วันนี้เราวุ่นวายมากเลย ตื่นแต่เช้า ทำโน่นทำนี่ พา “น้องอีฟ” (แมวตัวเมียที่อยู่คอนโดไปฉีดยา) ไปทำธุระส่วนตัว กลับมาบ้านตอนบ่าย น้องพิมได้บอกเราว่า น้องวอดก้า (แมวหนุ่มเจ้าของหัวใจเรา) ได้อ๊วกเต็มพื้น (ในใจเราคิดว่า คงไม่เป็นไร) ได้พักเพียงแปปเดียว ก็พาคุณแม่ออกไปทานข้าวเย็น พอกลับถึงบ้าน เราตั้งใจจะอาบน้ำ ฟังเพลง นอนอ่านหนังสือเสียหน่อย แต่สังเกตุเห็น “อาการ” ที่เปลี่ยนไปของ “น้องวอดก้า” นอนนิ่งๆอยู่ในตะกร้า (ซึ่งโดยปกติ พอเรากลับมาถึงจะกระโดด คลอเคลีย และวิ่งหนี ให้เราวิ่งไล่จับเป็นประจำ)
เราเริ่มรู้สึกแปลกๆ ถึงอาการเงียบของเขา พลางคิดในใจว่า “เมื่อเช้าเราทำอะไรให้เขางอนหรือเปล่า?” เราจึงพยายาม “ง้อ และขอโทษ” ด้วยการหยิบ snack ของโปรดเขามาให้ทาน แต่เขากลับนอนนิ่งๆ ไม่สนใจ ยิ่งทำให้เราแน่ใจว่า เขาต้องเป็นอะไรไปแน่ๆ เราจึงไม่รอช้า โทรหาสัตวแพทย์ประจำตัวเขา และรีบนำเขาไปหาหมอโดยทันที ระหว่างทางน้ำตาเราเริ่มไหล พลางคิดกังวลไปต่างๆนาๆ ถึงอาการที่เขาอาจจะเป็น (ก็เขาพูดไม่ได้นี่นา)
ไปถึงร้านหมอ หมอได้ยัดปรอทลงที่ก้นเขา และบอกว่า ไข้เขาสูงมาก เมื่อเราได้ฟังดังนั้น น้ำตาเราเริ่มไหล (อีกครั้ง) เรากังวลและกลัวอยู่ในใจลึกๆว่าเขาจะเป็นอะไรมากไหม พลางขอร้องให้คุณหมอเช็คอาการเขาอย่างละเอียด คุณหมอจ่ายยาปฏิชีวะนะ ยาลดไข้ มาให้เขา และกำชับว่า ให้เราสังเกตุอาการเขาหน่อยในช่วงนี้ มาถึงบ้าน เราจึงป้อนยาเขา และเฝ้ามองเขาอย่างใกล้ชิด เขานอนนิ่งๆ เราก็ได้แต่สังเกตุเขาอยู่ห่างๆ
เราได้สัญญากับ “น้องเขย” เราว่า “จะตัดผมให้เขา” ผลัดวันประกันพรุ่ง มาตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมาแล้ว คืนนี้ได้ฤกษ์ดี เราจึงตัดผมให้เขา และต่อด้วยตัดผมให้น้องพิมไปเลย ขณะที่เรากำลังเก็บของอยู่ น้องวอดก้า ก็ได้อ๊วกอีกครั้งหนึ่ง เราบอกตามตรงว่า เราเริ่มเครียด คืนนี้ไม่รู้จะได้นอนไหม?
น้องวอดก้าจ๋า หายไวๆนะ จะได้กลับมาซนกับพี่อีก พี่ทรมานนะที่หนูเป็นแบบนี้
เราเชื่อว่าหลายคน คงกำลังติดตามอ่าน เรื่องราวของ “บีและเพจ” ซึ่งไดอารี่วันนี้ ก็มาถึง ตอนที่ 3 ของพวกเขาแล้ว (บางคนอาจจะคาดเดาเหตุการณ์ตอนต่อไปกันไว้ล่วงหน้า)
...จากการพูดคุยกับเขาเมื่อคืนก่อน ทำให้เธอได้รู้ว่า “เขาอยู่ที่นั่นตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรียนจนจบปริญญาโท และเพิ่งจะกลับมาอยู่ไทยได้แค่ 6 เดือน เขากำลังหาข้อมูลเพื่อเปิดบริษัทส่งออกเป็นของตัวเอง ชีวิตของเขากำลังเดินไปได้อย่างสวยงาม”
หลังจากวันนั้น ทั้งคู่ก็ติดต่อกันทางโทรศัพท์มาตลอด เธอรู้สึกดีใจที่สุด (การได้คุยกับเขาแบบนี้นั้น คุ้มค่ากับการครองชีวิตโสด และเฝ้ารอคอยเขาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา) จนลืมคำถามที่เคยติดค้างในใจว่า “เขาจะมีแฟนหรือยัง?” (เธอคิดไปเองว่า เขาต้องไม่มี ไม่อย่างนั้นคงไม่คุยกับเธอได้ตลอดเวลาเช่นทุกวันนี้)
เมื่อเสียงโทรศัพท์จากเขาดังขึ้น เธอจะยิ้มและมีกำลังใจเสมอ ยิ่งถ้าเขาส่ง SMS มาด้วยแล้ว หัวใจเธอจะเต้นแรง และมีความหวังอยู่เสมอ (ชีวิตเธอตอนนี้ มีความสุข มากจนไม่มีเรื่องเลวร้ายใดๆ มาทำลายบรรยากาศเช่นนี้ได้)
เย็นวันนึงเขานัดเธอออกมาทานข้าว เธอได้นำจดหมาย (ทุกฉบับ) เทปอัดเสียงเขา และสิ่งของที่เขาเคยส่งให้เธอมา ไปให้เขาดูด้วย เขายิ้มและดีใจ เมื่อเห็นของเหล่านั้น ที่เธอยังเก็บรักษาไว้อย่างดี และคืนนั้น เขาก็ได้บอก “รักเธอ” และขอกลับมาคบเธออีกครั้ง เขาขอเริ่มต้นกับเธอใหม่ เขาตั้งใจที่จะดูแลเธอให้ดี ชดเชย และแก้ไข ในสิ่งที่เขาเคยทำพลาดไปเมื่อวัยเยาว์ เธอตอบ “ตกลง” และนับตั้งแต่นั้นมา ทั้งคู่ก็มีความสุขด้วยกัน จนกระทั่ง...
คงไม่มีอะไร มีความสุข และทำให้ยิ้มได้เท่ากับ คนที่เราหลงรักมาตลอด ตอบรับรักเรา และพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับเรา
ณ ชีวิตเธอตอนนี้มีความสุขที่สุด แต่ ความสุขจะ “ดำรงอยู่” ได้ตลอดรอดฝั่งตลอดไปหรือเปล่า? “อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หรือจะแน่นอน” ต้องติดตามอ่านไดอารี่ตอนต่อไปนะคะ
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
เราเริ่มรู้สึกแปลกๆ ถึงอาการเงียบของเขา พลางคิดในใจว่า “เมื่อเช้าเราทำอะไรให้เขางอนหรือเปล่า?” เราจึงพยายาม “ง้อ และขอโทษ” ด้วยการหยิบ snack ของโปรดเขามาให้ทาน แต่เขากลับนอนนิ่งๆ ไม่สนใจ ยิ่งทำให้เราแน่ใจว่า เขาต้องเป็นอะไรไปแน่ๆ เราจึงไม่รอช้า โทรหาสัตวแพทย์ประจำตัวเขา และรีบนำเขาไปหาหมอโดยทันที ระหว่างทางน้ำตาเราเริ่มไหล พลางคิดกังวลไปต่างๆนาๆ ถึงอาการที่เขาอาจจะเป็น (ก็เขาพูดไม่ได้นี่นา)
ไปถึงร้านหมอ หมอได้ยัดปรอทลงที่ก้นเขา และบอกว่า ไข้เขาสูงมาก เมื่อเราได้ฟังดังนั้น น้ำตาเราเริ่มไหล (อีกครั้ง) เรากังวลและกลัวอยู่ในใจลึกๆว่าเขาจะเป็นอะไรมากไหม พลางขอร้องให้คุณหมอเช็คอาการเขาอย่างละเอียด คุณหมอจ่ายยาปฏิชีวะนะ ยาลดไข้ มาให้เขา และกำชับว่า ให้เราสังเกตุอาการเขาหน่อยในช่วงนี้ มาถึงบ้าน เราจึงป้อนยาเขา และเฝ้ามองเขาอย่างใกล้ชิด เขานอนนิ่งๆ เราก็ได้แต่สังเกตุเขาอยู่ห่างๆ
เราได้สัญญากับ “น้องเขย” เราว่า “จะตัดผมให้เขา” ผลัดวันประกันพรุ่ง มาตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมาแล้ว คืนนี้ได้ฤกษ์ดี เราจึงตัดผมให้เขา และต่อด้วยตัดผมให้น้องพิมไปเลย ขณะที่เรากำลังเก็บของอยู่ น้องวอดก้า ก็ได้อ๊วกอีกครั้งหนึ่ง เราบอกตามตรงว่า เราเริ่มเครียด คืนนี้ไม่รู้จะได้นอนไหม?
น้องวอดก้าจ๋า หายไวๆนะ จะได้กลับมาซนกับพี่อีก พี่ทรมานนะที่หนูเป็นแบบนี้
เราเชื่อว่าหลายคน คงกำลังติดตามอ่าน เรื่องราวของ “บีและเพจ” ซึ่งไดอารี่วันนี้ ก็มาถึง ตอนที่ 3 ของพวกเขาแล้ว (บางคนอาจจะคาดเดาเหตุการณ์ตอนต่อไปกันไว้ล่วงหน้า)
...จากการพูดคุยกับเขาเมื่อคืนก่อน ทำให้เธอได้รู้ว่า “เขาอยู่ที่นั่นตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรียนจนจบปริญญาโท และเพิ่งจะกลับมาอยู่ไทยได้แค่ 6 เดือน เขากำลังหาข้อมูลเพื่อเปิดบริษัทส่งออกเป็นของตัวเอง ชีวิตของเขากำลังเดินไปได้อย่างสวยงาม”
หลังจากวันนั้น ทั้งคู่ก็ติดต่อกันทางโทรศัพท์มาตลอด เธอรู้สึกดีใจที่สุด (การได้คุยกับเขาแบบนี้นั้น คุ้มค่ากับการครองชีวิตโสด และเฝ้ารอคอยเขาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา) จนลืมคำถามที่เคยติดค้างในใจว่า “เขาจะมีแฟนหรือยัง?” (เธอคิดไปเองว่า เขาต้องไม่มี ไม่อย่างนั้นคงไม่คุยกับเธอได้ตลอดเวลาเช่นทุกวันนี้)
เมื่อเสียงโทรศัพท์จากเขาดังขึ้น เธอจะยิ้มและมีกำลังใจเสมอ ยิ่งถ้าเขาส่ง SMS มาด้วยแล้ว หัวใจเธอจะเต้นแรง และมีความหวังอยู่เสมอ (ชีวิตเธอตอนนี้ มีความสุข มากจนไม่มีเรื่องเลวร้ายใดๆ มาทำลายบรรยากาศเช่นนี้ได้)
เย็นวันนึงเขานัดเธอออกมาทานข้าว เธอได้นำจดหมาย (ทุกฉบับ) เทปอัดเสียงเขา และสิ่งของที่เขาเคยส่งให้เธอมา ไปให้เขาดูด้วย เขายิ้มและดีใจ เมื่อเห็นของเหล่านั้น ที่เธอยังเก็บรักษาไว้อย่างดี และคืนนั้น เขาก็ได้บอก “รักเธอ” และขอกลับมาคบเธออีกครั้ง เขาขอเริ่มต้นกับเธอใหม่ เขาตั้งใจที่จะดูแลเธอให้ดี ชดเชย และแก้ไข ในสิ่งที่เขาเคยทำพลาดไปเมื่อวัยเยาว์ เธอตอบ “ตกลง” และนับตั้งแต่นั้นมา ทั้งคู่ก็มีความสุขด้วยกัน จนกระทั่ง...
คงไม่มีอะไร มีความสุข และทำให้ยิ้มได้เท่ากับ คนที่เราหลงรักมาตลอด ตอบรับรักเรา และพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับเรา
ณ ชีวิตเธอตอนนี้มีความสุขที่สุด แต่ ความสุขจะ “ดำรงอยู่” ได้ตลอดรอดฝั่งตลอดไปหรือเปล่า? “อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน หรือจะแน่นอน” ต้องติดตามอ่านไดอารี่ตอนต่อไปนะคะ
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน