะ ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
ต้องยอมรับว่าหนังเรื่องนี้ เรียกน้ำตาเราได้พอควร (นิดๆหน่อย) แต่ด้วยเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้เราไม่สามารถปล่อยน้ำตาออกมาได้ เนื่องจาก เราหยิบมาสคาร่าสีดำ มาปัดผิดอัน โดยไม่ได้อ่านก่อน ว่าอันนี้ “ไม่กันน้ำ” ดังนั้น ถ้าเราปล่อยให้น้ำตาเรา “เล็ดลอด” ออกมารินไหลที่สองแก้ม เราคงจะบุคคลเดียวที่ดูหนังรัก โรแมนติดแล้ว ออกมาจากโรงหนัง ตาเป็น “หมีแพนด้า” แน่นอน (การสะกดน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมานั้น ทรมานสุด!!!)
แรงบันดาลใจที่ทำให้เราดูหนังเรื่องนี้ ก็คือ เราใคร่อยากจะรู้ อารมณ์ของผู้เขียน และผู้กำกับเรื่องนี้ว่ามี “มุมมอง และ แง่คิดอย่างไรกับเรื่องราวนี้” เราอยากจะ “เข้าถึงการถ่ายทอด และมุมมองทางจินตนาการของผู้เขียน” รวมถึง “การสะท้อนอารมณ์ในฉากต่างๆของนักแสดง” (นี่คือเหตุผลหลักส่วนใหญ่ของเรา ในการเลือกดูหนังสักเรื่อง)
หลังจากที่เราดูหนังเรื่องนี้จบลง บอกตามตรงว่า เป็นหนังที่สะท้อนความเป็นจริงของความรัก (ครบ “วงจรของความรัก” ในทุกช่วงอย่างสมบูรณ์) ช่วงแรกๆ “ความรักอาจดูสวยงาม และสุขสมหวัง” และเมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะสุกงอม และ มีแต่รอยยิ้มเต็มเปี่ยมไปหมด “โชคชะตา และความไม่แน่นอน” ก็เดินทางเข้ามาเพื่อพิสูจน์ และทดสอบความรักของทุกๆคู่ (ซึ่งบททดสอบ จะยากหรือง่ายนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ “บุญและกรรม” ของแต่ละบุคคล) และหนังเรื่องนี้ก็ได้ถ่ายทอด “ความกลัว การเพ้อฝัน ความสงสัย และเงื่อนไขในความรัก” ออกมาได้อย่างดีเยี่ยม และแม้ว่า บทสรุป ในความรักนั้นจะออกมาเช่นไร มันก็ดูไม่สำคัญไปกว่า “ประสบการณ์ การเดินทาง และสิ่งที่คนๆสองคน สร้างสรรค์กันในช่วงเวลาที่ทั้งคู่มีกันและกัน”
เราเชื่อว่า หลายๆคน อาจมี “ความฝัน ความหวัง และความเชื่อ” ในมุมมองของความรักที่แตกต่างกัน บ้างก็ว่า “ความรักนั้นสวยงาม หอมหวาน สดชื่น และทำให้รู้สึกเต็มอิ่ม” บ้างก็ว่า “ความรักนั้นเป็นเพียงแค่สีสัน ฉากนึงในละครของชีวิตเท่านั้น ที่มาเล่นตลก และ ทำร้ายมนุษย์เดินดินธรรมดาเช่นเขา” (ซึ่งแต่ละคนก็จะมีความคิด จินตนาการ ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ “ประสบการณ์ในอดีต” ที่พวกเขาได้เคยประสบพบเจอ แต่ไม่ว่าใครจะ “กล่าวหา หรือกล่าวขวัญ ความรักในแง่มุมใด” ก็เป็นเพียงแค่ “บทพิสูจน์ส่วนตัวของเขา” เท่านั้น คงจะ “สนุก และท้าทาย” กว่าไหมล่ะ? ถ้าคุณได้ลอง “สรรค์สร้างละครชีวิตรักส่วนตัวของคุณ ด้วยตัวคุณเอง”
เก็บไปคิดทบทวนกันนะคะ ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน