เมื่อเสียงโทรศัพท์ปลุกตอน 6.30 (เช้า) เราลุกขึ้นมานั่งได้ 1 นาที รู้สึกความดันร่วง เลยล้มตัวลงไปนอนต่อ พลางคิดล่วงหน้าถึงกิจกรรมในวันนี้ “จะเป็นไรไหมนะ หากเราจะลาหยุดสักวัน เนื่องจากเหนื่อยอ่อนเพลียเหลือเกิน ขอนอนตื่นสายสักวันนะ” เมื่อคิดจบดังนั้น เราก็หลับตาลงอย่างช้าๆ และเราก็ต้อง “สะดุ้งตื่น” เมื่อได้ยินเสียง น้องวอดก้า อ๊วก และก็อ๊วก เรา automatic ลุกขึ้นมาดู และกอดเขาไว้ “ความกังวลได้วิ่งเข้ามาแทนที่ความง่วง และเหนื่อยอ่อนโดยฉับพลัน” เราจึงป้อนยาเขา และก็ตาแข็งนอนไม่หลับอีกเลย ครั้นจะลุกอาบน้ำ และออกไปทำกิจกรรม ก็เกิด “ความขี้เกียจ” ขึ้นซะงั้น
เราจึงเริ่มขับกล่อมตัวเองด้วยการนำ “อิเล็กโทน” ออกมาเล่น เพลงแล้วเพลงเล่าที่ดึงสมาธิเราออกจากความกังวลเกี่ยวกับน้องวอดก้า พออารมณ์ได้ที่ สติเริ่มกลับมา หันมาดูนาฬิกาอีกที ก็ 8.30 แล้ว มองไปที่เตียง น้องพิมก็ยังถูก “พันธนาการ” ไว้ด้วยผ้าห่มนวมผืนใหญ่ (ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเสียจริงๆ)
หลังจากที่ “อารมณ์ และสติ” กลับมาเป็นปกติ ความเป็นคน hyper (เกินเหตุ) ของเรา จะให้วันนี้ทั้งวัน นอน นั่งนิ่งๆ อยู่กับบ้าน ไม่มีทางเสียหรอก หากิจกรรมบันเทิงทำดีกว่า เราวางแผนว่า วันนี้เราจะไปดูหนัง เรื่อง “หลวงพี่เท่ง” กับน้องพิม (ตามสัญญา) ตั้งใจจะไปดูรอบก่อนเที่ยง แต่ช่วง 11.00 เราเผลอหลับไป สรุปเลยได้ไปดูรอบบ่าย 14.30 หนังโดยรวมสนุกดีคะ ฮา และยิ้มไปกับเนื้อเรื่อง (เสียค่าบัตรไป 140 บาท คาดหวังจะได้ความฮาแค่ 50 แต่ได้รอยยิ้มมา 160 ก็ถือว่า “กำไร” แล้วล่ะ)
มาอ่านเรื่องราว “บทสรุป” ของชีวิตรักของ บี และเพจ กันเลยนะคะ
...อีกหลายวันต่อมา เขาติดต่อเธอกลับมา พร้อมกับ “ขอโทษ” โดยให้ “สัญญา” ว่า “ต่อไปนี้เขาจะทำทุกอย่างเหมือนเดิม” ด้วยความสงสัย ที่มีอยู่ข้างใน เธอจึงถามเขาไปตรงๆว่า “จริงๆแล้ว เขามีแฟนหรือยัง? ก่อนหน้าที่จะมาคบกับเธอ?” เขาเงียบไปครู่นึง ก่อนจะตอบว่า “ไม่มีนี่ เขาไม่ได้คบกับใครเป็นแฟนเลย อย่าคิดมากสิ” เธอรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ฟังคำตอบ แต่ภาพในคืนนั้นก็ยังติดตาเธออยู่ (แต่จะเก็บมาคิดทำไมล่ะ? ในเมื่อเขาอยู่ตรงนี้แล้ว)
ตั้งแต่วันนั้น “ชีวิตรัก” ของเธอกับเขา ก็กลับมามีความสุขเช่นเคยเหมือนเดิม บริษัทของเขากำลังไปได้สวย ส่วนเรื่องหัวใจนั้น เธอก็ดูแลอย่างดี (ไม่ขาดตกบกพร่องเลย) เธอขนเสื้อผ้ามาค้างกับเขาบ่อยครั้ง มาดูแลทั้งอาหาร และเรื่องส่วนตัวให้เขาเกือบจะทุกอย่าง (เขาช่างเป็น “ทอม” ที่โชคดีจังเลยนะ)
เวลา 1 ปี ผ่านไป เหตุการณ์ที่ทำให้เธอไม่ “คาดฝัน” ก็ได้ “วนเวียน” กลับมาอีกครั้ง เมื่อวันนึง เขาขอให้เธอย้ายของกลับไปอยู่บ้านก่อน เพราะเพื่อนสนิท (คนเดิม) จะมาพักผ่อนที่นี่ประมาณเดือนนึง เมื่อเธอได้ฟังดังนั้น ภาพเก่าๆ ณ คืนนั้นก็ย้อนกลับมา คำถาม และความสงสัยต่างๆ ก็มา “สะกิด” ใจเธออีกครั้ง แต่สิ่งที่เธอทำได้ ก็คงแค่ “ทำตามความต้องการของเขา”
เขาก็เงียบหายไปอีกเช่นเคย เธอเหงายิ่งกว่าเมื่อครั้งก่อนที่เขาหายไป เธอเลือกที่จะ “คลายเครียด” โดยการไปเดิน Shopping กับเพื่อนสนิท ระหว่างที่เดินกันอยู่นั้น เพื่อนเธอสะกิดให้เธอดูเขา ที่เดินมาพร้อมผู้หญิงคนนึง (คนเดิมกับที่เธอเห็นที่ระเบียงบ้านเขาคืนนั้น) ด้วยสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เขาจึงเดินเข้ามาทักเธอ และแนะนำผู้หญิงข้างกายให้เธอรู้จัก นี่คือ “Tina” แฟนลูกครึ่งไทย-รัสเซีย ที่เขาคบหามาได้ 3 ปีแล้ว” เพื่อนเธออ้าปากถามแบบงงๆ “อ้าวแล้วนี่ไม่ได้คบกับเพื่อนฉันหรอกหรือ?” เขาตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า “เรื่องของเธอและเขานั้น เกิดขึ้นด้วยความสงสาร เวทนา และเห็นใจที่เธอรอเขามาตลอด เขาจึงตกลงใจคบกับเธอ เพราะพูดตามตรง เขาเคยแต่ไปรักคนอื่นหมดหัวใจ แต่ไม่เคยมีใครรักเขาหมดหัวใจเช่นเธอ ดังนั้น ก็เป็นการฉลาดดี ที่เขาจะใช้โอกาสนี้ เรียนรู้ว่า “รักคนที่เขารักเรา หรือ เรารักเขา อันไหนดีกว่า” ถ้าจะถามว่า จากการที่เราอยู่ด้วยกันมาตลอด 1 ปีนั้น เธอใช่คนที่ใช่ของเขาไหม? คำตอบคือ “ไม่เลย” เวลาผ่านมาที่อยู่ด้วยกัน เขาถือว่า เราสองคนเต็มใจที่จะเติมเต็มความเหงาให้แก่กันและกัน เขาไม่ใช่คนที่ดีพอสำหรับเธอหรอก ดีแล้วที่เจอวันนี้ จะได้ไม่ต้องโทรไปบอกเลิกเหมือนครั้งแรกอีก ขอโทษด้วย แล้วหวังว่าอีก 10 ปีข้างหน้า เธอคงจะไม่พยายามหาทางติดต่อเขาอีกนะ ลาก่อนนะ”
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็เดินจากไปพร้อมกับโอบเอวหล่อนคนนั้น ทิ้งให้เธอร่างกายชาไปทั้งตัว อายทั้งเพื่อน และเสียใจมาก เธอจึงวิ่งไปที่รถ แล้วก็ตะโกนร้องไห้อย่างสุดเสียง เธอกินไม่ได้ นอนไม่ได้อยู่หลายวัน และความคิดที่จะ “ฆ่าตัวตาย” ก็เกิดขึ้น แต่ด้วย “กำลังใจ” จากครอบครัว ทำให้เธอ “ลุกขึ้น” มาได้อีกครั้ง
สำหรับใครที่อาจจะเคย หรือกำลังประสบชะตากรรมเช่นเธออยู่ ขอให้เข้มแข็ง และยอมรับความจริงซะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
ถ้ามองในแง่ดี อย่างน้อยในการเสียใจครั้งที่สองของเธอ ก็ช่วย “เปิดทางสว่าง” ให้เธอ “หยุด” ที่จะ “รอ” เขาเสียที เราเชื่อว่า หลังจากที่เธอ “รักษา” ความเจ็บปวดในครั้งนี้ให้ “หาย” แล้ว เธอจะเป็นคนใหม่ ที่จะพร้อมก้าวต่อไป และเข้มแข็งขึ้นนะ
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน
เราจึงเริ่มขับกล่อมตัวเองด้วยการนำ “อิเล็กโทน” ออกมาเล่น เพลงแล้วเพลงเล่าที่ดึงสมาธิเราออกจากความกังวลเกี่ยวกับน้องวอดก้า พออารมณ์ได้ที่ สติเริ่มกลับมา หันมาดูนาฬิกาอีกที ก็ 8.30 แล้ว มองไปที่เตียง น้องพิมก็ยังถูก “พันธนาการ” ไว้ด้วยผ้าห่มนวมผืนใหญ่ (ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจเสียจริงๆ)
หลังจากที่ “อารมณ์ และสติ” กลับมาเป็นปกติ ความเป็นคน hyper (เกินเหตุ) ของเรา จะให้วันนี้ทั้งวัน นอน นั่งนิ่งๆ อยู่กับบ้าน ไม่มีทางเสียหรอก หากิจกรรมบันเทิงทำดีกว่า เราวางแผนว่า วันนี้เราจะไปดูหนัง เรื่อง “หลวงพี่เท่ง” กับน้องพิม (ตามสัญญา) ตั้งใจจะไปดูรอบก่อนเที่ยง แต่ช่วง 11.00 เราเผลอหลับไป สรุปเลยได้ไปดูรอบบ่าย 14.30 หนังโดยรวมสนุกดีคะ ฮา และยิ้มไปกับเนื้อเรื่อง (เสียค่าบัตรไป 140 บาท คาดหวังจะได้ความฮาแค่ 50 แต่ได้รอยยิ้มมา 160 ก็ถือว่า “กำไร” แล้วล่ะ)
มาอ่านเรื่องราว “บทสรุป” ของชีวิตรักของ บี และเพจ กันเลยนะคะ
...อีกหลายวันต่อมา เขาติดต่อเธอกลับมา พร้อมกับ “ขอโทษ” โดยให้ “สัญญา” ว่า “ต่อไปนี้เขาจะทำทุกอย่างเหมือนเดิม” ด้วยความสงสัย ที่มีอยู่ข้างใน เธอจึงถามเขาไปตรงๆว่า “จริงๆแล้ว เขามีแฟนหรือยัง? ก่อนหน้าที่จะมาคบกับเธอ?” เขาเงียบไปครู่นึง ก่อนจะตอบว่า “ไม่มีนี่ เขาไม่ได้คบกับใครเป็นแฟนเลย อย่าคิดมากสิ” เธอรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ฟังคำตอบ แต่ภาพในคืนนั้นก็ยังติดตาเธออยู่ (แต่จะเก็บมาคิดทำไมล่ะ? ในเมื่อเขาอยู่ตรงนี้แล้ว)
ตั้งแต่วันนั้น “ชีวิตรัก” ของเธอกับเขา ก็กลับมามีความสุขเช่นเคยเหมือนเดิม บริษัทของเขากำลังไปได้สวย ส่วนเรื่องหัวใจนั้น เธอก็ดูแลอย่างดี (ไม่ขาดตกบกพร่องเลย) เธอขนเสื้อผ้ามาค้างกับเขาบ่อยครั้ง มาดูแลทั้งอาหาร และเรื่องส่วนตัวให้เขาเกือบจะทุกอย่าง (เขาช่างเป็น “ทอม” ที่โชคดีจังเลยนะ)
เวลา 1 ปี ผ่านไป เหตุการณ์ที่ทำให้เธอไม่ “คาดฝัน” ก็ได้ “วนเวียน” กลับมาอีกครั้ง เมื่อวันนึง เขาขอให้เธอย้ายของกลับไปอยู่บ้านก่อน เพราะเพื่อนสนิท (คนเดิม) จะมาพักผ่อนที่นี่ประมาณเดือนนึง เมื่อเธอได้ฟังดังนั้น ภาพเก่าๆ ณ คืนนั้นก็ย้อนกลับมา คำถาม และความสงสัยต่างๆ ก็มา “สะกิด” ใจเธออีกครั้ง แต่สิ่งที่เธอทำได้ ก็คงแค่ “ทำตามความต้องการของเขา”
เขาก็เงียบหายไปอีกเช่นเคย เธอเหงายิ่งกว่าเมื่อครั้งก่อนที่เขาหายไป เธอเลือกที่จะ “คลายเครียด” โดยการไปเดิน Shopping กับเพื่อนสนิท ระหว่างที่เดินกันอยู่นั้น เพื่อนเธอสะกิดให้เธอดูเขา ที่เดินมาพร้อมผู้หญิงคนนึง (คนเดิมกับที่เธอเห็นที่ระเบียงบ้านเขาคืนนั้น) ด้วยสถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เขาจึงเดินเข้ามาทักเธอ และแนะนำผู้หญิงข้างกายให้เธอรู้จัก นี่คือ “Tina” แฟนลูกครึ่งไทย-รัสเซีย ที่เขาคบหามาได้ 3 ปีแล้ว” เพื่อนเธออ้าปากถามแบบงงๆ “อ้าวแล้วนี่ไม่ได้คบกับเพื่อนฉันหรอกหรือ?” เขาตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า “เรื่องของเธอและเขานั้น เกิดขึ้นด้วยความสงสาร เวทนา และเห็นใจที่เธอรอเขามาตลอด เขาจึงตกลงใจคบกับเธอ เพราะพูดตามตรง เขาเคยแต่ไปรักคนอื่นหมดหัวใจ แต่ไม่เคยมีใครรักเขาหมดหัวใจเช่นเธอ ดังนั้น ก็เป็นการฉลาดดี ที่เขาจะใช้โอกาสนี้ เรียนรู้ว่า “รักคนที่เขารักเรา หรือ เรารักเขา อันไหนดีกว่า” ถ้าจะถามว่า จากการที่เราอยู่ด้วยกันมาตลอด 1 ปีนั้น เธอใช่คนที่ใช่ของเขาไหม? คำตอบคือ “ไม่เลย” เวลาผ่านมาที่อยู่ด้วยกัน เขาถือว่า เราสองคนเต็มใจที่จะเติมเต็มความเหงาให้แก่กันและกัน เขาไม่ใช่คนที่ดีพอสำหรับเธอหรอก ดีแล้วที่เจอวันนี้ จะได้ไม่ต้องโทรไปบอกเลิกเหมือนครั้งแรกอีก ขอโทษด้วย แล้วหวังว่าอีก 10 ปีข้างหน้า เธอคงจะไม่พยายามหาทางติดต่อเขาอีกนะ ลาก่อนนะ”
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็เดินจากไปพร้อมกับโอบเอวหล่อนคนนั้น ทิ้งให้เธอร่างกายชาไปทั้งตัว อายทั้งเพื่อน และเสียใจมาก เธอจึงวิ่งไปที่รถ แล้วก็ตะโกนร้องไห้อย่างสุดเสียง เธอกินไม่ได้ นอนไม่ได้อยู่หลายวัน และความคิดที่จะ “ฆ่าตัวตาย” ก็เกิดขึ้น แต่ด้วย “กำลังใจ” จากครอบครัว ทำให้เธอ “ลุกขึ้น” มาได้อีกครั้ง
สำหรับใครที่อาจจะเคย หรือกำลังประสบชะตากรรมเช่นเธออยู่ ขอให้เข้มแข็ง และยอมรับความจริงซะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
ถ้ามองในแง่ดี อย่างน้อยในการเสียใจครั้งที่สองของเธอ ก็ช่วย “เปิดทางสว่าง” ให้เธอ “หยุด” ที่จะ “รอ” เขาเสียที เราเชื่อว่า หลังจากที่เธอ “รักษา” ความเจ็บปวดในครั้งนี้ให้ “หาย” แล้ว เธอจะเป็นคนใหม่ ที่จะพร้อมก้าวต่อไป และเข้มแข็งขึ้นนะ
ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่าน